พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,460 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 663/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลฎีกาแก้ปัญหาข้อเท็จจริงนอกฎีกา และการประเมินความผิดฐานประมาท
เมื่อศาลฎีการับวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายตามฎีกาของจำเลยจะว่าการกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดโดยบันดาลโทสะ แล้ว แม้ฎีกาของจำเลยในข้อต่อไปที่ว่าจำเลยพยายามฆ่าผู้เสียหายตามคำฟ้องหรือไม่เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามมิให้ฎีกาตาม ป.วิ.อ. มาตรา 218 วรรคหนึ่งก็ตาม แต่ถ้าศาลฎีกาเห็นว่าพยานหลักฐานในสำนวนฟังไม่ได้ว่าจำเลยพยายามฆ่าผู้เสียหายซึ่งมีผลให้การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิด ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจหยิบยกปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามฎีกาขึ้นวินิจฉัย และพิพากษายกฟ้องโจทก์ได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 185 ประกอบด้วย มาตรา 215 และ 225
แม้ข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่า เหตุที่อาวุธปืนลั่นเป็นเพราะจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหายก็ตาม แต่การที่จำเลยถืออาวุธปืนวิ่งไล่ตามยิงขู่ผู้เสียหายตามวิสัยและพฤติการณ์เช่นนั้น จำเลยต้องใช้ความระมัดระวังให้มาก เพราะวิถี-กระสุนปืนอาจจะไปถูกผู้เสียหายได้ แต่จำเลยหาได้ใช้ให้เพียงพอไม่ เป็นเหตุให้อาวุธปืนลั่นไปถูกผู้เสียหายเมื่อถูกผู้เสียหายใช้มือปัดและผู้เสียหายได้รับบาดเจ็บกระดูกนิ้วชี้หักต้องใช้เวลารักษาให้หายเป็นปกติประมาณ 3 เดือน การกระทำของจำเลยจึงเป็นการกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้เสียหายได้รับอันตรายสาหัสตาม ป.อ. มาตรา 300 แม้ว่าทางพิจารณาจะได้ความแตกต่างกับคำฟ้อง แต่การแตกต่างระหว่างการกระทำโดยเจตนากับประมาทนั้น กฎหมายมิให้ถือว่าต่างกันในข้อสาระสำคัญ ศาลฎีกาย่อมพิพากษาลงโทษจำเลยตามที่พิจารณาได้ความได้ตามป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคสาม
แม้ข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่า เหตุที่อาวุธปืนลั่นเป็นเพราะจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหายก็ตาม แต่การที่จำเลยถืออาวุธปืนวิ่งไล่ตามยิงขู่ผู้เสียหายตามวิสัยและพฤติการณ์เช่นนั้น จำเลยต้องใช้ความระมัดระวังให้มาก เพราะวิถี-กระสุนปืนอาจจะไปถูกผู้เสียหายได้ แต่จำเลยหาได้ใช้ให้เพียงพอไม่ เป็นเหตุให้อาวุธปืนลั่นไปถูกผู้เสียหายเมื่อถูกผู้เสียหายใช้มือปัดและผู้เสียหายได้รับบาดเจ็บกระดูกนิ้วชี้หักต้องใช้เวลารักษาให้หายเป็นปกติประมาณ 3 เดือน การกระทำของจำเลยจึงเป็นการกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้เสียหายได้รับอันตรายสาหัสตาม ป.อ. มาตรา 300 แม้ว่าทางพิจารณาจะได้ความแตกต่างกับคำฟ้อง แต่การแตกต่างระหว่างการกระทำโดยเจตนากับประมาทนั้น กฎหมายมิให้ถือว่าต่างกันในข้อสาระสำคัญ ศาลฎีกาย่อมพิพากษาลงโทษจำเลยตามที่พิจารณาได้ความได้ตามป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคสาม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 546/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
พยายามฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน: อาฆาต พฤติการณ์ทำร้าย และการรับสารภาพ
ก่อนคดีนี้จำเลยเคยบุกรุกเข้าทำร้ายผู้เสียหายแล้วถูกศาลพิพากษาลงโทษ จำเลยได้พูดอาฆาตผู้เสียหายว่าจะฆ่าผู้เสียหาย วันเกิดเหตุเมื่อผู้เสียหายจอดรถที่หน้าบ้าน จำเลยตรงเข้าทำร้ายผู้เสียหายทันทีพร้อมกับพูดว่าวันนี้กูจะฆ่ามึง โดยไม่มีการพูดจาอะไรกัน แสดงให้เห็นถึงมูลเหตุและการตระเตรียมของจำเลยว่าเป็นการไตร่ตรองไว้ก่อนแล้ว ประกอบกับจำเลยให้การรับสารภาพผิดตามฟ้องย่อมรวมถึงรับในข้อไตร่ตรองไว้ก่อนด้วย จำเลยจึงมีความผิดฐานพยายามฆ่าผู้เสียหายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 487/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความสำคัญผิดในความผิดอาญา: การทำร้ายผู้อื่นโดยเข้าใจผิดว่าเป็นบุคคลอื่น และเจตนาในการกระทำ
จำเลยไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกับผู้เสียหาย เหตุที่จำเลยฟันทำร้ายผู้เสียหายเนื่องจากเข้าใจผิดว่าผู้เสียหายเป็นนาย ค.ซึ่งมีเหตุวิวาทกันมาก่อนจำเลยจะยกเอาความสำคัญผิดเป็นข้อแก้ตัวไม่ได้ ต้องถือว่าจำเลยมีเจตนาที่จะกระทำต่อนายค.เช่นใด ก็ต้องรับผิดในผลของการกระทำที่เกิดขึ้นแก่ผู้เสียหายเช่นนั้น ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 61 การที่จำเลยหยิบฉวยมีดอีโต้ในบ้านที่เกิดเหตุ ไม่ใช่อาวุธที่ตระเตรียมมาก่อน ฟันทำร้ายผู้เสียหายเพียงครั้งเดียวโดยมิได้เจาะจงว่าเป็นส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายโดยเฉพาะ ผู้เสียหายได้รับบาดเจ็บง่ามมือซ้ายฉีกเกือบขาด อาจเป็นเพราะส่วนนั้นไม่มีส่วนแข็งหรือกระดูกที่ป้องกันคมมีดได้ดีสาเหตุที่ทำร้ายนายค.ก็เป็นเรื่องเล็กน้อยที่เกิดขึ้นเสมอในวงสุรา จำเลยจึงไม่มีเจตนาจะฆ่าผู้เสียหายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน เป็นเพียงผิดฐานทำร้ายผู้อื่นเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัส
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 405/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนายิงแสดงความพร้อมเริ่มกระทำความผิดฐานพยายามฆ่า แม้ยังไม่ได้ลั่นไก
จำเลยยกอาวุธปืนแก๊ปยาวซึ่งตามปกติธรรมดาเป็นอาวุธร้ายแรงจ้องเล็งไปยังผู้เสียหายพร้อมกับพูดว่าจะยิงผู้เสียหายและถีบบ. ผู้ขอร้องจำเลยว่าอย่ายิงล้มลงเพื่อให้พ้นจากการขัดขวางจำเลยไม่ให้ยิงผู้เสียหาย การกระทำดังกล่าวแสดงว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหายและพร้อมที่จะยิงผู้เสียหายแล้ว แต่ผู้เสียหายหลบไปอยู่ข้างหลัง ว. โดยกอดเอวไว้ ทำให้จำเลยไม่สามารถเลือกยิงผู้เสียหายได้ในทันที ดังนี้ แม้ไม่ได้ความขัดว่านิ้วมือของจำเลยสอดเข้าในโกร่งไกปืนแล้วหรือยัง แต่จำเลยพร้อมจะยิงผู้เสียหายเป็นการเริ่มต้นกระทำความผิดแล้ว ครบองค์ประกอบตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบมาตรา 80 จึงเป็นความผิดฐานพยายามฆ่า
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4185/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สำคัญผิดในสถานการณ์คับขัน: การป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายจากการเข้าใจผิดว่าเป็นคนร้าย
เหตุเกิดเวลากลางคืน บริเวณที่เกิดเหตุมีต้นไม้ขึ้นอยู่ข้างทางมืดครึ้ม บ้านจำเลยเคยถูกคนร้ายปล้นทรัพย์และลักทรัพย์หลายครั้งการที่ผู้เสียหายมาเดินอยู่ข้างบ้านจำเลยในยามวิกาลเวลาเกือบเที่ยงคืนโดยปราศจากผู้คนสัญจรไปมา เมื่อจำเลยร้องถามว่าใครก็ไม่ตอบย่อมทำให้จำเลยสำคัญผิดว่าเป็นคนร้าย ครั้นจำเลยวิ่งออกมาจากบ้านเห็นเพียงตัวคนดำ ๆ เคลื่อนไหวไปมา ไม่อาจรู้ได้ว่าจะมีอาวุธหรือไม่ จึงยิงผู้เสียหายไปเพียง 1 นัด แต่เมื่อผู้เสียหายลุกขึ้นวิ่งหนีก็มิได้ยิงซ้ำนั้น เป็นพฤติการณ์ที่จำเลยสำคัญผิดว่าผู้เสียหายเป็นคนร้ายจึงใช้ปืนยิง จึงเป็นการป้องกันสิทธิของตนพอสมควรแก่เหตุ เป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 68 ประกอบด้วยมาตรา 62 วรรคแรก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3627/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิจารณาความผิดฐานพยายามปล้นทรัพย์: ปืนไม่ลั่นไม่ถือว่าใช้ปืนยิง ศาลฎีกามีอำนาจแก้ไขโทษที่ศาลอุทธรณ์ปรับบทลงโทษผิด
ในการปล้นทรัพย์จำเลยใช้ปืนยิงแต่ปืนไม่ลั่น ไม่อาจถือได้ว่าเป็นการปล้นทรัพย์โดยใช้ปืนยิง ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นว่า จำเลยมีความผิดฐานพยายามปล้นทรัพย์โดยใช้ปืนยิงตามมาตรา 340 วรรคสี่ประกอบมาตรา 80 จึงไม่ถูกต้องคงมีความผิดฐานพยายามปล้นทรัพย์โดยมีอาวุธติดตัวไปด้วย ตามมาตรา 340 วรรคสองประกอบมาตรา 80 เท่านั้น การที่ศาลอุทธรณ์ปรับบทลงโทษจำเลยไม่ถูกต้อง เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้คู่ความมิได้ฎีกา ศาลฎีกามีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 195 วรรคสอง ประกอบด้วยมาตรา 225
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3461/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดทางอาญาของผู้ป่วยจิตเวช: การประเมินความสามารถในการรู้ผิดชอบและควบคุมตนเอง
จำเลยมีอาการป่วยทางจิต เป็นโรควิตกกังวล จำเลยใช้มีดแทงโจทก์ร่วมโดยไม่มีสาเหตุ เมื่อเกิดเหตุแล้วจำเลยไม่หลบหนีคงนั่งซึมอยู่ที่บ้านจนถูกนำตัวส่งเจ้าพนักงานตำรวจ ชั้นสอบสวนจำเลยให้การว่า เกิดประสาทหลอนคิดว่าจะมีคนมาฆ่าจึงหยิบมีดขึ้นมาถือหลังจากนั้นมีดจะไปแทงถูกโจทก์ร่วมอย่างไรจำเลยไม่ทราบ ตามปกติจำเลยสามารถทำงานได้ แต่เวลาจำเลยมีอาการจะมีลักษณะกลัวคนซึ่งตามหลักวิชาการจำเลยยังสามารถรู้ผิดชอบอยู่ ขณะกระทำผิดจำเลยจึงยังสามารถรู้ผิดชอบและสามารถบังคับตนเองได้บ้างตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 65 วรรคสอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3432/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ตัวการร่วมทำร้ายร่างกายและฆ่าผู้อื่น โดยมีพฤติการณ์เป็นต้นเหตุของเรื่องและให้กำลังใจ
จำเลยเป็นต้นเหตุของเรื่อง หลังจากจำเลยถูกตีแล้วก็กลับไปนำ บ. และพวกมาก่อเหตุที่บ้านโจทก์ร่วมที่ 2 เมื่อ บ.ยิงผู้ตายและโจทก์ร่วมที่ 2 แล้ว จำเลยก็ร้องตะโกนให้ฆ่าฝ่ายโจทก์ร่วมที่ 2 เป็นเชิงให้กำลังใจ และรับรองการกระทำของ บ. จากนั้นก็พากันหลบหนีไปพร้อมกัน การกระทำของจำเลยเข้าลักษณะเป็นตัวการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3431/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาฆ่าจากการยิงปืนในกลุ่มบุคคล: ศาลฎีกาวินิจฉัยการกระทำที่เล็งเห็นผลร้าย
การที่จำเลยที่ 2 ใช้ปืนซึ่งเป็นอาวุธร้ายแรงยิงไปทางกลุ่มผู้เสียหายซึ่งมีประมาณ 10 คน โดยไม่ใยดีว่ากระสุนปืนจะถูกใครหรือไม่ แม้จะเป็นการยิงเพียงนัดเดียวก็อาจถูกผู้อื่นถึงแก่ความตายได้ ทั้งกระสุนปืนดังกล่าวถูกแขนขวาของผู้เสียหาย จึงเป็นการกระทำที่ย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้น เป็นการกระทำโดยเจตนาฆ่าตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 59 วรรคสอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2480/2535 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ลักทรัพย์ไม่สำเร็จ: การเบิกสินค้าโดยทุจริตแต่ยังอยู่ในครอบครองผู้เสียหาย
แม้จำเลยเป็นผู้เขียนใบเบิกสินค้าทั้ง 5 รายการ และเบิกสินค้าโดยไม่มีใบสั่งซื้อ 2 รายการ โดยทุจริตเพื่อลักทรัพย์ อันเป็นการลงมือกระทำความผิดฐานลักทรัพย์แล้วก็ตาม แต่เมื่อสินค้านั้นยังคงอยู่ในความครอบครองของผู้เสียหายการกระทำของจำเลยดังกล่าว จึงเป็นเพียงการลงมือกระทำผิดฐานลักทรัพย์แล้ว แต่กระทำไปไม่ตลอดเท่านั้น อันเป็นความผิดฐานพยายามลักทรัพย์ของผู้เสียหายซึ่งเป็นนายจ้าง