คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.วิ.พ. ม. 138

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,028 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1246/2494 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิฟ้องร้องจากข้อตกลงใหม่หลังสัญญาปรานีประนอม: การละทิ้งทรัพย์สินและสิทธิเรียกคืน
โจทก์จำเลยทำสัญญาปรานีประนอมยอมความกันต่อหน้าศาลว่าโจทก์ยอมตกลงให้จำเลยใช้สิทธิอาศัยและเก็บกินในที่บ้านและสวนรายหนึ่งตลอดชีวิตของจำเลย โดยโจทก์จะไม่เกี่ยวข้องต่อไป จำเลยก็ยอมตกลงว่าจะใช้สิทธิอาศัยและเก็บกินตลอดไปโดยไม่ละทิ้ง ภายหลังโจทก์ยื่นคำร้องต่อศาลว่าจำเลยละทิ้งบ้านพิพาทไป โจทก์จำเลยจึงตกลงกันอีกว่า ถ้าจำเลยละทิ้งบ้านเรือนพิพาทไม่รักษาดูแลอย่างวิญญูชนแล้ว จำเลยยอมคืนบ้านพิพาทและสวนให้โจทก์ ดังนี้ เมื่อจำเลยละทิ้งบ้านพิพาทจนทรุดโทรมเสียหายไม่เคยทำการซ่อมแซมเลย โจทก์ก็ยอมมีอำนาจฟ้องจำเลยขอให้คืนทรัพย์พิพาทได้เพราะโจทก์ฟ้องโดยอาศัยสิทธิตามข้อตกลงที่ทำกันภายหลัง อันเป็นสิทธิที่เกิดขึ้นใหม่ต่างหากจากสัญญาปรานีประนอม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1246/2494

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อตกลงภายหลังสัญญาประนีประนอม: สิทธิเรียกร้องคืนทรัพย์จากการละทิ้ง
โจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันต่อหน้าศาลว่าโจทก์ยอมตกลงให้จำเลยใช้สิทธิอาศัยและเก็บกินในที่บ้านและสวนรายหนึ่งตลอดชีวิตของจำเลย โดยโจทก์จะไม่เกี่ยวข้องต่อไป จำเลยก็ยอมตกลงว่าจะใช้สิทธิอาศัยและเก็บกินตลอดไปโดยไม่ละทิ้ง ภายหลังโจทก์ยื่นคำร้องต่อศาลว่าจำเลยละทิ้งบ้านพิพาทไป โจทก์จำเลยจึงตกลงกันอีกว่า ถ้าจำเลยละทิ้งบ้านเรือนพิพาทไม่รักษาดูแลอย่างวิญญูชนแล้วจำเลยยอมคืนบ้านพิพาทและสวนให้โจทก์ ดังนี้ เมื่อจำเลยละทิ้งบ้านพิพาทจนทรุดโทรมเสียหายไม่เคยทำการซ่อมแซมเลย โจทก์ก็ย่อมมีอำนาจฟ้องจำเลยขอให้คืนทรัพย์พิพาทได้เพราะโจทก์ฟ้องโดยอาศัยสิทธิตามข้อตกลงที่ทำกันภายหลังอันเป็นสิทธิที่เกิดขึ้นใหม่ต่างหากจากสัญญาประนีประนอม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 838/2494 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ลำดับการบังคับชำระหนี้: ลูกหนี้ชั้นต้นก่อน ผู้ค้ำประกันทีหลัง
สัญญาประนีประนอมยอมความมีข้อความว่าจำเลยที่ 1 ในฐานะผู้กู้จำเลยที่ 2-3-4 ในฐานะผู้ค้ำประกันยอมใช้เงินให้โจทก์เป็นเงินจำนวนหนึ่งและดอกเบี้ย และศาลได้พิพากษาให้คดีเสร็จเด็ดขาดไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความนั้น มีผลเท่ากับว่าให้จำเลยที่ 1 ใช้เงินให้แก่โจทก์ก่อน ถ้าจำเลยที่ 1 ไม่สามารถจะใช้ได้ ก็ให้จำเลยที่ 2-3-4 ใช้แทนจนครบ ฉะนั้นโจทก์จึงต้องดำเนินการบังคับชำระหนี้เอากับทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 ก่อนโจทก์จะเกี่ยงว่าจำเลยที่ 1 มีทรัพย์สินอยู่น้อยแก่การบังคับ จึงจะบังคับเอาแก่จำเลยที่ 2-3-4 นั้น ย่อมฟังไม่ขึ้น เพราะตราบใดที่ลูกหนี้ชั้นต้นยังมีทรัพย์สินที่จะบังคับชำระหนี้ได้อยู่ โจทก์จะต้องบังคับชำระหนี้เอาจากทรัพย์สินของลูกหนี้ชั้นต้นนั้นก่อน เมื่อไม่พอจึงจะบังคับชำระหนี้เอาจากผู้ค้ำประกัน (อ้างฎีกาที่ 827/2483)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 838/2494

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ บังคับชำระหนี้จากผู้ค้ำประกันต้องหลังบังคับหนี้จากลูกหนี้ชั้นต้นก่อน
สัญญาประนีประนอมยอมความมีข้อความว่าจำเลยที่ 1 ในฐานะผู้กู้ จำเลยที่ 2-3,4 ในฐานะผู้ค้ำประกันยอมใช้เงินให้โจทก์เป็นเงินจำนวนหนึ่งและดอกเบี้ย และศาลได้พิพากษาให้คดีเสร็จเด็ดขาดไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความนั้นมีผลเท่ากับว่าให้จำเลยที่ 1 ใช้เงินให้แก่โจทก์ก่อน ถ้าจำเลยที่ 1 ไม่สามารถจะใช้ได้ ก็ให้จำเลยที่2-3-4 ใช้แทนจนครบฉะนั้นโจทก์จึงต้องดำเนินการบังคับชำระหนี้เอากับทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 ก่อน โจทก์จะเกี่ยงว่าจำเลยที่ 1 มีทรัพย์สินอยู่น้อยและยากแก่การบังคับ จึงจะบังคับเอาแก่จำเลยที่ 2-3-4 นั้นย่อมฟังไม่ขึ้น เพราะตราบใดที่ลูกหนี้ชั้นต้นยังมีทรัพย์สินที่จะบังคับชำระหนี้ได้อยู่ โจทก์จะต้องบังคับชำระหนี้เอาจากทรัพย์สินของลูกหนี้ชั้นต้นนั้นก่อน เมื่อไม่พอจึงจะบังคับชำระหนี้เอาจากผู้ค้ำประกัน (อ้างฎีกาที่ 827/2483)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 803/2494

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การตรวจสภาพที่พิพาทและการวินิจฉัยของศาล: ต้องทำเป็นคำพิพากษา
การที่คู่ความขอให้ศาลไปตรวจดูสภาพที่พิพาทแล้ววินิจฉัยชี้ขาด โดยต่างไม่สืบพยานบุคคลต่อไปนั้น เป็นเรื่องสืบพยานธรรมดาโดยอ้างวัตถุพยานคือที่พิพาทเป็นพยานร่วม มิใช่เป็นคำท้าของคู่ความ ฉะนั้นเมื่อศาลชั้นต้นไปดูสภาพของที่พิพาทแล้วเห็นอย่างไร ก็วินิจฉัยชี้ขาดได้ตามที่คู่ความเสนอไว้ได้ แต่ต้องทำเป็นคำพิพากษาให้ถูกต้องครบถ้วนตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 141 จะทำเป็นคำสั่งไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 803/2494 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การตรวจสภาพที่พิพาทและการวินิจฉัยชี้ขาดโดยไม่ต้องสืบพยาน: ศาลต้องทำเป็นคำพิพากษา
การที่คู่ความขอให้ศาลไปตรวจดูสภาพที่พิพาทแล้ววินิจฉัย+ โดยต่างไม่สืบพยานบุคคลต่อไปนั้น เป็นเรื่องสืบพยานธรรมดาโดยอ้างวัตถุพยาน คือที่พิพาทเป็นพยานร่วม มิใช่เป็น+ท้าของคู่ความ ฉะนั้นเมื่อศาลชั้นต้นไปดูสภาพของที่พิพาทแล้วเห็นอย่างไร ก็วินิจฉัยชี้ขาดได้ตามที่คู่ความเสนอไว้ได้ แต่ต้องทำเป็นคำพิพากษาให้ถูกต้องครบถ้วนตาม ป.ม.วิ.แพ่งมาตรา 141 จะทำเป็นคำสั่งไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 421/2494

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ผลของสัญญาประนีประนอมต่อสิทธิในทรัพย์สินของบุตร: สัญญาไม่ผูกพันส่วนของบุตร ทำให้จำเลยมีสิทธิชำระราคาเฉพาะส่วนของโจทก์
โจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมกันในศาลว่าจำเลยยอมซื้อที่ดินพิพาททั้งแปลงเป็นเงิน 23,000 บาท ต่อมาฝ่ายโจทก์ยื่นคำร้องต่อศาลว่าที่พิพาทมีชื่อบุตรโจทก์เป็นเจ้าของอยู่ด้วย ขอให้ศาลสั่งว่าสัญญาประนีประนอมดังกล่าวไม่ผูกพันทรัพย์ส่วนของบุตร ศาลไต่สวนแล้วสั่งว่าสัญญาประนีประนอมระหว่างโจทก์จำเลย ไม่ผูกพันส่วนของเด็ก ฝ่ายจำเลยจึงขอชำระราคาที่ดินเพียง 11,500 บาทครึ่งราคาทั้งหมด ดังนี้ ฝ่ายโจทก์จะให้จำเลยชำระราคาที่ดินเต็ม 23,000 บาท ย่อมไม่ได้เพราะตนยอมขายที่ดินให้จำเลยเพียงครึ่งเดียว ซึ่งฝ่ายจำเลยจะไม่ซื้อเสียทั้งหมดก็ย่อมทำได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 421/2494 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาประนีประนอมซื้อขายที่ดิน: สิทธิของเด็กและเจตนาซื้อขายทั้งแปลง
โจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมกันในศาลว่า จำเลยยอมซื้อที่ดินพิพาททั้งแปลงเป็นเงิน 23,000 บาท ต่อมาฝ่ายโจทก์ยืนคำร้องต่อศาลว่า ที่พิพาทมีชื่อบุตรโจทก์เป็นเจ้าของอยู่ด้วย ขอให้ศาลสั่งว่าสัญญาประนีประนอมดังกล่าวไม่ผูกพันทรัพย์ส่วนของบุตร ศาลไต่สวนแล้วสั่งว่าสัญญาประนีประนอมระหว่างโจทก์จำเลย ไม่ผูกพันส่วนของเด็ก ฝ่ายจำเลยจึงขอชำระราคาที่ดินเพียง 11,500 บาทครึ่งราคาทั้งหมดดังนี้ ฝ่ายโจทก์จะให้จำเลยชำระราคาที่ดินเต็ม 23,000 บาท ย่อมไม่ได้ เพราะตนยอมขายที่ดินให้จำเลยเพียงครึ่งเดียว ซึ่งฝ่ายจำเลยจะไม่ซื้อเสียทั้งหมดก็ย่อมทำได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 215/2494 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิการซื้อที่ดินของคนต่างด้าวตาม พ.ร.บ.ที่ดินฯ การปฏิบัติตามคำพิพากษาที่ขัดต่อกฎหมาย
ศาลพิพากษาคดีไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความ คือให้จำเลยโอนที่ดินสวนยางให้แก่โจทก์คดีถึงที่สุดแล้ว ภายหลังเจ้าพนักงานที่ดินไม่ยอมทำโอนให้เพราะโจทก์เป็นคนต่างด้าว หามีสิทธิ์ที่จะได้ที่ดินสวนยางตามจำนวน ที่กล่าวนั้นตาม พ.ร.บ.ที่ดินในส่วนที่เกี่ยวกับคนต่างด้าว 2486 โจทก์จึงยื่นคำร้องขอให้ศาลสั่งเจ้าพนักงานที่ดินให้จัดการโอนให้โจทก์ตามคำพิพากษาดังนี้ โจทก์มีหน้าที่ต้องแสดงว่าโจทก์มีสิทธิ์ที่จะซื้อได้ตามกฎหมาย เมื่อศาลเห็นสมควรจึงจะแจ้งไปยังพนักงานที่ดินต่อไป เมื่อโจทก์ไม่แสดงและปรากฎว่าโจทก์ไม่มีอำนาจจะซื้อที่ดินเท่าจำนวนนั้น โดยกฎหมายห้ามไว้ชัดแจ้ง ศาลก็ย่อมสั่งยกคำร้องของโจทก์เสียได้ ไม่ถือว่าเป็นการขัดแย้งกับคำพิพากษา
ผู้ครอบครองที่ดินอยู่ก่อนใช้ พ.ร.บ.ที่ดินในส่วนที่เกี่ยวกับคนต่างด้าว พ.ศ. 2486 และยังได้ขอจดทะเบียนสิทธิ์การได้มาซึ่งที่ดินนั้นตามพ.ร.บ.ดังกล่าวนั้นด้วย เมื่อปรากฎว่าเป็นแต่เพียงครอบครองในฐานะเป็นผู้จะซื้อตามสัญญาจะซื้อขายเท่านั้น จะถือว่าผู้นั้นเป็นเจ้าของที่นั้นหรือได้มาซึ่งที่นั้นโดยชอบตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 10 แห่ง พ.ร.บ.ที่ดินในส่วนที่เกี่ยวกับคนต่างด้าว 2486 ยังไม่ได้ การที่เจ้าพนักงานรับคำขอจดทะเบียนให้ ไม่ได้หมายความว่าโจทก์มีสิทธิ์หรือกรรมสิทธิ์ในที่นั้นจริง โจทก์จะมีสิทธิ์หรือกรรมสิทธิ์อย่างไรย่อมเป็นไปตามกฎหมาย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 215/2494

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิการได้มาซึ่งที่ดินของคนต่างด้าวตาม พ.ร.บ.ที่ดิน 2486 แม้จดทะเบียนสิทธิแต่ยังไม่ถือเป็นเจ้าของหากไม่ถูกต้องตามกฎหมาย
ศาลพิพากษาคดีไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความคือให้จำเลยโอนที่ดินสวนยางให้แก่โจทก์คดีถึงที่สุดแล้ว ภายหลังเจ้าพนักงานที่ดินไม่ยอมทำโอนให้เพราะโจทก์เป็นคนต่างด้าว หามีสิทธิ์ที่จะได้ที่ดินสวนยางตามจำนวน ที่กล่าวนั้นตาม พระราชบัญญัติที่ดินในส่วนที่เกี่ยวกับคนต่างด้าว 2486โจทก์จึงยื่นคำร้องขอให้ศาลสั่งเจ้าพนักงานที่ดินให้จัดการโอนให้โจทก์ตามคำพิพากษาดังนี้โจทก์มีหน้าที่ต้องแสดงว่าโจทก์มีสิทธิที่จะซื้อได้ตามกฎหมายเมื่อศาลเห็นสมควรจึงจะแจ้งไปยังพนักงานที่ดินต่อไป เมื่อโจทก์ไม่แสดงและปรากฏว่าโจทก์ไม่มีอำนาจจะซื้อที่ดินเท่าจำนวนนั้นโดยกฎหมายห้ามไว้ชัดแจ้งศาลก็ย่อมสั่งยกคำร้องของโจทก์เสียได้ไม่ถือว่าเป็นการขัดแย้งกับคำพิพากษา
ผู้ครอบครองที่ดินอยู่ก่อนใช้พระราชบัญญัติที่ดินในส่วนที่เกี่ยวกับคนต่างด้าวพ.ศ.2486 และยังได้ขอจดทะเบียนสิทธิ์การได้มาซึ่งที่ดินนั้นตามพระราชบัญญัติดังกล่าวนั้นด้วย เมื่อปรากฏว่าเป็นแต่เพียงครอบครองในฐานะเป็นผู้จะซื้อตามสัญญาจะซื้อขายเท่านั้นจะถือว่าผู้นั้นเป็นเจ้าของที่นั้นหรือได้มาซึ่งที่นั้นโดยชอบตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 10 แห่งพระราชบัญญัติที่ดินในส่วนที่เกี่ยวกับคนต่างด้าว 2486 ยังไม่ได้การที่เจ้าพนักงานรับคำขอจดทะเบียนให้ไม่ได้หมายความว่าโจทก์มีสิทธิหรือกรรมสิทธิ์ในที่นั้นจริงโจทก์จะมีสิทธิหรือกรรมสิทธิ์อย่างไรย่อมเป็นไปตามกฎหมาย
of 103