พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,184 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1545/2493 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ค่าธรรมเนียมการอ้างเอกสารพินัยกรรม: ผลต่อการพิจารณาคดีและการพิพากษา
เมื่อปรากฎในชั้นศาลอุทธรณ์ว่า คู่ความฝ่ายที่อ้างเอกสารพินัยกรรม์ยังมิได้เสียค่าธรรมเนียมในการอ้างแต่ไม่ปรากฎว่าคู่ความฝ่ายนั้นฝ่าฝืนไม่ ยอมเสียหรือเป็นด้วยความพลั้งเผลอของเจ้าพนักงานศาลมิได้เรียกร้องให้คู่ความนั้นเสียดังนี้ก็ยังไม่ควรให้คู่ความฝ่ายนั้นเป็นผู้รับผิดและควรให้ศาลชั้นต้นปฏิบัติในเรื่องค่าธรรมเนียมการอ้างเอกสารให้ถูกต้องเสียก่อนแล้ว พิพากษาใหม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1545/2493
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ค่าธรรมเนียมการอ้างเอกสารพินัยกรรม: ผลต่อการพิจารณาคดี
เมื่อปรากฏในชั้นศาลอุทธรณ์ว่า คู่ความฝ่ายที่อ้างเอกสารพินัยกรรม ยังมิได้เสียค่าธรรมเนียมในการอ้าง แต่ไม่ปรากฏว่าคู่ความฝ่ายนั้นฝ่าฝืนไม่ยอมเสียหรือเป็นด้วยความพลั้งเผลอของเจ้าพนักงานศาลมิได้เรียกร้องให้คู่ความนั้นเสียดังนี้ ก็ยังไม่ควรให้คู่ความฝ่ายนั้นเป็นผู้รับผิด และควรให้ศาลชั้นต้นปฏิบัติในเรื่องค่าธรรมเนียมการอ้างเอกสารให้ถูกต้องเสียก่อนแล้วพิพากษาใหม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1536/2493
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิร้องขอพิสูจน์สัญชาติทางศาล แม้เคยร้องต่อเจ้าพนักงานแล้ว ศาลฎีกาวางหลักสิทธิในการพิสูจน์สัญชาติเป็นสิทธิสำคัญ
การร้องขอพิสูจน์สัญชาติตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ.2480 มาตรา 28 ว่าผู้ร้องเป็นบุคคลเกิดในประเทศไทยและมีสัญชาติเป็นไทยโดยกำเนิดนั้นแม้ผู้ร้องจะได้ร้องทางเจ้าพนักงานตลอดจนถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยได้สั่งเสร็จไปแล้วให้ยกคำร้องของผู้ร้องเสียก็ดี ผู้ร้องก็ยังมีสิทธิมาร้องขอพิสูจน์ทางศาลได้อีก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1536/2493 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิในการพิสูจน์สัญชาติทางศาล แม้เคยร้องต่อเจ้าพนักงานแล้ว
การร้องขอพิศูจน์สัญชาติตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ. 2480 มาตรา 28 ว่าผู้ร้องเป็นบุคคลเกิดในประเทศไทยและมีสัญชาติเป็นไทยโดยกำเหนิดนั้น แม้ผู้ร้องจะได้ร้องทางเจ้าพนักงานตลอดจนถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยได้สั่งเสร็จไปแล้วให้ยกคำร้อง ของผู้ร้องเสียก็ดีผู้ร้องก็ยังมีสิทธิมาร้องขอพิศูจน์ทางศาลได้อีก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1484/2493 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจการขอเงินสินบลในคดีป้องกันการค้ากำไรเกินควร อัยการไม่มีสิทธิขอแทนผู้รับสินบล และศาลมีอำนาจแก้ไขได้
เงินสินบลที่จะให้ตาม พ.ร.บ.ป้องกันการค้ากำไรเกินควร พ.ศ. 2490 ม. + นั้น พนักงานอัยการไม่มีสิทธิที่จะขอแทนผู้รับสินบล
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้ค่าสืนบลตามพ.ร.บ.ป้องกันการค้ากำไรเกินควร พ.ศ. 2490 มาตรา 30 โดยอัยการโจทก์มิได้ขอแม้จำเลยมิได้อุทธรณ์ในข้อนี้ศาลอุทธรณ์ก็ย่อมมีอำนาจจะยกขึ้นอ้างและพิพากษาแก้ไขให้ เป็นผลดีแก่จำเลยได้ตาม ป.ม.วิ.อาญามาตรา 195 เพราะเป็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้ค่าสืนบลตามพ.ร.บ.ป้องกันการค้ากำไรเกินควร พ.ศ. 2490 มาตรา 30 โดยอัยการโจทก์มิได้ขอแม้จำเลยมิได้อุทธรณ์ในข้อนี้ศาลอุทธรณ์ก็ย่อมมีอำนาจจะยกขึ้นอ้างและพิพากษาแก้ไขให้ เป็นผลดีแก่จำเลยได้ตาม ป.ม.วิ.อาญามาตรา 195 เพราะเป็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1484/2493
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจการขอค่าสินบนตาม พ.ร.บ.ป้องกันการค้ากำไรเกินควร และการแก้ไขคำพิพากษาโดยศาลอุทธรณ์
เงินสินบนที่จะให้ตามพ.ร.บ.ป้องกันการค้ากำไรเกินควร พ.ศ.2490 มาตรา 30 นั้น พนักงานอัยการไม่มีสิทธิที่จะขอแทนผู้รับสินบน
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้ค่าสินบนตาม พ.ร.บ.ป้องกันการค้ากำไรเกินควร พ.ศ.2490 มาตรา 30 โดยอัยการโจทก์มิได้ขอ แม้จำเลยมิได้อุทธรณ์ในข้อนี้ ศาลอุทธรณ์ก็ย่อมมีอำนาจจะยกขึ้นอ้างและพิพากษาแก้ไขให้เป็นผลดีแก่จำเลยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 195 เพราะเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้ค่าสินบนตาม พ.ร.บ.ป้องกันการค้ากำไรเกินควร พ.ศ.2490 มาตรา 30 โดยอัยการโจทก์มิได้ขอ แม้จำเลยมิได้อุทธรณ์ในข้อนี้ ศาลอุทธรณ์ก็ย่อมมีอำนาจจะยกขึ้นอ้างและพิพากษาแก้ไขให้เป็นผลดีแก่จำเลยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 195 เพราะเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1483/2493
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องไม่สมบูรณ์ตามกฎหมาย – ข้อหาไม่ชัดเจน – เหตุการณ์ต่อเนื่อง
โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยทั้ง 5 คนสมคบกันทำผิดกฎหมายหลายบทหลายกระทงโดยแยกรายละเอียดความผิดเป็นข้อๆ และตามฟ้อง ข้อ ก. ว่าจำเลยที่ 1-2 และ 3 ได้มีเจตนาสมคบกันบังอาจเอาความที่จำเลยทั้งสามรู้อยู่แล้วว่าเป็นความเท็จซึ่งอาจทำให้โจทก์เสียหายได้นั้น ไปแจ้งและร้องทุกข์แก่จำเลยที่ 3 ว่าโจทก์ได้ฉ้อโกงทรัพย์อันเป็นความผิดทางอาญาทำให้จำเลยที่ 3 อาศัยอำนาจในตำแหน่งเพื่อทำการทุจริต ซึ่งความจริงโจทก์มิได้ฉ้อโกงทรัพย์จำเลยที่1 เลย'
และตามข้อ ข. ว่า"จำเลยที่ 2-5 ไม่มีอำนาจโดยชอบด้วยกฎหมายได้สมบคบกันบังคับจับโจทก์ไปจากบ้าน ควบคุมกักขังไว้ 1 คืน ยึดถั่วลิสงของโจทก์ไว้ 1 กระสอบ วันรุ่งขึ้นจึงให้ประกันตัวไป ต่อมาจำเลยที่ 3 บังคับให้โจทก์ทำหนังสือรับว่าเป็นลูกหนี้จำเลยที่ 3 ก่อนที่จะปล่อยตัวโจทก์ไปโดยไม่มีประกันตัว" ดังนี้ฟ้องของโจทก์ ข้อ ก. มีข้อความขัดกันในตัวเอง เป็นคำกล่าวลอยๆไม่มีข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ 3 ทำอะไร อย่างไร ไม่อาจเข้าใจข้อหาได้ดี จึงเป็นฟ้องที่ไม่ถูกต้องตามป.วิ.อ.มาตรา 158(5) ส่วนฟ้องของ ข. โจทก์แถลงว่าเป็นความผิดเนื่องจากการกระทำตามฟ้องข้อ ก. ไม่เป็นฟ้องที่ชอบเสียแล้ว ฟ้องข้อข.จึงไม่ชอบด้วยกฎหมายด้วย
และตามข้อ ข. ว่า"จำเลยที่ 2-5 ไม่มีอำนาจโดยชอบด้วยกฎหมายได้สมบคบกันบังคับจับโจทก์ไปจากบ้าน ควบคุมกักขังไว้ 1 คืน ยึดถั่วลิสงของโจทก์ไว้ 1 กระสอบ วันรุ่งขึ้นจึงให้ประกันตัวไป ต่อมาจำเลยที่ 3 บังคับให้โจทก์ทำหนังสือรับว่าเป็นลูกหนี้จำเลยที่ 3 ก่อนที่จะปล่อยตัวโจทก์ไปโดยไม่มีประกันตัว" ดังนี้ฟ้องของโจทก์ ข้อ ก. มีข้อความขัดกันในตัวเอง เป็นคำกล่าวลอยๆไม่มีข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ 3 ทำอะไร อย่างไร ไม่อาจเข้าใจข้อหาได้ดี จึงเป็นฟ้องที่ไม่ถูกต้องตามป.วิ.อ.มาตรา 158(5) ส่วนฟ้องของ ข. โจทก์แถลงว่าเป็นความผิดเนื่องจากการกระทำตามฟ้องข้อ ก. ไม่เป็นฟ้องที่ชอบเสียแล้ว ฟ้องข้อข.จึงไม่ชอบด้วยกฎหมายด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1480/2493 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตการห้ามขุดคูใกล้เขตที่ดินร่วม: การวัดระยะจากริมคันนาเพื่อรักษาสิทธิทางเดิน
การห้ามขุดคูใกล้แนวเขตที่ดินกว่าครึ่งหนึ่งแห่งส่วนลึกของคู ตาม ป.ม.แพ่งฯมาตรา 1342 นั้น ถ้าตรงเขตที่ดินเป็นคันนา ซึ่งเจ้าของที่ดินที่ติดต่อมีสิทธิร่วมกันในคันนานั้นจะใช้เป็นทางเดินร่วมกันแล้วการวัดระยะจากเขตต์ที่ไปถึงปากคู ที่ขุดจะต้องวัดจากริมคันนาด้านที่ขุดคูไปถึงปากคู ไม่ใช่วัดจากกลางคันนาไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1480/2493
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขุดคูใกล้เขตที่ดินร่วม: การวัดระยะห่างเพื่อป้องกันคันนาพังทลาย
การห้ามขุดคูใกล้แนวเขตที่ดินกว่าครึ่งหนึ่งแห่งส่วนลึกของคู ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1342 นั้น ถ้าตรงเขตที่ดินเป็นคันนา ซึ่งเจ้าของที่ดินที่ติดต่อมีสิทธิร่วมกันในคันนานั้นจะใช้เป็นทางเดินร่วมกันแล้วการวัดระยะจากเขตที่ไปถึงปากคูที่ขุด จะต้องวัดจากริมคันนาด้านที่ขุดคูไปถึงปากคู ไม่ใช่วัดจากกลางคันนาไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1460/2493
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาซื้อที่ดินร่วมกับเงื่อนไขการโอนสิทธิ - การโอนโดยไม่สุจริตไม่กระทบสิทธิเจ้าของร่วม
โจทก์ออกเงินซื้อที่ดินร่วมกับจำเลยโดยมีเงื่อนไขว่า เมื่อสามีโจทก์แปลงชาติเป็นไทยได้เรียบร้อยแล้ว จำเลยจะโอนโฉนดใส่ชื่อโจทก์ร่วมด้วย ดังนี้ หาเป็นสัญญาที่ผิดกฎหมายไม่ และต่อมาเมื่อสามีโจทก์แปลงชาติเป็นไทยได้เรียบร้อยแล้ว จำเลยก็ต้องปฏิบัติตามสัญญานั้น