พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,460 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1916/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาฆ่าจากการใช้เหล็กขูดชาฟท์แทงผู้เสียหายบริเวณหน้าอก แม้ไม่ถึงแก่ชีวิต ถือเป็นความผิดฐานพยายามฆ่า
จำเลยใช้ เหล็กขูดชาฟท์ ซึ่ง เป็นวัตถุที่มีคมถึง สามคน มีความยาวถึง 6 นิ้ว ตั้งใจแทงผู้เสียหายตรง บริเวณหน้าอก ซึ่ง เป็นอวัยวะส่วนสำคัญ เมื่อแทงครั้งแรกถูก ผู้เสียหายใช้ มือปัด จำเลยก็เข้าแทงซ้ำอีกครั้ง พฤติการณ์เช่นนี้แสดงว่าจำเลยย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำว่าอาจทำให้ผู้เสียหายถึงแก่ความตายได้ จำเลยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหายเมื่อการกระทำของจำเลยไม่บรรลุผลโดย แทงไม่ถูก หน้าอกผู้เสียหายจำเลยจึงมีความผิดฐาน พยายามฆ่า.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1901/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาทำร้าย vs. เจตนาฆ่า: การประเมินจากลักษณะบาดแผลและพฤติการณ์
จำเลยใช้เหล็กแหลมสำหรับนำหวายในการจักสานยาวทั้งด้ามประมาณ 6 นิ้ว แทงผู้เสียหายที่บริเวณลิ้นปี่ และท้องน้อยข้างซ้ายเป็นบาดแผลขนาด 3 มิลลิเมตร และมีบาดแผลที่กระเพาะอาหารขนาด 0.5 เซนติเมตร จำเลยแทงผู้เสียหายในขณะวิวาททำร้ายร่างกายซึ่งกันและกัน ไม่ปรากฏว่าจำเลยมีโอกาสเลือกแทงผู้เสียหายที่อวัยวะสำคัญโดยตั้งใจ จึงฟังได้ว่าจำเลยใช้เหล็กแหลมแทงผู้เสียหายโดยเจตนาทำร้าย ไม่ใช่โดยเจตนาฆ่า โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288,80โดยบรรยายฟ้องด้วยว่าผู้เสียหายได้รับอันตรายสาหัสต้องเจ็บป่วยด้วยอาการทุกขเวทนาและประกอบกรณียกิจตามปกติไม่ได้เกินยี่สิบวันเมื่อทางพิจารณาได้ความว่าจำเลยมีเจตนาทำร้ายร่างกายผู้เสียหายและผู้เสียหายได้รับบาดเจ็บจนประกอบกรณียกิจไม่ได้เกินกว่ายี่สิบวัน ศาลจึงมีอำนาจพิพากษาลงโทษได้ตาม ป.อาญา มาตรา 297ประกอบ ป.วิ.อาญา มาตรา 192
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1154/2533 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานพยายามพาหญิงออกนอกประเทศเพื่อค้าประเวณี ขั้นตอนการกระทำและความใกล้ชิดต่อความสำเร็จ
จำเลยกับพวกประสงค์จะหาผู้เสียหายทั้งสองออกไปจากประเทศ ไทย เพื่อการรับจ้างให้เขาทำเมถุนกรรม แต่ จำเลยถูก จับกุมเสียก่อนที่ท่าอากาศยานกรุงเทพฯ ในขณะที่จำเลยกำลังเข้าแถวขอรับบัตรเลขที่นั่งในเครื่องบินสำหรับจำเลยและผู้เสียหายทั้งสองการกระทำของจำเลยกับพวกดังกล่าว เป็นขั้นตอนสุดท้ายของการดำเนินการพาผู้เสียหายทั้งสองออกไปจากประเทศ ไทย เพื่อการรับจ้างให้เขาทำเมถุนกรรม เป็นการกระทำที่ใกล้ชิดต่อ ความผิดสำเร็จที่จะเกิดขึ้น จึงต้อง ถือ ว่าการกระทำของจำเลยกับพวกพ้นขั้นตระเตรียมการเข้าสู่การลงมือกระทำความผิดแล้ว หากแต่ ยังไม่สำเร็จเพราะมีเจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยได้เสียก่อน เช่นนี้ ย่อมเป็นความผิดฐาน พยายามพาหญิงออกไปจากประเทศ ไทย เพื่อการรับจ้างให้เขาทำเมถุนกรรม ตามฟ้อง.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1154/2533 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานพยายามพาหญิงออกนอกประเทศเพื่อค้าบริการทางเพศ: ขั้นตอนสุดท้ายของการกระทำความผิด
จำเลยพาผู้เสียหายซึ่งเป็นหญิงเดินทางจากที่พักไปยัง ท่าอากาศยานกรุงเทพ โดยจำเลยประสงค์จะพาผู้เสียหายออกไปจากประเทศ ไทย เพื่อรับจ้างให้เขาทำเมถุนกรรม แต่จำเลยถูกจับกุมเสียก่อนที่ท่าอากาศยานกรุงเทพในขณะที่จำเลยกำลังเข้าแถวขอรับบัตรเลขที่นั่งเครื่องบินสำหรับจำเลยและผู้เสียหาย การกระทำของจำเลยเป็นขั้นตอนสุดท้ายของการดำเนินการพาผู้เสียหายออกไปจากประเทศ ไทย และใกล้ชิดต่อความผิดสำเร็จที่จะเกิดขึ้นพ้นขั้นตระเตรียมการแล้ว จำเลยจึงมีความผิดฐานพยายามพาหญิงออกไปจากประเทศไทย เพื่อการรับจ้างให้เขาทำเมถุนกรรม ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการค้าหญิงและเด็กหญิง พ.ศ. 2471 มาตรา 4 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1154/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานพยายามพาหญิงออกนอกประเทศเพื่อค้าเมถุน: การกระทำที่เกินขั้นเตรียมการ
จำเลยพาผู้เสียหายซึ่งเป็นหญิงเดินทางจากที่พักไปยังท่าอากาศยานกรุงเทพโดยจำเลยประสงค์จะพาผู้เสียหายออกไปจากประเทศไทยเพื่อรับจ้างให้เขาทำเมถุนกรรม แต่จำเลยถูกจับกุมเสียก่อนที่ท่าอากาศยานกรุงเทพในขณะที่จำเลยกำลังเข้าแถวขอรับบัตรเลขที่นั่งเครื่องบินสำหรับจำเลยและผู้เสียหาย การกระทำของจำเลยเป็นขั้นตอนสุดท้ายของการดำเนินการพาผู้เสียหายออกไปจากประเทศไทยและใกล้ชิดต่อความผิดสำเร็จที่จะเกิดขึ้น พ้นขั้นตระเตรียมการแล้ว จำเลยจึงมีความผิดฐานพยายามพาหญิงออกไปจากประเทศไทยเพื่อการรับจ้างให้เขาทำเมถุนกรรมตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการค้าหญิงและเด็กหญิง พ.ศ. 2471 มาตรา 4 ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 80
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1154/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานพยายามพาหญิงออกนอกประเทศเพื่อการค้าประเวณี: ขั้นตอนสุดท้ายของการกระทำความผิด
จำเลยพาผู้เสียหายซึ่งเป็นหญิงเดินทางจากที่พักไปยัง ท่าอากาศยานกรุงเทพ โดยจำเลยประสงค์จะพาผู้เสียหายออกไปจากประเทศ ไทย เพื่อรับจ้างให้เขาทำเมถุนกรรม แต่จำเลยถูกจับกุมเสียก่อนที่ ท่าอากาศยานกรุงเทพ ในขณะที่จำเลยกำลังเข้าแถวขอรับบัตรเลขที่นั่งเครื่องบินสำหรับจำเลยและผู้เสียหาย การกระทำของจำเลยเป็นขั้นตอนสุดท้ายของการดำเนินการพาผู้เสียหายออกไปจากประเทศ ไทย และใกล้ชิดต่อความผิดสำเร็จที่จะเกิดขึ้น พ้นขั้นตระเตรียมการแล้ว จำเลยจึงมีความผิดฐานพยายามพาหญิงออกไปจากประเทศ ไทย เพื่อการรับจ้างให้เขาทำเมถุนกรรมตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการค้าหญิงและเด็กหญิง พ.ศ. 2471 มาตรา 4ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1011/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การทำร้ายร่างกายโดยบันดาลโทสะและการป้องกันสิทธิที่เกินเลย ศาลพิจารณาเจตนาและเหตุผลในการกระทำ
ผู้เสียหายกับพวกไม่พอใจจำเลยในการแบ่งเงินค่าจ้างที่ได้จากการรับจ้างตัดไม้ จึงพากันเข้าไปหาเรื่องและชกต่อยจำเลยก่อนโดยจำเลยมิได้สมัครใจวิวาทด้วย แต่เมื่อผู้เสียหายชกจำเลยแล้วไม่ปรากฏว่าจะทำร้ายจำเลยต่อไปอีก ถือว่าภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายผ่านพ้นไปแล้ว ไม่มีภยันตรายที่จำเลยจักต้องกระทำเพื่อป้องกันอีก การที่จำเลยแทงผู้เสียหายหลังจากถูกชกจึงไม่เป็นการป้องกันตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 68 แต่ถือได้ว่าเป็นกรณีที่จำเลยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม เป็นการกระทำความผิดด้วยเหตุบันดาลโทสะตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 72 ผู้เสียหายกับจำเลยไม่มีเหตุโกรธเคืองกันอย่างร้ายแรงถึงขนาดที่จะต้องเอาชีวิตกัน ถึงแม้มีดของกลางซึ่งเฉพาะตัวมีดยาว19 เซนติเมตร จะมีขนาดที่ใช้ทำร้ายให้ถึงตายได้และผู้เสียหายถูกแทงตรงบริเวณราวนมซ้ายซึ่งเป็นอวัยวะส่วนที่สำคัญ แต่จำเลยก็แทงเพียงทีเดียวในทันทีทันใดหลังจากถูกทำร้ายโดยไม่มีโอกาสเลือกตำแหน่งที่จะแทงได้เลย ทั้งไม่มีเวลาคิดทบทวนที่จะกระทำต่อผู้เสียหายในลักษณะใด และได้ใช้อาวุธเท่าที่มีอยู่กระทำไปในช่วงที่ยังอยู่ในโทสะเช่นนี้ แสดงว่าจำเลยมิได้มีเจตนาที่จะฆ่าผู้เสียหาย คงมีเจตนาทำร้ายผู้เสียหายเท่านั้น.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1011/2533 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การทำร้ายร่างกายโดยบันดาลโทสะ: การป้องกันสิทธิ vs. เหตุข่มเหง
ผู้เสียหายกับพวกไม่พอใจจำเลยในการแบ่งเงินค่าจ้างที่ได้จากการรับจ้างตัดไม้ จึงพากันเข้าไปหาเรื่องและชกต่อยจำเลยก่อนโดยจำเลยมิได้สมัครใจวิวาทด้วย แต่เมื่อผู้เสียหายชกจำเลยแล้วไม่ปรากฏว่าจะทำร้ายจำเลยต่อไปอีก ถือว่าภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายผ่านพ้นไปแล้ว ไม่มีภยันตรายที่จำเลยจักต้องกระทำเพื่อป้องกันอีก การที่จำเลยแทงผู้เสียหายหลังจากถูกชกจึงไม่เป็นการป้องกันตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 68 แต่ถือได้ว่าเป็นกรณีที่จำเลยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม เป็นการกระทำความผิดด้วยเหตุบันดาลโทสะตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 72
ผู้เสียหายกับจำเลยไม่มีเหตุโกรธเคืองกันอย่างร้ายแรงถึงขนาดที่จะต้องเอาชีวิตกัน ถึงแม้มีดของกลางซึ่งเฉพาะตัวมีดยาว19 เซนติเมตร จะมีขนาดที่ใช้ทำร้ายให้ถึงตายได้และผู้เสียหายถูกแทงตรงบริเวณราวนมซ้ายซึ่งเป็นอวัยวะส่วนที่สำคัญ แต่จำเลยก็แทงเพียงทีเดียวในทันทีทันใดหลังจากถูกทำร้ายโดยไม่มีโอกาสเลือกตำแหน่งที่จะแทงได้เลย ทั้งไม่มีเวลาคิดทบทวนที่จะกระทำต่อผู้เสียหายในลักษณะใด และได้ใช้อาวุธเท่าที่มีอยู่กระทำไปในช่วงที่ยังอยู่ในโทสะเช่นนี้ แสดงว่าจำเลยมิได้มีเจตนาที่จะฆ่าผู้เสียหาย คงมีเจตนาทำร้ายผู้เสียหายเท่านั้น
ผู้เสียหายกับจำเลยไม่มีเหตุโกรธเคืองกันอย่างร้ายแรงถึงขนาดที่จะต้องเอาชีวิตกัน ถึงแม้มีดของกลางซึ่งเฉพาะตัวมีดยาว19 เซนติเมตร จะมีขนาดที่ใช้ทำร้ายให้ถึงตายได้และผู้เสียหายถูกแทงตรงบริเวณราวนมซ้ายซึ่งเป็นอวัยวะส่วนที่สำคัญ แต่จำเลยก็แทงเพียงทีเดียวในทันทีทันใดหลังจากถูกทำร้ายโดยไม่มีโอกาสเลือกตำแหน่งที่จะแทงได้เลย ทั้งไม่มีเวลาคิดทบทวนที่จะกระทำต่อผู้เสียหายในลักษณะใด และได้ใช้อาวุธเท่าที่มีอยู่กระทำไปในช่วงที่ยังอยู่ในโทสะเช่นนี้ แสดงว่าจำเลยมิได้มีเจตนาที่จะฆ่าผู้เสียหาย คงมีเจตนาทำร้ายผู้เสียหายเท่านั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 375/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานพยายามปล้นทรัพย์โดยมีเจตนาใช้กำลังทำร้ายร่างกายเพื่อความสะดวกในการลักทรัพย์
เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่า จำเลยที่ 1 กับพวกอีก 2 คนเข้าไปในบ้านและพยายามลักทรัพย์ของผู้เสียหาย แล้วพวกของจำเลยดังกล่าวได้ใช้กำลังประทุษร้ายผู้เสียหายจนได้รับอันตรายแก่กายเพื่อสะดวกในการลักทรัพย์ หรือพาทรัพย์ไปแต่ไม่สามารถพาทรัพย์นั้นไปได้ เพราะมีผู้มาพบเห็นเสียก่อน ดังนี้การที่พวกของจำเลยที่ 1 ใช้กำลังประทุษร้ายผู้เสียหายดังกล่าว จึงมิได้นอกเหนือความมุ่งหมายหรือเจตนาของจำเลยที่ 1 แต่อย่างใด การกระทำของจำเลยที่ 1 กับพวกจึงเป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 340 วรรคแรก 80.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 373/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาทำร้ายร่างกาย vs. เจตนาฆ่า: การพิจารณาจากบาดแผลและสาเหตุแห่งการกระทำ
จำเลยใช้มีดพร้าฟันผู้เสียหายที่ศีรษะด้านหลัง 1 ที จำเลยฟันแล้วก็ถอยหลังไปโดยไม่ได้ฟันผู้เสียหายซ้ำหรือไล่ติดตามฟันผู้เสียหายต่อไปอีก ผู้เสียหายมีบาดแผลที่กลางศีรษะเป็นแนวโค้งจากหน้าไปหลังยาวประมาณ 5 นิ้ว ลึกเพียงถึงผิวนอกของกระดูกกะโหลกศีรษะถูกบาด ขาดตามแนวแผลชั้นนอกเท่านั้น ไม่ได้ทะลุกระดูกกะโหลกศีรษะ หากรักษาไม่ทันไม่น่าจะเป็นอันตรายถึงชีวิต ทั้งสาเหตุที่จำเลยฟันผู้เสียหายก็เป็นเรื่องเล็กน้อย ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยมีเจตนาเพียงทำร้ายร่างกายผู้เสียหายเท่านั้น หาได้มีเจตนาฆ่าผู้เสียหายไม่.