คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.อ. ม. 80

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,460 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5826/2558

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การกำหนดโทษจำคุกสำหรับเด็กกระทำผิด ลดโทษตาม ป.อ. มาตรา 18 และ 75 ต้องพิจารณาโทษสูงสุดก่อน
จำเลยฎีกาโดยคัดลอกข้อความตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 7 และกล่าวไว้ในท้ายฎีกาว่า ขอให้ศาลฎีกาพิจารณาพิพากษาใหม่อีกครั้งหนึ่งและขอถือเอาคำพิพากษาของศาลชั้นต้นเป็นส่วนหนึ่งในฎีกาของจำเลย ไม่มีข้อความระบุว่าคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7 ส่วนใดมีข้อวินิจฉัยผิดพลาดคลาดเคลื่อนอย่างไร และที่ถูกต้องควรเป็นอย่างใด จึงเป็นฎีกาที่ไม่ได้คัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7 แม้ศาลชั้นต้นจะรับฎีกาของจำเลยก็เป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่อาจรับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาพิพากษาได้เพราะต้องห้ามตาม ป.วิ.อ. มาตรา 216 วรรคหนึ่ง ประกอบ พ.ร.บ.ศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.2553 มาตรา 6
ป.อ. มาตรา 18 วรรคสาม บัญญัติว่า ในกรณีผู้ซึ่งกระทำผิดในขณะที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ได้กระทำความผิดที่มีระวางโทษประหารชีวิตหรือจำคุกตลอดชีวิตให้ถือว่าระวางโทษดังกล่าวได้เปลี่ยนเป็นระวางโทษห้าสิบปี การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 289 (4) ประกอบกับมาตรา 80 และ 83 ขณะกระทำผิดจำเลยอายุ 15 ปีเศษ ลดมาตราส่วนโทษให้กึ่งหนึ่งตาม ป.อ. มาตรา 75 ประกอบมาตรา 18 วรรคสอง และวรรคสาม แล้วคงจำคุก 25 ปี จำเลยให้การรับสารภาพลดโทษให้กึ่งหนึ่งตาม ป.อ. มาตรา 74 คงจำคุก 12 ปี 6 เดือนนั้น ไม่ถูกต้อง เพราะจะทำให้เด็กได้รับโทษเท่ากับผู้ใหญ่ ต้องเปลี่ยนโทษประหารชีวิตเป็นห้าสิบปีเสียก่อน แล้วจึงนำ ป.อ. มาตรา 80 ที่ให้ระวางโทษสองในสามของโทษห้าสิบปีมาปรับ ดังนั้นเมื่อลดมาตราส่วนโทษกึ่งหนึ่งตาม ป.อ. มาตรา 75 ประกอบมาตรา 18 วรรคสาม แล้ว โทษจำคุกที่กำหนดแก่จำเลย คือ 16 ปี 8 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพลดโทษให้กึ่งหนึ่งตาม ป.อ. มาตรา 78 แล้วคงจำคุกเพียง 8 ปี 4 เดือน ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจขึ้นอ้างและแก้ไขให้ถูกต้องได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3486/2558

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบรรยายฟ้องความผิดฐานพยายามทำร้ายร่างกายที่ไม่ชัดเจนถึงอันตรายร้ายแรง ทำให้ความผิดเป็นเพียงลหุโทษ
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตาม ป.อ. มาตรา 295 ประกอบมาตรา 80 และ 83 โดยโจทก์บรรยายฟ้องข้อ (ค) ว่า จำเลยทั้งสองกับพวกร่วมกันใช้กำลังประทุษร้ายโดยใช้ท่อนไม้และขวดขว้างใส่ผู้เสียหายทั้งสองโดยมีเจตนาทำร้าย จำเลยทั้งสองกับพวกลงมือกระทำความผิดไปตลอดแล้วแต่การกระทำนั้นไม่บรรลุผลเนื่องจากผู้เสียหายทั้งสองวิ่งหลบหนีได้ทัน ทำให้ท่อนไม้และขวดไม่ถูกร่างกายของผู้เสียหายทั้งสอง โจทก์ไม่ได้บรรยายให้เห็นข้อเท็จจริงว่าหากจำเลยทั้งสองขว้างปาท่อนไม้และขวดถูกผู้เสียหายทั้งสอง ย่อมเป็นที่คาดหมายได้ว่าจะเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจของผู้เสียหายทั้งสองได้อย่างแน่นอน อันเป็นองค์ประกอบความผิดของบทมาตราดังกล่าวมาด้วย ทั้งโจทก์ไม่ได้บรรยายให้เห็นขนาดของขวดและไม้มาพอสมควรเท่าที่จะทำให้จำเลยทั้งสองเข้าใจข้อหาได้ดี ซึ่งหากขวดหรือท่อนไม้ขนาดไม่ใหญ่มากนักขว้างถูกผู้เสียหายทั้งสอง ไม่แน่นอนว่าจะเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจได้หรือไม่ ฟ้องโจทก์ข้อ (ค) ดังกล่าวนี้ จึงต้องแปลว่าเป็นการบรรยายฟ้องว่าการกระทำของจำเลยทั้งสองอาจไม่ถึงกับเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจของผู้เสียหายทั้งสอง ตาม ป.อ. มาตรา 391 ประกอบมาตรา 80 และ 83 เท่านั้น เมื่อการกระทำของจำเลยทั้งสองในข้อนี้เป็นการพยายามกระทำความผิด จำเลยทั้งสองจึงไม่ต้องรับโทษตาม ป.อ. มาตรา 105

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 893/2558

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรับฟังพยานหลักฐานขัดแย้งในคดีอาญา: ศาลต้องพิจารณาด้วยความระมัดระวังและมีเหตุผลหนักแน่น
บันทึกคำให้การในชั้นสอบสวนของผู้เสียหายและ ป. พยานโจทก์เป็นเพียงพยานบอกเล่า การวินิจฉัยพยานหลักฐานต้องรับฟังด้วยความระมัดระวังและไม่ควรเชื่อพยานหลักฐานนั้นโดยลำพังเพื่อลงโทษจำเลยเว้นแต่จะมีเหตุผลอันหนักแน่น มีพฤติการณ์พิเศษแห่งคดี หรือมีพยานหลักฐานประกอบอื่นมาสนับสนุน ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 227/1 ผู้เสียหายให้การว่าขณะเกิดเหตุจำเลยยืนอยู่บนบ้านพักชั้นสาม ส่วน ป. ให้การว่าเห็นจำเลยอยู่ตรงระเบียงหน้าบ้านชั้นสาม ซึ่งขัดแย้งกับภาพถ่ายบ้านจำเลยที่ไม่มีระเบียงบ้าน ผู้เสียหายให้การว่าได้ยินเสียงจำเลยร้องหลังจากเสียงปืนนัดที่สองว่า "เครียดโว้ย นอนไม่หลับ" แต่ ป. ให้การว่าเมื่อได้ยินเสียงปืนนัดแรกหันไปเห็นจำเลยถืออาวุธปืนพกจ้องมาจากหน้าต่างบ้านชั้นสามแล้วยิงอีกหนึ่งนัด จำเลยพูดว่า "จบ" ผู้เสียหายให้การว่าขณะเกิดเหตุมีแสงไฟนีออนในบ้านจำเลยเปิดสว่างมองเห็นตัว ส่วน ป. ให้การว่าบ้านจำเลยไม่เปิดไฟ และพยานโจทก์ทั้งสองตรวจดูและลงชื่อรับรองความถูกต้องในแผนที่สังเขปแสดงสถานที่เกิดเหตุว่าจำเลยใช้อาวุธปืนยิงผ่านหน้าต่างชั้นสองของบ้าน คำให้การในชั้นสวบสวนของพยานโจทก์ทั้งสองขัดแย้งแตกต่างกันโดยตลอด ส่อให้เห็นถึงความไม่ยึดมั่นต่อความจริง มุ่งจะเสริมแต่งข้อเท็จจริงเพื่อปรักปรำจำเลยมากกว่า จึงไม่มีเหตุผลอันหนักแน่นในการรับฟัง การที่ศาลจะรับฟังคำให้การในชั้นสอบสวนของพยานโจทก์ทั้งสองยิ่งกว่าคำเบิกความต่อศาลนั้น จะต้องมีพฤติการณ์ส่อให้เห็นว่าพยานโจทก์ทั้งสองเบิกความเพื่อช่วยเหลือจำเลยให้พ้นผิด แต่โจทก์ไม่ได้ถามค้านหรือนำสืบให้เห็นในความไม่น่าเชื่อถือในคำเบิกความของพยานว่าเป็นการบ่ายเบี่ยงข้อเท็จจริงเพื่อช่วยเหลือจำเลย จึงไม่มีพฤติการณ์พิเศษแห่งคดีอันควรแก่การเชื่อถือ เมื่อโจทก์ไม่มีพยานหลักฐานประกอบอื่นที่รับฟังได้มาสนับสนุน จึงไม่พอรับฟังลงโทษจำเลยได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 14715/2557

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดฐานลักทรัพย์ vs. พยายามลักทรัพย์: การแยกผลปาล์มออกจากต้นยังไม่ถือเป็นการยึดครอง
การที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันตัดผลปาล์มของผู้เสียหายจนหล่นลงมากองอยู่บนพื้นเป็นการแยกหรือเคลื่อนที่ผลปาล์มออกจากต้น แต่ยังไม่ทันรวบรวมผลปาล์ม ผู้เสียหายก็มาพบเสียก่อน ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2 เข้ายึดถือเอาผลปาล์มจำนวนนั้นไว้แล้วอันเป็นการเอาไปซึ่งทรัพย์ของผู้เสียหาย กรณีจึงเป็นความผิดฐานพยายามร่วมกันลักทรัพย์เท่านั้น และถือเป็นเหตุในลักษณะคดี ศาลฎีกามีอำนาจพิพากษาให้มีผลไปถึงจำเลยที่ 2 ที่มิได้ฎีกาด้วยได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 13923/2557

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กรรมเดียวผิดหลายบท: การมีวัตถุระเบิดและการกระทำความผิดจนผู้อื่นเสียชีวิต
การที่จำเลยที่ 1 ร่วมกันมีวัตถุระเบิดที่นายทะเบียนไม่สามารถออกใบอนุญาตให้ได้ไว้ในครอบครอง แล้วใช้วัตถุระเบิดดังกล่าวปาใส่บุคคลที่นั่งชมการแสดงหมอลำจนเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย ผู้เสียหายที่ 2 และที่ 3 ได้รับอันตรายสาหัส และผู้เสียหายที่ 4 ถึงที่ 8 ได้รับอันตรายแก่กาย เป็นการกระทำที่เกี่ยวเนื่องกันโดยจำเลยที่ 1 มีเจตนาเดียวคือกระทำให้เกิดระเบิดเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย กับผู้เสียหายที่ 2 ถึงที่ 8 ได้รับอันตรายสาหัสและอันตรายแก่กาย การกระทำของจำเลยที่ 1 ในความผิดฐานร่วมกันมีวัตถุระเบิดที่นายทะเบียนจะออกใบอนุญาตให้ไม่ได้และฐานใช้วัตถุระเบิดดังกล่าวในการกระทำความผิดตาม ป.อ. มาตรา 288 ฐานกระทำให้เกิดระเบิดเป็นเหตุให้บุคคลอื่นถึงแก่ความตายและรับอันตรายสาหัส ฐานฆ่าผู้อื่นและพยายามฆ่าผู้อื่นจึงเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 11741/2557

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดฐานจ่ายทรัพย์เกินกว่าที่ควรจ่าย (มาตรา 153) เป็นความผิดสำเร็จ แม้หนี้ยังไม่ระงับ และการกระทำเป็นกรรมเดียวผิดหลายบท
ความผิดตาม ป.อ. มาตรา 153 เป็นความผิดสำเร็จเมื่อเจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่จ่ายทรัพย์ ได้จ่ายทรัพย์เกินกว่าที่ควรจ่ายเพื่อประโยชน์สำหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยไม่จำต้องคำนึงว่าการจ่ายทรัพย์นั้นต้องทำให้หนี้ระงับลงด้วย เพราะความผิดมาตรานี้ต้องการลงโทษเจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่จ่ายทรัพย์ได้จ่ายทรัพย์เกินกว่าที่ควรจ่ายเท่านั้น แม้จำเลยซึ่งเป็นเจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่จ่ายทรัพย์จะชำระหนี้ด้วยเช็ค และ ก. ผู้ได้รับชำระหนี้ยังไม่ได้นำเช็คไปเรียกเก็บเงินเนื่องจากถูกเรียกทวงคืนก่อนอันทำให้หนี้นั้นยังไม่ระงับลงก็ตาม การกระทำของจำเลยก็เป็นความผิดสำเร็จตามมาตรา 153 แล้ว หาใช่เป็นเพียงความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่จ่ายทรัพย์พยายามจ่ายทรัพย์เกินกว่าที่ควรจ่ายเพื่อประโยชน์สำหรับตนเองหรือผู้อื่น ตาม ป.อ. มาตรา 153 ประกอบมาตรา 83 ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 11666/2557

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาบุกรุกทำร้ายร่างกายก่อนแล้วค่อยเจตนาฆ่า เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน
จำเลยกับพวกร่วมกันบุกรุกเข้าไปในบ้านพักอาศัยของผู้เสียหายที่ 1 แล้วชกต่อยผู้เสียหายที่ 2 แสดงว่าจำเลยกับพวกมีเจตนาแต่แรกเพียงที่จะทำร้ายผู้เสียหายที่ 2 เท่านั้น แต่ภายหลังจำเลยชกต่อยกับผู้เสียหายที่ 2 แล้ว จำเลยเรียก ว. เข้ามายิงผู้เสียหายที่ 2 ในขณะผู้เสียหายที่ 2 ล้มนอนบนพื้น การที่ ว. ใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายที่ 2 จึงเป็นเจตนาที่เกิดขึ้นภายหลัง การกระทำของจำเลยกับพวกในความผิดฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่นและร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่นโดยพลาด กับความผิดฐานร่วมกันบุกรุก จึงเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6585/2557

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดพยายามนำสิ่งของต้องห้ามเข้าเรือนจำ แม้จับกุมก่อนถึงเรือนจำ
จุดด่านตรวจที่จับกุมจำเลยได้อยู่ห่างจากเรือนจำประมาณ 10 กิโลเมตร เป็นจุดตรวจค้นพบของกลางเท่านั้น ยังไม่ใช่จุดปฏิบัติการบังคับเครื่องบินซึ่งจำเลยเคยมาทดสอบการใช้เครื่องบินเฮลิคอปเตอร์บังคับด้วยวิทยุมาแล้ว ฉะนั้น เมื่อจำเลยจะปฏิบัติการบังคับเครื่องบินเฮลิคอปเตอร์ส่งโทรศัพท์เคลื่อนที่และอุปกรณ์เข้าเรือนจำจึงอยู่ใกล้เรือนจำซึ่งสามารถกระทำได้ การกระทำของจำเลยถือว่าได้ลงมือกระทำความผิดแล้ว แต่กระทำไปไม่ตลอดเนื่องจากเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมจำเลยได้เสียก่อน การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานร่วมกันพยายามนำโทรศัพท์เคลื่อนที่และอุปกรณ์ซึ่งเป็นสิ่งของต้องห้ามเข้าไปในเรือนจำ อันเป็นการฝ่าฝืนระเบียบหรือข้อบังคับของเรือนจำ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1851/2557

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ พยายามรับของโจร: การกระทำความผิดฐานรับของโจรแต่ไม่สำเร็จ และขอบเขตความรับผิดชอบในการคืนทรัพย์สิน
วันเกิดเหตุ เวลากลางคืน รถจักรยานยนต์ที่ผู้เสียหายที่ 1 จอดไว้ในห้องทำงาน สถานีบริการน้ำมันของผู้เสียหายที่ 2 และน้ำมันเครื่องรถจักรยานยนต์ เครื่องคิดเลข วิทยุ กับกล้องวงจรปิดของผู้เสียหายที่ 2 ถูกคนร้ายลักไป ต่อมาเวลาประมาณ 6 นาฬิกา มีผู้พบเห็นรถจักรยานยนต์คันดังกล่าวจอดอยู่ที่หน้ามัสยิดของหมู่บ้านโดยมีเสื้อคลุม น้ำมันเครื่องรถจักรยานยนต์ เครื่องคิดเลข และวิทยุที่วางไว้ในตะกร้าหน้ารถจึงแจ้งให้ ม. ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านทราบ ม. ไปดูรถจักรยานยนต์คันดังกล่าว สักครู่หนึ่งจำเลยจะมาเอารถจักรยานยนต์ไป ม. ขอดูบัตรประจำตัวประชาชนและกุญแจรถ จำเลยไม่มี ม. บอกให้จำเลยไปเอากุญแจรถมาก่อน จำเลยจึงกลับไป พฤติการณ์ดังกล่าวแสดงว่าจำเลยต้องรู้ดีว่ารถจักรยานยนต์และทรัพย์ที่ตะกร้าหน้ารถที่จำเลยจะไปเอานั้นเป็นทรัพย์ที่ได้มาโดยการกระทำความผิดเข้าลักษณะลักทรัพย์ เมื่อจำเลยจะไปเอาทรัพย์ดังกล่าวอันเป็นการช่วยพาเอาไปเสียตาม ป.อ. มาตรา 357 วรรคแรก แต่ไม่สามารถเอาไปได้เพราะ ม. เข้าขัดขวางโดยให้จำเลยไปเอากุญแจรถมาก่อน การกระทำของจำเลยถือได้ว่าเป็นการลงมือกระทำความผิดฐานรับของโจร แต่กระทำไปไม่ตลอด จำเลยจึงมีความผิดฐานพยายามรับของโจร แม้โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษข้อหารับของโจร แต่เมื่อข้อเท็จจริงที่ปรากฏในการพิจารณารับฟังได้ว่าจำเลยกระทำความผิดฐานพยายามรับของโจร ศาลก็มีอำนาจลงโทษจำเลยได้
จำเลยกระทำผิดฐานพยายามรับของโจรรถจักรยานยนต์หมายเลขทะเบียน กยน ปัตตานี 484 ของผู้เสียหายที่ 1 ฉะนั้น น้ำมันเครื่องรถจักรยานยนต์ เครื่องคิดเลข และวิทยุของผู้เสียหายที่ 2 ที่ถูกคนร้ายลักไปกับกล้องวงจรปิดย่อมไม่ใช่ทรัพย์ที่ผู้เสียหายที่ 2 สูญเสียไปเนื่องจากการกระทำผิดของจำเลยที่โจทก์จะมีสิทธิเรียกให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 20504/2556

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบรรยายฟ้องคดีพยายามฆ่า: ต้องระบุเจตนาที่ชัดเจน หากเปลี่ยนแปลงรายละเอียดสาระสำคัญในชั้นฎีกา ศาลไม่รับวินิจฉัย
ข้อเท็จจริงในความผิดฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่นที่โจทก์บรรยายไว้ในคำฟ้องเป็นเรื่องที่โจทก์กล่าวหาจำเลยทั้งสองว่ากระทำผิดด้วยเจตนาโดยประสงค์ต่อผลให้ผู้เสียหายถึงแก่ความตายจากการถูกฟันด้วยมีดแตกต่างไปจากที่โจทก์อ้างในฎีกาว่าจำเลยทั้งสองได้กระทำผิดด้วยเจตนาโดยเล็งเห็นผลว่าผู้เสียหายอาจถึงแก่ความตายเนื่องจากขาดอากาศหายใจซึ่งเป็นสาระสำคัญ หาใช่ข้อเท็จจริงอันเป็นรายละเอียดที่โจทก์ไม่จำต้องบรรยายในคำฟ้องไม่ ศาลอุทธรณ์ภาค 9 ชอบที่จะไม่รับวินิจฉัยปัญหาดังกล่าวเพราะเป็นข้อเท็จจริงที่มิได้กล่าวในฟ้องตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 215
of 146