พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,184 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 102/2494 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หน้าที่นำสืบ - การโต้แย้งคำสั่ง - อุทธรณ์ฎีกา - ป.วิ.แพ่ง ม.226
เมื่อศาลสั่งให้คู่ความฝ่ายใดมีหน้าที่นำสืบก่อนแล้ว ถ้าคู่คามฝ่ายนั้น ไม่เห็นด้วยและประสงค์จะอุทธรณ์ฎีกาในเรื่องคำสั่งหน้าที่สืบแล้ว คู่ความฝ่ายนั้นจะต้องโต้แย้งไว้ก่อนตาม ป.วิ.แพ่ง ม. 226 มิฉะนั้นจะอุทธรณ์ฎีกาคัดค้านไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 100/2494
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญากู้เงิน: การสันนิษฐานการได้รับเงิน และหน้าที่การนำสืบของจำเลย
โจทก์ฟ้องจำเลยให้ชำระเงินกู้ตามสัญญากู้ จำเลยให้การรับว่าได้ลงชื่อเป็นผู้กู้ในสัญญาจริง แต่ไม่ได้รับเงินไปสัญญากู้ไม่สมบูรณ์ตามกฎหมาย ดังนี้ เมื่อในสัญญากู้ข้อ 1 มีความชัดว่าจำเลยได้รับเงินไปครบถ้วนแล้วก็ต้องสันนิษฐานไว้ก่อนว่าจำเลยได้รับเงินไปตามสัญญาแล้วฉะนั้นเมื่อจำเลยมีข้อต่อสู้อย่างใดที่จะหักล้างได้ก็ต้องเป็นหน้าที่จำเลยนำสืบ เพราะถ้าไม่มีการสืบกันแล้วข้อเท็จจริงก็อันเป็นอันยุติว่าจำเลยได้กู้เงินโจทก์และรับเงินไปตามที่ปรากฏในสัญญานั้นแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 100/2494 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกู้ยืมเงิน: สัญญาที่ระบุการรับเงินแล้ว ผู้กู้ต้องพิสูจน์การไม่ได้รับเงิน
โจทก์ฟ้องจำเลยให้ชำระเงินกู้ตามสัญญากู้ จำเลยให้การรับว่าได้ลงชื่อเป็นผู้กู้ในสัญญาจริง แต่ไม่ได้รับเงินไปสัญญากู้ไม่สมบุรณ์ตามกฎหมายดังนี้ เมื่อในสัญญากู้ข้อ 1 มีความชัดว่าจำเลยได้รับเงินไปครบถ้วนแล้ว ก็ต้องสันนิษฐานไว้ก่อนว่าจำเลยได้รับเงินไปตามสัญญาแล้ว ฉะนั้นเมื่อจำเลยมีข้อต่อสู้อย่างใดที่จะหักล้างได้ก็ต้องเป็นหน้าที่จำเลยนำสืบเพราะถ้าไม่มีการสืบกันแล้ว ข้อเท็จจริงก็อันเป็นอันยุติว่าจำเลยได้กู้เงินโจทก์ และรับเงินไปตามที่ปรากฎในสัญญานั้นแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 97/2494 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาคู่กรณีสำคัญกว่าคำพิพากษาเดิมในการพิจารณาว่าสัญญาเช่าอยู่ภายใต้ พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่าหรือไม่
สัญญาเช่าจะตกอยู่ในความควบคุมแห่ง พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่าฯลฯ รือไม่ อีกนัยหนึ่งสถานที่เช่านั้นจะเป็น " เคหะ " หรือไม่นั้น มีหลักการวินิจฉัยอยู่ตามคำพิพากษาฎีกาที่ 1099-1147/2481 ซึ่งมีความสำคัญอยู่ว่า จะต้องพิจารณาเจตนาของคู่กรณีในเวลาทำสัญญาประกอบกับเหตุผลแวดล้อมอื่น ๆ เช่น สภาพของสิ่งปลูกสร้าง อัตราค่าเช่า ทำเลที่ตั้งและการปฎิบัติของคู่สัญญาแต่ละฝ่ายเหล่านี้ รวมกันว่า การเช่าสิ่งปลูกสร้างนั้นเพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัยหรือมิใช่
ภรรยโจทก์ซึ่งเป็นผู้ให้เช่าฟ้องขับไล่จำเลยซึ่งเป็นผู้เช่าออกจากตึกเช่า ศาลพิพากษาถึงที่สุดว่าจำเลยใช้เป็นที่อยู่อาศัย ถือว่าเป็นเคหะจึงพิพากษายกฟ้อง ฟังคำพิพากษาแล้ว 4 วัน โจทก์กับจำเลยทำสัญญาเช่าขึ้นใหม่มีข้อความมีกำหนดเวลาเช่า 2 เดือน พอครบกำหนดเวลาเช่าตามสัญญาใหม่ โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลย ๆ ต่อสู้คดีว่าอยู่อาศัยอย่างเดิมดังนี้ ศาลจะงดสืบพะยานโดยถือเอาผลคำพิพากษาในคดีเดิมมาเป็นเครื่องชี้ขาดว่าเป็นเคหะไม่ได้ ต้องให้สืบพะยานเพื่อจะได้วินิจฉัยตามหลักที่วางไว้ในฎีกาที่+
ภรรยโจทก์ซึ่งเป็นผู้ให้เช่าฟ้องขับไล่จำเลยซึ่งเป็นผู้เช่าออกจากตึกเช่า ศาลพิพากษาถึงที่สุดว่าจำเลยใช้เป็นที่อยู่อาศัย ถือว่าเป็นเคหะจึงพิพากษายกฟ้อง ฟังคำพิพากษาแล้ว 4 วัน โจทก์กับจำเลยทำสัญญาเช่าขึ้นใหม่มีข้อความมีกำหนดเวลาเช่า 2 เดือน พอครบกำหนดเวลาเช่าตามสัญญาใหม่ โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลย ๆ ต่อสู้คดีว่าอยู่อาศัยอย่างเดิมดังนี้ ศาลจะงดสืบพะยานโดยถือเอาผลคำพิพากษาในคดีเดิมมาเป็นเครื่องชี้ขาดว่าเป็นเคหะไม่ได้ ต้องให้สืบพะยานเพื่อจะได้วินิจฉัยตามหลักที่วางไว้ในฎีกาที่+
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 97/2494
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิจารณา 'เคหะ' เพื่อบังคับใช้ พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่า: เจตนาคู่สัญญาและสภาพแวดล้อม
สัญญาเช่าจะตกอยู่ในความควบคุมแห่งพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าฯลฯหรือไม่อีกนัยหนึ่งสถานที่เช่านั้นจะเป็น 'เคหะ'หรือไม่นั้น มีหลักการวินิจฉัยอยู่ตามคำพิพากษาฎีกาที่1099-1147/2491 ซึ่งมีความสำคัญอยู่ว่าจะต้องพิจารณาเจตนาของคู่กรณีในเวลาทำสัญญาประกอบกับเหตุผลแวดล้อมอื่นๆเช่น สภาพของสิ่งปลูกสร้าง อัตราค่าเช่า ทำเลที่ตั้งและการปฏิบัติของคู่สัญญาแต่ละฝ่ายเหล่านี้ รวมกันว่าการเช่าสิ่งปลูกสร้างนั้นเพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัยหรือมิใช่
ภรรยาโจทก์ซึ่งเป็นผู้ให้เช่าฟ้องขับไล่จำเลยซึ่งเป็นผู้เช่าออกจากตึกเช่าศาลพิพากษาถึงที่สุดว่าจำเลยใช้เป็นที่อยู่อาศัย ถือว่าเป็นเคหะจึงพิพากษายกฟ้องฟังคำพิพากษาแล้ว 4 วัน โจทก์กับจำเลยทำสัญญาเช่าขึ้นใหม่มีข้อความเพิ่มเติมขึ้นอีกว่า เช่าเพื่อทำการค้ามีกำหนดเวลาเช่า 2 เดือน พอครบกำหนดเวลาเช่าตามสัญญาใหม่ โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลย จำเลยต่อสู้คดีว่าอยู่อาศัยอย่างเดิม ดังนี้ ศาลจะงดสืบพยานโดยถือเอาผลคำพิพากษาในคดีเดิมมาเป็นเครื่องชี้ขาดว่าเป็นเคหะไม่ได้ ต้องให้สืบพยานเพื่อจะได้วินิจฉัยตามหลักที่วางไว้ในฎีกาที่1099-1147/2491 การที่สัญญาเช่าจะตกอยู่ในความควบคุมแห่งพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าในภาวะคับขัน หรือไม่มีหลักการวินิจฉัยอยู่ตามคำพิพากษาฎีกาที่ 1099-1147/2491 แล้วจึงพิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลล่างทั้งสองให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาสืบพยานของคู่ความจนสิ้นกระแสความแล้วพิพากษาใหม่
ภรรยาโจทก์ซึ่งเป็นผู้ให้เช่าฟ้องขับไล่จำเลยซึ่งเป็นผู้เช่าออกจากตึกเช่าศาลพิพากษาถึงที่สุดว่าจำเลยใช้เป็นที่อยู่อาศัย ถือว่าเป็นเคหะจึงพิพากษายกฟ้องฟังคำพิพากษาแล้ว 4 วัน โจทก์กับจำเลยทำสัญญาเช่าขึ้นใหม่มีข้อความเพิ่มเติมขึ้นอีกว่า เช่าเพื่อทำการค้ามีกำหนดเวลาเช่า 2 เดือน พอครบกำหนดเวลาเช่าตามสัญญาใหม่ โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลย จำเลยต่อสู้คดีว่าอยู่อาศัยอย่างเดิม ดังนี้ ศาลจะงดสืบพยานโดยถือเอาผลคำพิพากษาในคดีเดิมมาเป็นเครื่องชี้ขาดว่าเป็นเคหะไม่ได้ ต้องให้สืบพยานเพื่อจะได้วินิจฉัยตามหลักที่วางไว้ในฎีกาที่1099-1147/2491 การที่สัญญาเช่าจะตกอยู่ในความควบคุมแห่งพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าในภาวะคับขัน หรือไม่มีหลักการวินิจฉัยอยู่ตามคำพิพากษาฎีกาที่ 1099-1147/2491 แล้วจึงพิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลล่างทั้งสองให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาสืบพยานของคู่ความจนสิ้นกระแสความแล้วพิพากษาใหม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 85/2494
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องละเมิดรื้อเรือน: ศาลยกฟ้องเมื่อพิสูจน์ไม่ได้ว่าโจทก์เป็นเจ้าของแต่เพียงผู้เดียว
โจทก์ฟ้องกล่าวหาว่าจำเลยบังอาจละเมิดรื้อเรือนของโจทก์โดยโจทก์กล่าวอ้างว่าเรือนพิพาทเป็นของโจทก์แต่ผู้เดียว เมื่อทางพิจารณาไม่ได้ความสมฟ้องว่าเรือนพิพาทเป็นของโจทก์แต่ผู้เดียวทั้งยังได้ความว่าจำเลยยังมีส่วนเป็นเจ้าของร่วมอยู่ด้วย ดังนี้คดีก็ต้องยกฟ้อง จะให้พิจารณาเลยไปถึงสิทธิและหน้าที่ของโจทก์ผู้เป็นเจ้าของรวมด้วยนั้น เป็นการเกินกว่าโจทก์กล่าวในฟ้อง ไม่มีประเด็นจะพึงพิจารณาให้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 84/2494
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตการฟ้องร้อง: การฟ้องละเมิดต้องสอดคล้องกับข้ออ้างเดิม หากข้อเท็จจริงนำสืบไม่ตรงกับที่ฟ้องไว้ คดีต้องยก
โจทก์ฟ้องกล่าวหาว่าจำเลยบังอาจละเมิดรื้อเรือนของโจทก์ โดยโจทก์กล่าวอ้างว่าเรือนพิพาทเป็นของโจทก์แต่ผู้เดียว เมื่อทางพิจารณาไม่ได้ความสมฟ้องว่าเรือนพิพาทเปนของโจทก์แต่ผู้เดียว ทั้งยังได้ความว่าจำเลยยังมีส่วนเป็นเจ้าของร่วมอยุ่ด้วย ดังนี้คดีก็ต้องยกฟ้อง จะให้พิจารณาเลยไปถึงสิทธิและหน้าที่ของโจทก์ผู้เป็นเจ้าของรวมด้วยนั้น เป็นการเกินกว่าโจทก์กล่าวในฟ้อง ไม่มีประเด็นจะพึงพิจารณาให้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 82/2494 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเช่าเพื่อประโยชน์ทางธุรกิจ: การเช่าตึกแถวให้คนยามไม่อยู่ภายใต้ พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่า
นิติบุคคลเช่าตึกแถวให้คนยามของตนอยู่อาศัย ก็ถือได้ว่าเป็นกิจการส่วนหนึ่งเพื่อประโยชน์ตามวัตถุประสงค์ในทางธุรกิจของนิติบุคคลนั้นเอง ดังจะเห็นได้ว่า เมื่อคนยามที่อาศัยอยู่นั้นพ้นจากหน้าที่การงานในบริษัทไปแล้วบริษัทก็ย่อมให้คนงานคนใหม่ของบริษัทเข้ามาอยู่แทนเรื่อยๆ ไปการเช่าเช่นนี้จึงไม่ได้รับความคุ้มครองจาก พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่า ฯลฯ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 82/2494
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเช่าตึกแถวให้คนยามของบริษัท ไม่ถือเป็นการเช่าเพื่ออยู่อาศัยทั่วไป จึงไม่คุ้มครองตาม พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่า
นิติบุคคลเช่าตึกแถวให้คนยามของตนอยู่อาศัยก็ถือได้ว่าเป็นกิจการส่วนหนึ่งเพื่อประโยชน์ตามวัตถุประสงค์ในทางธุระกิจของนิติบุคคลนั้นเองดังจะเห็นได้ว่า เมื่อคนยามที่อาศัยอยู่นั้นพ้นจากหน้าที่การงานในบริษัทไปแล้ว บริษัทก็ย่อมให้คนงานคนใหม่ของบริษัทเข้ามาอยู่แทนเรื่อยๆ ไปการเช่าเช่นนี้จึงไม่ได้รับความคุ้มครองจาก พระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่า ฯลฯ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 73/2494
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การคำนวณค่าปรับในคดีฝิ่น: เกณฑ์ราคามูลฝิ่นเมื่อรัฐไม่ได้ขาย
พระราชบัญญัติฝิ่น พ.ศ.2472 มาตรา 53ซึ่งได้แก้ไขใหม่ โดยพระราชบัญญัติฝิ่น (ฉบับที่ 4)2481 มาตรา 6 หาได้ประสงค์จะให้ถือเอา 'ราคาฝิ่น' มาตั้งเป็นเกณฑ์คำนวณค่าปรับในคดีเรื่อง'มูลฝิ่น' เหมือนมาตรา 51 ไม่ เพราะความตอนท้าย2 วรรคที่บัญญัติในเรื่อง 'ราคาฝิ่น' และ'ราคามูลฝิ่น'อันจะตั้งเป็นเกณฑ์คำนวณค่าปรับนั้น วรรคหลังบัญญัติว่า'ราคามูลฝิ่น' ให้ถือเอา 'ราคาฝิ่น' ตามวรรคก่อนแต่ 'ราคาฝิ่น' ตามวรรคก่อนนั้นให้ถือเอา'ราคาฝิ่น'หรือ 'ราคามูลฝิ่น' แล้วแต่กรณีฉะนั้นเมื่อกรณีเป็นเรื่อง'มูลฝิ่น' ก็ต้องถือเอาราคามูลฝิ่นตั้งเป็นเกณฑ์ค่าปรับเมื่อรัฐบาลมิได้ขาย 'มูลฝิ่น'จึงไม่มีราคามูลฝิ่นที่รัฐบาลขายมาตั้งเป็นเกณฑ์คำนวณค่าปรับก็ต้องปรับตามขั้นต่ำตามที่บัญญัติไว้ในมาตรานั้น