คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.อ. ม. 80

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,460 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4938/2543

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบรรยายฟ้องความผิดพยายามส่งออกยาเสพติด จำเป็นต้องระบุเจตนาเพื่อจำหน่าย
ตามฟ้องในความผิดพยายามส่งเฮโรอีนของกลางออกนอกราชอาณาจักร โจทก์ไม่บรรยายฟ้องว่าจำเลยกระทำความผิดดังกล่าวเพื่อจำหน่าย ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษจำเลยฐานพยายามส่งเฮโรอีนของกลางออกนอกราชอาณาจักรเพื่อจำหน่าย จึงไม่ถูกต้องแม้ปัญหาดังกล่าวจำเลยจะไม่ฎีกา แต่ก็เป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกาหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสองประกอบด้วยมาตรา 225

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4919/2543

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาฆ่าจากการแทงและทำร้ายต่อเนื่อง ศาลฎีกาพิพากษาว่าเป็นการพยายามฆ่า
บริเวณที่ผู้เสียหายถูกแทงอยู่ที่หน้าอกด้านซ้ายลึกประมาณ 3 ถึง 4เซนติเมตร ถ้าหากถูกแทงแรงกว่านี้ อาจจะทำให้ถึงแก่ความตายเนื่องจาก ทะลุหัวใจ แม้อาวุธมีดของกลางจะเป็นมีดขนาดเล็กที่ใช้ปลอกผลไม้ แต่ก็มีความยาวเฉพาะใบมีดถึง 11 เซนติเมตร กว้าง 1.7 เซนติเมตร และมีความแหลมพอที่จะทำให้ผู้เสียหายถึงแก่ความตายได้ เมื่อจำเลย แทงผู้เสียหายบริเวณอวัยวะสำคัญจนมีดหัก แสดงว่า แทงโดยแรงแล้ว ยังได้ใช้ขวดสุราและขวดน้ำตีที่ศีรษะผู้เสียหายอีกหลายครั้ง ส่องแสดงว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหายมิใช่เพียงเจตนาทำร้าย เมื่อการกระทำของ จำเลยไม่บรรลุผลจึงมีความผิดฐานพยายามฆ่า

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4563/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาฆ่าจากการข่มขืนกระทำชำเรา: ศาลฎีกาพิพากษาความผิดฐานฆ่าจากการกระทำต่อเนื่อง
การที่จำเลยที่ 1 ถอดกางเกงเดินเข้าไปเพื่อข่มขืนกระทำชำเราผู้ตายในขณะที่ผู้ตายไม่ได้สวมกางเกงและยืนพิงลูกกรงระเบียงซึ่งสูงเพียงก้น โดยผู้ตายมิได้ยินยอมที่จะให้จำเลยที่ 1 กระทำชำเรานั้น จำเลยที่ 1 ย่อมเล็งเห็นได้ว่าหากผู้ตายหลบหลีกขัดขืนมิให้จำเลยที่ 1 ข่มขืนกระทำชำเราแล้วอาจจะตกลงไปจากระเบียงอาคารโรงเรียนถึงแก่ความตายได้ เมื่อผู้ตายดิ้นรนขัดขืนเพื่อมิให้จำเลยที่ 1 ข่มขืนกระทำชำเราจนผู้ตายพลัดตกลงไปจากระเบียงอาคารโรงเรียนจนได้รับบาดเจ็บและตายในเวลาต่อมา จึงเป็นผลที่เกิดขึ้นโดยตรงจากการกระทำของจำเลยที่ 1 อันเป็นการกระทำโดยเจตนาฆ่าผู้ตาย จำเลยที่ 1 จึงมีความผิดฐานทำให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพในร่างกาย กระทำอนาจาร พยายามข่มขืนกระทำชำเราและฆ่าผู้อื่น
จำเลยทั้งสามขึ้นไปบนอาคารโรงเรียนพร้อมกัน ขณะที่จำเลยที่ 1 เดินเข้าไปเพื่อจะข่มขืนกระทำชำเราผู้ตาย จำเลยที่ 2 และที่ 3 ยืนอยู่ข้างหน้าพยานโจทก์ซึ่งยืนอยู่ห่างผู้ตายประมาณ 1 วา พฤติการณ์ดังกล่าวของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ยังไม่พอฟังว่าจำเลยที่ 2 และที่ 3 ร่วมหรือสนับสนุนจำเลยที่ 1 ในการกระทำความผิด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4541/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ พยายามขายเมทแอมเฟตามีน - การกระทำไม่สำเร็จบริบูรณ์ - ความผิดฐานพยายามและครอบครอง
การที่จำเลยที่ 2 รับเงินของกลางจากสายลับที่มาล่อซื้อเมทแอมเฟตามีน แล้วติดต่อให้จำเลยที่ 1 ซึ่งมีเมทแอมเฟตามีนของกลาง 5 เม็ดมายังหอพักที่เกิดเหตุ โดยเดินทางมาถึงพร้อมกัน พฤติการณ์ดังกล่าวจึงบ่งชี้ว่าจำเลยทั้งสองได้ร่วมกันขายเมทแอมเฟตามีนแก่สายลับ แต่การที่จำเลยที่ 2 ตกลงขายเมทแอมเฟตามีนและรับเงินจำนวน 200 บาท ที่สายลับนำมาล่อซื้อเก็บไว้ แล้วติดต่อให้จำเลยที่ 1 นำเมทแอมเฟตามีนมาส่งมอบแก่สายลับ และถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมเสียก่อนที่จะมีการส่งมอบเมทแอมเฟตามีนกัน การซื้อขายเมทแอมเฟตามีนระหว่างจำเลยทั้งสองจึงไม่สำเร็จบริบูรณ์ การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงเป็นเพียงความผิดฐานพยายามขายเมทแอมเฟตามีนและฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4541/2543

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดพยายามขายเมทแอมเฟตามีนและมีไว้ในครอบครอง ศาลฎีกายืนโทษฐานร้ายแรงต่อสังคม
จำเลยที่ 2 รับธนบัตรจากสายลับที่มาล่อซื้อเมทแอมเฟตามีนแล้วติดต่อให้จำเลยที่ 1 ซึ่งมีเมทแอมเฟตามีนของกลาง 5 เม็ดมายังหอพักที่เกิดเหตุ โดยเดินทางมาถึงพร้อมกัน พฤติการณ์ดังกล่าวบ่งชี้ว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันขายเมทแอมเฟตามีนแก่สายลับโดย จำเลยที่ 2 ตกลงขายและรับเงิน แล้วติดต่อให้จำเลยที่ 1 นำ เมทแอมเฟตามีนมาส่งมอบแก่สายลับ เมื่อจำเลยทั้งสองมาถึงบริเวณหน้าหอพัก เจ้าพนักงานตำรวจเข้าแสดงตัวและจับกุม การซื้อขายเมทแอมเฟตามีนระหว่างจำเลยทั้งสองกับสายลับจึงไม่สำเร็จบริบูรณ์ เป็นความผิดฐานพยายามขายเมทแอมเฟตามีนของกลาง และฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองโดยไม่รับอนุญาต
การกระทำผิดฐานขายเมทแอมเฟตามีน เป็นความผิดร้ายแรงด้วยส่งผลให้เกิดความเสียหายต่อเศรษฐกิจและสังคมของประเทศเป็นต้นเหตุให้เกิดความเสื่อมโทรมของสังคม บ่อนทำลายสถาบันครอบครัวและวัฒนธรรมอันดีงามของชาติเป็นภัยร้ายแรงที่แพร่ระบาดในหมู่เยาวชนที่อยู่ในวัยศึกษายากแก่การปราบปรามแก้ไข จำเลยทั้งสองเป็นนักศึกษา ย่อมรู้ถึงพิษภัยร้ายแรงดังกล่าว แต่กลับร่วมกระทำผิดในลักษณะที่ช่วยให้เมทแอมเฟตามีนแพร่กระจายเข้าไปในกลุ่มนักศึกษาและหอพักนักศึกษาได้รวดเร็วยิ่งขึ้น จึงไม่มีเหตุอันควรแก่การปรานี ที่ศาลล่างทั้งสองไม่รอการลงโทษเหมาะสมแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3976/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การใช้อาวุธปืนป้องกันตัวเกินสมควร และการกระทำโดยบันดาลโทสะ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยประเด็นใหม่
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานพยายามฆ่า แต่การกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันเกินสมควรแก่เหตุ จำเลยมิได้อุทธรณ์ กลับแก้อุทธรณ์ของโจทก์และขอให้ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าการกระทำของจำเลยไม่เป็นการป้องกัน ดังนี้ ที่จำเลยฎีกาว่าจำเลยใช้อาวุธปืนของกลางยิงผู้เสียหายโดยไม่มีเจตนาฆ่า จึงเป็นฎีกาในข้อที่จำเลยมิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ ต้องห้ามมิให้ฎีกาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา 15
ก่อนเกิดเหตุผู้เสียหายชกต่อยทำร้ายจำเลยที่ชั้นสองของตึกแถว แล้ววิ่งขึ้นไปที่ห้องพักผู้เสียหายที่ชั้นสาม จำเลยตามผู้เสียหายขึ้นไปเพื่อจะทำร้ายผู้เสียหาย เมื่อเห็นผู้เสียหายยืนอยู่ตรงทางเข้าห้องพักผู้เสียหาย จำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหาย 1 นัด ถูกที่บริเวณหน้าท้อง ดังนี้ แม้ผู้เสียหายจะเป็นฝ่ายก่อเหตุทำร้ายจำเลยก่อน แต่ขณะจำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหาย ผู้เสียหายไม่ได้จะเข้าทำร้ายจำเลย และที่ผู้เสียหายทำร้ายจำเลยที่ชั้นสองก็ไม่ใช่ภยันตรายที่ใกล้จะถึง แต่เป็นเหตุการณ์ที่ผ่านพ้นไปแล้ว จำเลยจึงอ้างว่าเป็นการป้องกันสิทธิของตนให้พ้นภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายไม่ได้ แต่การที่ผู้เสียหายทำร้ายจำเลยแล้ววิ่งขึ้นไปชั้นสาม จำเลยตามขึ้นไปแล้วใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายในเวลาต่อเนื่องกระชั้นชิดกับที่จำเลยยังมีโทสะอยู่ เป็นการกระทำเนื่องจากถูกผู้เสียหายข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม เป็นความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่นโดยบันดาลโทสะ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3743/2543

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาฆ่าจากการทำร้ายด้วยอาวุธอันตราย และการไม่เข้าข่ายบันดาลโทสะ
ผู้เสียหายถูกจำเลยใช้มีดขอฟันที่หน้าผากอย่างแรงและเป็นการ เลือกฟันที่ส่วนสำคัญของร่างกายขนาดของมีดขอมีใบมีดยาว12 นิ้วและด้ามยาว 7 นิ้ว นับว่าเป็นมีดขอขนาดใหญ่ที่อาจใช้เป็นอาวุธฟันทำอันตรายบุคคลอื่นถึงแก่ความตายได้บาดแผลที่ศีรษะผู้เสียหาย หากมีการติดเชื้ออาจเป็นฝีที่สมองและผู้เสียหายอาจถึงแก่ความตายได้แม้จำเลยจะฟันถูกผู้เสียหายครั้งเดียว จำเลยก็ย่อมเล็งเห็นผลได้ว่า ผู้เสียหายอาจถึงแก่ความตายได้ถ้าหากไม่ได้รับการรักษาพยาบาลจาก แพทย์ทันท่วงที การกระทำของจำเลยจึงถือได้ว่า เป็นการกระทำโดยมี เจตนาฆ่าผู้เสียหายเมื่อผู้เสียหายไม่ถึงแก่ความตายสมดังเจตนาของ จำเลย จำเลยจึงมีความผิดฐานพยายามฆ่าผู้เสียหาย
การกระทำโดยบันดาลโทสะที่ผู้กระทำความผิดจะได้รับความปรานีจากศาลให้ลงโทษน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 72 ได้นั้น จะต้องปรากฏว่า ผู้กระทำความผิดถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุไม่เป็นธรรมจึงกระทำความผิดต่อผู้ข่มเหงในขณะนั้น ก่อนเกิดเหตุ ผู้เสียหายได้พูดจาหยาบคายก้าวร้าวจำเลยโดยพูดให้ของลับแก่จำเลยขณะที่ผู้เสียหายเดินผ่านหน้าจำเลย แม้ผู้เสียหายพูดอีกว่า "จับผัวมันไว้ ปล่อยเมียมันมา"ก็ไม่ได้ความว่ามีความหมายอย่างไร หรือผู้เสียหายจะกระทำอย่างไรตามที่ตนพูด การกระทำของผู้เสียหายจึงน่าจะเป็นการยั่วโทสะจำเลยด้วยความคะนองปากตามประสาคนเมาสุราเท่านั้น ซึ่ง ไม่เพียงพอที่จะถือว่าเป็นการข่มเหงจำเลยอย่างร้ายแรงด้วยเหตุ ไม่เป็นธรรม การที่จำเลยมีความโกรธแค้นและทำร้ายผู้เสียหาย ในขณะนั้น จำเลยจะมาอ้างว่าเป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะตามกฎหมายไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3454/2543

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิจารณาความผิดฐานพยายามฆ่าและต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงาน ต้องอาศัยพยานหลักฐานที่ชัดเจนและครบถ้วน หากพยานหลักฐานไม่เพียงพอ ศาลต้องยกฟ้อง
โจทก์บรรยายข้อเท็จจริงไว้ในคำฟ้องข้อ 1 ค. ว่า หลังจาก จำเลยขับรถด้วยความประมาทแล้วผู้เสียหายซึ่งเป็นเจ้าพนักงานจราจรและได้รับแจ้งเหตุให้สกัดจับจำเลยได้ออกมายืนสกัดอยู่กลางถนนและให้สัญญาณมือให้จำเลยหยุดรถเพื่อจับกุมดำเนินคดี อันเป็นการปฏิบัติการตามหน้าที่ แต่จำเลยขับรถพุ่งเข้าชนผู้เสียหายโดยเจตนาฆ่าเพื่อขัดขวางการจับกุม ซึ่งเป็นความผิดฐานต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติการตามหน้าที่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 138 วรรคสองแต่โจทก์มิได้อ้างบทมาตราดังกล่าว ซึ่งโจทก์ถือว่าเป็นความผิดและขอให้ ลงโทษจำเลยมาในคำขอท้ายฟ้อง คงอ้างเฉพาะมาตรา 289,80เห็นได้ว่าโจทก์ประสงค์ให้ลงโทษจำเลยเฉพาะแต่ในความผิดฐานพยายามฆ่าเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่ มิได้ประสงค์จะให้ลงโทษจำเลยในความผิดฐานต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติการตามหน้าที่ด้วยจึงไม่อาจลงโทษจำเลยในความผิดฐานต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติการตามหน้าที่ได้ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 192 วรรคสี่
ก่อนที่ผู้เสียหายทั้งสองจะไปยืนขวางถนน ขณะจำเลยขับรถย้อนกลับมาผู้เสียหายที่ 1 ได้ออกไปยืนขวางถนนด้านตรงกันข้ามเพื่อไม่ให้จำเลยขับรถหลบหนีไปแล้วครั้งหนึ่ง แต่จำเลยก็ขับรถหลบหนีผู้เสียหายที่ 1 ไป ไม่ได้ขับพุ่งเข้าชน เมื่อจ่าสิบตำรวจ ว. ขับรถจักรยานยนต์แซงไปจอดขวางถนน จำเลยก็เลี้ยวรถกลับไม่ได้ขับรถฝ่าไป หลังจากผ่านผู้เสียหายทั้งสองไปแล้ว จำเลยก็ยังขับรถหลบหลีกเจ้าพนักงานตำรวจอื่นซึ่งยืนสกัดขัดขวางอยู่อีกหลายคนถึงขนาดขับรถข้ามเกาะกลางถนนเข้าไปในช่องเดินรถสวน แสดงว่า จำเลยเพียงแต่พยายามขับรถหลบหนีไม่ให้ถูกจับกุม หากจำเลยจะกระทำโดยวิธีขับรถพุ่งเข้าชนผู้ที่ขวางทางอยู่ก็คงจะไม่เว้นแม้กระทั่งเจ้าพนักงานตำรวจอื่นที่สกัดอยู่ สำหรับบาดแผลที่ข้อมือของผู้เสียหายทั้งสองมีขนาดเล็กเพียง 1 คูณ 2 เซนติเมตร ไม่ระบุลักษณะและโจทก์ไม่ได้นำสืบให้เห็นว่าเป็นบาดแผลที่เกิดจากของไม่มีคมจึงอาจเกิดจากการถูกกระจกรถจำเลยซึ่งแตกเสียหายบาดในขณะเข้าไปจับจำเลยออกมาจากรถก็เป็นได้พยานหลักฐานโจทก์ไม่พอฟังลงโทษจำเลยในความผิดฐานพยายามฆ่าได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3237/2543

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาฆ่าจากการทำร้ายร่างกายส่วนสำคัญของร่างกายจนอาจถึงแก่ชีวิต
ผู้เสียหายมีบาดแผลฉีกขาดที่ด้านซ้ายของคอขนาดยาว 7 เซนติเมตรลึกถึงชั้นกล้ามเนื้อคอและเส้นเลือดข้างคอ ตัดเส้นประสาทและกล้ามเนื้อข้างคอหลายมัด แพทย์ผู้ตรวจรักษาเบิกความว่าหากไม่ได้รับการรักษาโดยทันที อาจเสียเลือดและช็อคถึงแก่ชีวิตได้ ลักษณะบาดแผลที่ผู้เสียหายถูกฟัน ที่คอ แม้จะไม่ได้ความชัดว่าอาวุธที่ใช้ฟันดังกล่าวเป็นมีดหรือขวานก็ตาม แต่การที่จำเลยกับพวกใช้อาวุธดังกล่าวฟันไปที่คอของผู้เสียหายอันเป็น ส่วนสำคัญของร่างกายจนได้รับบาดแผลฉกรรจ์ ซึ่งหากไม่ได้รับการรักษา โดยทันทีแล้วผู้เสียหายจะถึงแก่ความตาย ฟังได้ว่าจำเลยกับพวกกระทำการ ดังกล่าวโดยมีเจตนาฆ่า เมื่อผู้เสียหายไม่ถึงแก่ความตายจำเลยจึงมีความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3227/2543

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพยายามฆ่าและพยายามชิงทรัพย์: การรับฟังพยานหลักฐานและการพิจารณาความผิดสำเร็จ
แม้คืนวันเกิดเหตุจะเป็นคืนข้างแรมเดือนมืด แต่โจทก์ร่วมก็รู้จักกับจำเลยมาตั้งแต่ยังเด็ก อาศัยอยู่ในหมู่บ้านเดียวกัน ประกอบกับจำเลยมีลักษณะพิเศษคือศีรษะมีผมขาวและรูปร่างล่ำไม่สูงขณะเกิดเหตุโจทก์ร่วมยืนยันว่าจำเลยยืนอยู่ที่มุมบ่อเลี้ยงปลาห่างจากโจทก์ร่วมเพียง 8 เมตร และไฟฉายที่ใช้ส่องไปยังจำเลยกับพวกเป็นไฟฉายขนาดถ่านไฟฉาย 3 ก้อน และถ่านที่ใช้ยังใหม่ โจทก์ร่วมสามารถเห็นจำเลยได้อย่างชัดเจนจากแสงไฟฉายที่ส่องกราดไปยังจำเลย นอกจากนี้คำเบิกความของโจทก์ร่วมก็ยังสอดคล้องกับคำเบิกความของพยานโจทก์และโจทก์ร่วม ซึ่งแม้ส่วนใหญ่จะเกี่ยวพันเป็นญาติใกล้ชิดกับโจทก์ร่วมก็ตามแต่ทั้งโจทก์ร่วมและพยานโจทก์คนอื่น ๆ ต่างก็รู้จักคุ้นเคยกับจำเลยมาก่อน และต่างก็ยืนยันว่าไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อน เชื่อว่าพยานดังกล่าวได้เบิกความไปตามความเป็นจริงจึงรับฟังได้ว่าจำเลยเป็นคนร้ายที่ร่วมกับพวกลักปลาในบ่อเลี้ยงปลาของโจทก์ร่วมและใช้อาวุธปืนยิงโจทก์ร่วมจริง การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานพยายามฆ่าโจทก์ร่วม และร่วมกันพยายามชิงทรัพย์เป็นเหตุให้โจทก์ร่วมรับอันตรายสาหัสโดยมีและใช้อาวุธปืน
ก่อนที่จะได้ยินเสียงทอดแหในบ่อเลี้ยงปลา โจทก์ร่วมซุ่มอยู่ที่โคนต้นขนุนมุมบ่อ เมื่อได้ยินเสียงทอดแหในบ่อเลี้ยงปลานั้นโจทก์ร่วมก็ยิงปืนขึ้นฟ้า 1 นัด เมื่อคนร้ายเพิ่งจะทอดแหในบ่อเลี้ยงปลาของโจทก์ร่วมเพียงครั้งเดียว และนอกจากปลาจำนวน 6 ตัว ซึ่งติดอยู่ในแหของคนร้ายที่จมอยู่ในบ่อเลี้ยงปลาแล้วจำเลยกับพวกยังไม่ได้ปลาอื่น ๆ ไปจากบ่อเลี้ยงปลาของโจทก์ร่วม การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานร่วมกันพยายามชิงทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัสโดยมีและใช้อาวุธปืน มิใช่เป็นความผิดฐานชิงทรัพย์
of 146