คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
นาถปรีชา

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,184 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1824/2493

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิผู้รับสัมปทานร้องขัดทรัพย์: แม้มิใช่เจ้าของทรัพย์แต่มีส่วนได้เสีย
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 288 ประกอบด้วยมาตรา 55 นั้น ผู้ที่จะต้องใช้สิทธิทางศาลเช่นในกรณีร้องขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึดเพราะทรัพย์นั้นไม่ใช่ของลูกหนี้ตามคำพิพากษานั้น หาจำจะต้องเป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์นั้นไม่ ผู้มีส่วนได้เสียในกรณี ย่อมมาใช้สิทธิทางศาลได้ด้วยการร้องขัดทรัพย์
ผู้รับสัมปทานจากรัฐบาลให้มีสิทธิเข้าถือเอาไม้ในป่าตามที่กำหนดให้นั้น ย่อมมีสิทธิร้องขัดทรัพย์ในเมื่อไม้ที่ถูกตัดมาจากป่าสัมปทานของผู้ร้องได้ถูกยึดทรัพย์ไว้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1823/2493 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิร้องขัดทรัพย์ของผู้มีส่วนได้เสีย ไม่จำกัดเฉพาะเจ้าของทรัพย์ หากทรัพย์สินถูกยึดโดยไม่ชอบ
ประเด็นในเรื่องร้องขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ถูกยึดนั้นมีว่าลูกหนี้ตามคำพิพากษาเป็นเจ้าของทรัพย์สินที่ถูกยึดนั้นหรือ ไม่ และตาม ป.ม.วิ.แพ่งมาตรา 288 ประกอบด้วยมาตรา 55 นั้น ผู้ที่จะต้องใช้สิทธิทางศาลในกรณีขอให้ปล่อยทรัพย์นั้น ก็หาจำต้องเป็นผู้มีกรรมสิทธิในทรัพย์นั้นไม่ ผู้มีส่วนได้เสียในกรณีย่อมมาใช้สิทธิทางศาลได้ด้วยการร้องขัดทรัพย์
มีผู้ลอบตัดฟันไม้สักอันเป็นไม้หวงห้ามแล้วแปรรูปโดยไม่ได้รับอนุญาตภายหลังถูกเจ้าหนี้ยึดไม้เหล่านี้ไว้เพื่อ บังคับคดีกรมป่าไม้ซึ่งรัฐหรือแผ่นดินมอบหน้าที่ให้เป็นผู้ดูแลรักษาไม้หวงห้ามย่อมมีสิทธิร้องขัดทรัพย์ขอให้ปล่อย ไม้นั้นได้
ไม้ที่หวงห้ามเป็นส่วนควบของป่าไม้แม้จะถูกลอบลักตัดโดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นสังหาริมทรัพย์แล้วก็ยังคงเป็นส่วนหนึ่งของสาธารณะสมบัติของแผ่นดินอยู่+

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1823/2493

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิร้องขัดทรัพย์: ผู้มีส่วนได้เสียไม่ต้องเป็นเจ้าของทรัพย์สิน แต่มีสิทธิเมื่อทรัพย์สินได้มาจากการกระทำผิด
ประเด็นในเรื่องร้องขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ถูกยึดนั้นมีว่า ลูกหนี้ตามคำพิพากษาเป็นเจ้าของทรัพย์สินที่ถูกยึดนั้นหรือไม่ และตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 288 ประกอบด้วยมาตรา 55 นั้นผู้ที่จะต้องใช้สิทธิทางศาลในกรณีขอให้ปล่อยทรัพย์นั้น ก็หาจำต้องเป็นผู้มีกรรมสิทธิ์หรือทรัพยสิทธิในทรัพย์นั้นไม่ ผู้มีส่วนได้เสียในกรณีย่อมมาใช้สิทธิทางศาลได้ด้วยการร้องขัดทรัพย์
มีผู้ลอบตัดฟันไม้สัก อันเป็นไม้หวงห้ามแล้วแปรรูปโดยไม่ได้รับอนุญาต ภายหลังถูกเจ้าหนี้ยึดไม้เหล่านี้ไว้เพื่อบังคับคดี กรมป่าไม้ซึ่งรัฐหรือแผ่นดินมอบหน้าที่ให้เป็นผู้ดูแลรักษาไม้หวงห้ามย่อมมีสิทธิร้องขัดทรัพย์ขอให้ปล่อยไม้นั้นได้
ไม้ที่หวงห้ามเป็นส่วนควบของป่าไม้ แม้จะถูกลอบลักตัดโดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นสังหาริมทรัพย์แล้ว ก็ยังคงเป็นส่วนหนึ่งของสาธารณะสมบัติของแผ่นดินอยู่เช่นเดิม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1817/2493 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเพิกถอนการจดทะเบียนที่ดินที่ผิดหลง ทำให้สิทธิในที่ดินเป็นโมฆะ ผู้รับโอนรายหลังไม่สามารถอ้างสิทธิได้
เมื่อศาลมีคำสั่งให้เพิกถอนหนังสือสำคัญและรายการจดทะเบียนตาม พ.ร.บ.ออกโฉนดที่ดิน (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2486 มาตรา 12 ก็ต้องถือว่ารายการจดทะเบียนนั้นมิได้มีอยู่ ผู้ใดจะมาอ้างทรัพย์สิทธิอย่างใด เนื่องมาจากการจดทะเบียนนั้นมิได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1817/2493

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเพิกถอนรายการจดทะเบียนที่ดิน ทำให้สิทธิในที่ดินเป็นโมฆะ ผู้รับโอนสิทธิไม่มีทางชนะคดี
เมื่อศาลมีคำสั่งให้เพิกถอนหนังสือสำคัญและรายการจดทะเบียนตามพ.ร.บ.ออกโฉนดที่ดิน(ฉบับที่ 7) พ.ศ.2486 มาตรา 12 ก็ต้องถือว่ารายการจดทะเบียนนั้นมิได้มีอยู่ ผู้ใดจะมาอ้างทรัพย์สิทธิอย่างใด เนื่องมาจากการจดทะเบียนนั้นมิได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1816/2493

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การลงโทษฐานวางเพลิงทำลายทรัพย์สิน แม้โจทก์อ้างฐานความผิดผิด แต่ศาลลงโทษตามความผิดที่ถูกต้องได้
ฟ้องหาว่าจำเลยวางเพลิงจุดเผาต้นอ้อยในไร่ซึ่งเป็นไม้ยืนต้นเป็นอสังหาริมทรัพย์เสียหาย ขอให้ลงโทษตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 186 เมื่อข้อเท็จจริงตามทางพิจารณาฟังได้ตามฟ้องจริงแต่ศาลเห็นว่าต้นอ้อยเป็นเพียงสังหาริมทรัพย์ไม่ใช่อสังหาริมทรัพย์ เช่นนี้ จึงเป็นกรณีเข้าตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสี่ ศาลย่อมลงโทษจำเลยตาม กฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 185 ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1816/2493 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การวางเพลิงทำลายทรัพย์สิน: ศาลลงโทษฐานความผิดตามบทมาตราที่ถูกต้อง แม้บทลงโทษที่อ้างในฟ้องไม่ตรงกับประเภททรัพย์สิน
ฟ้องหาว่าจำเลยวางเพลิงจุดเผาต้นอ้อยในไร่ซึ่งเป็นไม้ยืนต้นเป็นอสังหาริมทรัพย์เสียหาย ขอให้ลงโทษตาม ก.ม.ลักษณะอาญามาตรา 186 เมื่อข้อเท็จจริงตามทางพิจารณาฟังได้ตามฟ้องจริงแต่ศาลเห็นว่าต้นอ้อยเป็นเพียงสังหาริมทรัพย์, ไม่ใช่อสังหาริมทรัพย์ เช่นนี้ จึงเป็นกรณีเข้าตาม ป.ม.วิ.อาญามาตรา 192 วรรค 4 ศาลย่อมลงโทษจำเลยตาม ก.ม.ลักษณะอาญามาตรา 185 ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1815/2493

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ขอบเขตอำนาจตัวแทนจัดการร้านค้าและการกู้ยืมเงินเพื่อใช้ในกิจการ
ตั้งตัวแทนจัดการร้านค้าของตัวการแล้ว ตัวการไปต่างประเทศเสียชั่วคราว ในระหว่างที่ตัวการไปอยู่ต่างประเทศนั้น ตัวแทนซึ่งเป็นผู้จัดการร้านได้กู้ยืมเงินของบุคคลภายนอกมาใช้จ่ายในกิจการค้าของร้านตัวการ ผู้ให้กู้ก็เข้าใจว่าตัวแทนมีสิทธิทำการกู้ยืมเงินไปใช้ในกิจการค้านั้นได้เช่นนี้ เข้าลักษณะตัวแทนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 821,822 แม้ตัวการจะไม่ได้ตั้งตัวแทนเป็นหนังสือ ตัวการก็ต้องรับผิดในจำนวนเงินที่ตัวแทนไปกู้เขามาดังกล่าว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1815/2493 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ขอบเขตอำนาจตัวแทนและการรับผิดในหนี้ที่ตัวแทนก่อจากการจัดการร้านค้า
ตั้งตัวแทนจัดการร้านค้าของตัวการแล้ว ตัวการไปต่างประเทศเสียชั่วคราวในระหว่างที่ตัวการไปอยู่ต่างประเทศนั้น ตัวแทนซึ่งเป็นผู้จัดการร้านได้กู้ยืมเงินของบุคคลภายนอกมาใช้จ่ายในกิจการค้าของร้านตัวการผู้ให้กู้ก็เข้าใจว่าตัวแทนมีสิทธิทำการกู้ยืมเงินไปใช้ในกิจการค้านั้นได้เช่นนี้ เข้าลักษณะตัวแทนตาม ป.ม.แพ่งฯมาตรา 821, 822 แม้ตัวการจะไม่ได้ตั้งตัวแทนเป็นหนังสือ ตัวการก็ต้องรับผิดในจำนวนเงินที่ตัวแทนไปกู้เขามาดังกล่าว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1813/2493 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การทำนาในที่พิพาทหลังศาลชั้นต้นพิพากษา แต่ต่อมาศาลอุทธรณ์ตัดสินว่าที่ดินเป็นของโจทก์ การกระทำดังกล่าวเป็นการทำละเมิด
แม้จะปรากฎว่า ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชนะคดีจำเลยจึงเข้าทำนาพิพาทก็ตามเมื่อในชั้นที่สุดศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าที่พิพาท เป็นของโจทก์แต่เดิมมา จำเลยรับซื้อไว้จากผู้มีชื่อโดยไม่สุจริต และคดีถึงที่สุดแล้วดังนี้ก็เป็นอันว่าจำเลยไม่มีสิทธิเหนือที่พิพาทแต่ประการใดที่พิพาทคงเป็นของโจทก์ตลอดมาฉะนั้นการที่จำเลยเข้าทำนาพิพาทโดยพละการของจำเลยเองจึงเป็นการทำละเมิดต่อสิทธิของโจทก์ในนาพิพาท โจทก์มีอำนาจฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยได้
of 219