พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,460 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 957/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกำหนดอายุความฟ้องอาญา ต้องพิจารณาจากอัตราโทษตามบทมาตราที่โจทก์ฟ้อง ไม่ใช่โทษที่ศาลตัดสิน
อัตราโทษที่จะนำมาพิจารณากำหนดอายุความฟ้องผู้กระทำผิดตามที่กำหนดไว้ในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 95 นั้น ถืออัตราโทษสูงสุดสำหรับความผิดที่บัญญัติไว้ในบทมาตราที่โจทก์ฟ้องเป็นหลักมิใช่ถือตามโทษที่ศาลกำหนดในคำพิพากษาลงแก่จำเลย แม้ศาลฟังว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 ซึ่งวางโทษจำคุกไม่เกินสองปีจะต้องฟ้องภายในอายุความสิบปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 95(3)แต่โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288,80ซึ่งมีอัตราโทษสูงสุดจำคุกตลอดชีวิตกำหนดอายุความยี่สิบปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 95(1) และคดีนี้เหตุเกิดวันที่ 6ธันวาคม 2517 โจทก์ฟ้องเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2532 จึงไม่ขาดอายุความ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 852/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาปล้นทรัพย์ ไม่ถือเป็นเจตนาฆ่า การกระทำยิงเป็นการกระทำส่วนตัวของผู้กระทำ
จำเลยที่ 1 ที่ 2 กับพวกเพียงแต่มีเจตนาจะมาปล้นทรัพย์เท่านั้นแม้จำเลยที่ 2 จะทราบว่าจำเลยที่ 1 มีอาวุธปืนติดตัวมาด้วยก็ยังไม่เป็นการแน่นอนว่าจำเลยที่ 1 จะต้องใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายเสมอไป เมื่อจำเลยที่ 2 ยืนอยู่เฉย ๆ มิได้แสดงอาการใดให้ปรากฏว่าจะให้จำเลยที่ 1 ยิงผู้เสียหาย การที่จำเลยที่ 1 ยิงผู้เสียหายทั้ง ๆ ที่ผู้เสียหายมิได้ขัดขืน จึงเป็นการกระทำของจำเลยที่ 1 เองตามลำพังและโดยฉับพลันในขณะนั้นเอง แม้หลังจากเกิดเหตุแล้วจำเลยที่ 2 วิ่งหนีไปกับจำเลยที่ 1 ก็เป็นเรื่องธรรมดาของผู้ร่วมกระทำผิดฐานปล้นทรัพย์ ถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2 ร่วมกับจำเลยที่ 1 พยายามฆ่าผู้เสียหาย.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 825/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขัดขวางการตรวจค้นของเจ้าพนักงานสรรพสามิตและการทำร้ายร่างกาย ถือเป็นกรรมเดียว
เจ้าพนักงานสรรพสามิตมีอำนาจเข้าไปตรวจค้นในสถานที่ของผู้ได้รับอนุญาตให้ขายสุราในเวลาทำการได้ตามพระราชบัญญัติสุราพ.ศ. 2493 มาตรา 28 โดยไม่ต้องมีหมายค้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 92 จำเลยใช้ขวดตีผู้เสียหายที่ 1 ที่ 2 และใช้ขวานเงื้อจะฟันผู้เสียหายที่ 3 ในขณะที่ผู้เสียหายทั้งสามทำการตรวจค้น แสดงว่าจำเลยมีเจตนาเพื่อการขัดขวางในครั้งนี้เท่านั้น จึงเป็นการกระทำกรรมเดียว.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 491/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความสมบูรณ์ของฟ้องอาญา: สถานที่เกิดเหตุและข้อเท็จจริงที่จำเลยเข้าใจ
ฟ้องโจทก์ระบุว่า สถานที่เกิดเหตุคือบริเวณบริษัท ค.แม้มิได้ระบุว่าบริษัทดังกล่าวตั้งอยู่ที่ใดก็ตาม แต่ในตอนท้ายของคำฟ้องได้กล่าวไว้ว่า ระหว่างสอบสวนจำเลยถูกควบคุมตัวอยู่ตามหมายขังของศาลชั้นต้นในคดีหมายเลขดำที่ พ.812/2533 ซึ่งพออนุโลมได้ว่าเป็นส่วนประกอบของคำฟ้อง และปรากฏว่าในสำนวนคดีดังกล่าวซึ่งติดอยู่ตอนหน้าของสำนวนคดีนี้นั้นตามคำร้องของพนักงานสอบสวนที่ขอฝากขังจำเลยในขณะที่เป็นผู้ต้องหาได้ระบุสถานที่เกิดเหตุที่บริษัทดังกล่าวว่า อยู่ที่ตำบลสำโรงใต้ อำเภอพระประแดงจังหวัดสมุทรปราการ และจำเลยได้รับสำเนาคำร้องฉบับนี้ไปแล้วจำเลยย่อมจะเข้าใจได้ดีว่าเหตุคดีนี้เกิดที่ใดจึงได้ให้การรับสารภาพ ฟ้องของโจทก์เป็นฟ้องที่สมบูรณ์ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5) แล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 491/2534 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความสมบูรณ์ของฟ้องอาญา: สถานที่เกิดเหตุที่พอสมควรต่อการเข้าใจข้อหา
ฟ้องโจทก์ระบุว่าสถานที่เกิดเหตุคือบริเวณบริษัท ค. แม้มิได้ระบุว่าบริษัทดังกล่าวตั้งอยู่ที่ใดก็ตาม แต่ในตอนท้ายของคำฟ้องได้กล่าวไว้ว่า ระหว่างสอบสวนจำเลยถูกควบคุมตัวอยู่ตามหมายขังของศาลชั้นต้นในคดีหมายเลขดำที่ พ.812/2533 ซึ่งพออนุโลมได้ว่าเป็นส่วนประกอบของคำฟ้อง และปรากฏว่าในสำนวนคดีดังกล่าวซึ่งติดอยู่ตอนหน้าของสำนวนคดีนี้นั้นตามคำร้องของพนักงานสอบสวนที่ขอฝากขังจำเลยในขณะที่เป็นผู้ต้องหาได้ระบุสถานที่เกิดเหตุที่บริษัทดังกล่าวว่าอยู่ที่ตำบลสำโรงใต้ อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการและจำเลยได้รับสำเนาคำร้องฉบับนี้ไปแล้ว จำเลยย่อมจะเข้าใจได้ดีว่าเหตุคดีนี้เกิดที่ใดจึงได้ให้การรับสารภาพ ฟ้องของโจทก์เป็นฟ้องที่สมบูรณ์ชอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 158(5) แล้ว.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 487/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิจารณาความผิดฐานพยายามฆ่า ต้องพิจารณาถึงเจตนาและระยะเวลาในการเตรียมการ
จำเลยเมาสุราโกรธผู้เสียหายเพราะถูกผู้เสียหายทำร้าย คิดจะฆ่าผู้เสียหายในทันทีทันใดที่ถูกทำร้าย แล้วเดินกลับไปเอามีดที่บ้านจำเลยซึ่งอยู่ห่างจากที่เกิดเหตุเพียงประมาณ 40 เมตร โดยมิได้หยุดพัก มาแทงผู้เสียหายด้วยความโกรธที่มีอยู่เดิม จำเลยใช้มีดแทงทำร้ายผู้เสียหายหลังจากถูกผู้เสียหายทำร้ายไม่นาน ไม่พอฟังว่าจำเลยพยายามฆ่าผู้เสียหายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 469/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาทำร้าย vs. พยายามฆ่า: การประเมินความผิดฐานอาญา
จำเลยเป็นบุตรเขยของผู้เสียหาย ไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกันก่อนเกิดเหตุร่วมดื่มสุราด้วยกันจนเมา สาเหตุที่ทะเลาะกันก็เป็นเรื่องเพียงเล็กน้อยแม้มีดที่จำเลยแทงผู้เสียหายจะยาวถึง 8 นิ้วเศษ และจำเลยแทงผู้เสียหายที่บริเวณชายโครงซึ่งเป็นอวัยวะสำคัญของผู้ตาย แต่จำเลยก็แทงเพียงครั้งเดียวโดยไม่ได้แทงซ้ำทั้ง ๆ ที่มีโอกาส เมื่อจำเลยเห็นผู้เสียหายมีโลหิตไหล จำเลยก็ใช้มือปิดแผลให้เพราะเกรงว่าโลหิตจะออกมาก แสดงว่าจำเลยไม่มีเจตนาฆ่าผู้เสียหาย เพียงแต่มีเจตนาทำร้าย
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษฐานพยายามฆ่า แม้ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยมีเจตนาทำร้ายร่างกายเท่านั้น แต่การกระทำความผิดฐานทำร้ายร่างกายเป็นการกระทำที่รวมอยู่ในความผิดฐานฆ่าผู้อื่น และเป็นความผิดได้อยู่ในตัวเอง ศาลพิพากษาลงโทษจำเลยฐานทำร้ายร่างกายได้ตาม ป.วิ.อ มาตรา 192 วรรคท้าย
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษฐานพยายามฆ่า แม้ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยมีเจตนาทำร้ายร่างกายเท่านั้น แต่การกระทำความผิดฐานทำร้ายร่างกายเป็นการกระทำที่รวมอยู่ในความผิดฐานฆ่าผู้อื่น และเป็นความผิดได้อยู่ในตัวเอง ศาลพิพากษาลงโทษจำเลยฐานทำร้ายร่างกายได้ตาม ป.วิ.อ มาตรา 192 วรรคท้าย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 469/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาทำร้ายร่างกาย vs. เจตนาฆ่า: การพิจารณาความผิดฐานทำร้ายร่างกายอันเป็นความผิดได้ในตัวเอง
จำเลยเป็นบุตรเขยของผู้เสียหาย ไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกันก่อนเกิดเหตุร่วมดื่มสุราด้วยกันจนเมา สาเหตุที่ทะเลาะกันก็เป็นเรื่องเพียงเล็กน้อย แม้มีดที่จำเลยแทงผู้เสียหายจะยาวถึง 8 นิ้วเศษและจำเลยแทงผู้เสียหายที่บริเวณชายโครงซึ่งเป็นอวัยวะสำคัญของผู้ตาย แต่จำเลยก็แทงเพียงครั้งเดียวโดยไม่ได้แทงซ้ำทั้ง ๆ ที่มีโอกาส เมื่อจำเลยเห็นผู้เสียหายมีโลหิตไหล จำเลยก็ใช้มือปิดแผลให้เพราะเกรงว่าโลหิตจะออกมาก แสดงว่าจำเลยไม่มีเจตนาฆ่าผู้เสียหายเพียงแต่มีเจตนาทำร้าย โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษฐานพยายามฆ่า แม้ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยมีเจตนาทำร้ายร่างกายเท่านั้น แต่การกระทำความผิดฐานทำร้ายร่างกายเป็นการกระทำที่รวมอยู่ในความผิดฐานฆ่าผู้อื่น และเป็นความผิดได้อยู่ในตัวเอง ศาลพิพากษาลงโทษจำเลยฐานทำร้ายร่างกายได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคท้าย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 232/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาทำร้ายร่างกาย vs. พยายามฆ่า: การพิจารณาจากลักษณะบาดแผลและพฤติการณ์
จำเลยและผู้เสียหายเป็นพี่น้องร่วมมารดาเดียวกัน จำเลยโมโหเรื่องที่ถูกผู้เสียหายทวงเงินและเรื่องที่ผู้เสียหายให้เครื่องบันทึกเสียงแล้วเอาคืน วันเกิดเหตุจำเลยเมาสุราได้ใช้อาวุธมีดขอ ตัวมีดยาวประมาณ 17 นิ้ว ด้ามมีดยาวประมาณ 7 นิ้วฟันผู้เสียหายสามครั้ง ครั้งแรกฟันผู้เสียหายขณะหันหลัง คมมีดถูกเสาประตูรั้ว ผู้เสียหายหันมาเห็นจึงเข้าประชิดจำเลย จำเลยจึงฟันไปอีกถูกต้นแขนซ้าย ผู้เสียหายวิ่งไปแอบที่เสาบ้าน จำเลยเข้าไปฟันเป็นครั้งที่สามคมมีดถูกเสาบ้าน ดังนี้ เห็นได้ว่าจำเลยไม่มีเจตนาฆ่า เพราะในการฟันครั้งแรกผู้เสียหายกับจำเลยยืนเหลื่อมกันอยู่ในลักษณะมีเสาประตูรั้วคั่น ถ้ามีเจตนาฆ่าจำเลยซึ่งมีอาวุธมีด ผู้เสียหายมือเปล่า จำเลยต้องเลือกฟันอวัยวะสำคัญส่วนอื่นที่ไม่มีเสาประตูรั้วบัง การฟันครั้งที่สองถูกผู้เสียหายเป็นบาดแผลก็รักษาเพียง 10 วันหาย ส่วนการฟันครั้งที่สามก็เช่นเดียวกับการฟันครั้งแรกโดยมีเสาบ้านคั่นอยู่มีดจึงฟันถูกเสาบ้าน จากลักษณะบาดแผลและพฤติการณ์ของจำเลย จำเลยมีความผิดเพียงฐานทำร้ายร่างกายเท่านั้น.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 117/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกระทำอนาจารเด็กและการพิจารณาความผิดฐานพยายามกระทำชำเรา โดยพิจารณาจากพยานหลักฐานทางการแพทย์
ตามพฤติการณ์ของจำเลยน่าเชื่อว่า จำเลยเพียงแต่ใช้อวัยวะเพศของจำเลยถู ไถสัมผัสอวัยวะเพศของผู้เสียหายที่ด้านนอกจนสำเร็จความใคร่โดยไม่มีเจตนาสอดใส่เข้าไปในอวัยวะเพศของผู้เสียหาย จำเลยจึงไม่มีความผิดฐานพยายามกระทำชำเราผู้เสียหาย การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานกระทำอนาจารแก่เด็กอายุไม่เกินสิบห้าปี ตาม ป.อ. มาตรา 279 วรรคแรก และเป็นการกระทำแก่ผู้สืบสันดานมีโทษหนักขึ้นตามมาตรา 285 แม้โจทก์ขอให้ลงโทษจำเลยตาม ป.อ. มาตรา 277 และ 285 โดยไม่ได้ขอให้ลงโทษจำเลยตามมาตรา 279 ด้วย แต่ความผิดตามที่โจทก์ฟ้องนั้นรวมการกระทำผิดฐานกระทำอนาจารตามมาตรา 279 ด้วย ศาลมีอำนาจลงโทษจำเลยตามความผิดที่พิจารณาได้ความได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192วรรคท้าย.