พบผลลัพธ์ทั้งหมด 4,810 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8203/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หุ้นส่วนประกอบกิจการร่วมกัน: ความรับผิดร่วมกันในละเมิดของลูกจ้าง
จำเลยที่ 2 นำรถยนต์โดยสารคันเกิดเหตุไปร่วมกิจการเดินรถกับจำเลยที่ 3 ในเส้นทางที่ได้รับสัมปทานจากทางราชการ โดยจำเลยที่ 3 ได้รับผลประโยชน์ตอบแทนจากจำเลยที่ 2 ร้อยละ 13 ของยอดรายได้ที่ยังไม่หักค่าใช้จ่ายและยอมให้จำเลยที่ 3 นำรถยนต์โดยสารคันเกิดเหตุไปทำสัญญาประกันภัยไว้กับจำเลยที่ 4 กับยอมให้จำเลยที่ 3 พ่นชื่อบริษัทจำเลยที่ 3 ไว้ที่ข้างรถ จึงถือว่าจำเลยที่ 2และที่ 3 เป็นหุ้นส่วนประกอบกิจการรับขนคนโดยสารด้วยกันในลักษณะหุ้นส่วนสามัญไม่จดทะเบียน เมื่อจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 2 ได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ในทางการที่จ้างของห้างหุ้นส่วนดังกล่าว จำเลยที่ 3 จึงต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 2 ในผลแห่งการละเมิดของจำเลยที่ 1 ด้วย
ที่จำเลยที่ 3 ฎีกาว่า จำเลยที่ 4 ต้องรับผิดไม่เกิน250,000 บาท ในนามของจำเลยที่ 3 นั้น ไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย เพราะไม่ทำให้ความรับผิดในจำนวนค่าสินไหมทดแทนที่จำเลยที่ 3 ต้องใช้ให้แก่โจทก์ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ลดลง เนื่องจากโจทก์มีสิทธิที่จะบังคับคดีเอาแก่จำเลยที่ 3 ได้เต็มจำนวน
ที่จำเลยที่ 3 ฎีกาว่า จำเลยที่ 4 ต้องรับผิดไม่เกิน250,000 บาท ในนามของจำเลยที่ 3 นั้น ไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย เพราะไม่ทำให้ความรับผิดในจำนวนค่าสินไหมทดแทนที่จำเลยที่ 3 ต้องใช้ให้แก่โจทก์ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ลดลง เนื่องจากโจทก์มีสิทธิที่จะบังคับคดีเอาแก่จำเลยที่ 3 ได้เต็มจำนวน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8203/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หุ้นส่วนสามัญ-ความรับผิดร่วม: ละเมิดจากลูกจ้างในกิจการร่วมกัน
จำเลยที่2นำรถยนต์โดยสารคันเกิดเหตุไปร่วมกิจการเกินรถกับจำเลยที่3ในเส้นทางที่ได้รับสัมปทานจากทางราชการโดยจำเลยที่3ได้รับผลประโยชน์ตอบแทนจากจำเลยที่2ร้อยละ13ของยอดรายได้ที่ยังไม่หักค่าใช้จ่ายและยอมให้จำเลยที่3นำรถยนต์โดยสารคันเกิดเหตุไปทำสัญญาประกันภัยไว้กับจำเลยที่4กับยอมให้จำเลยที่3พ่นชื่อบริษัทจำเลยที่3ไว้ที่ข้างรถจึงถือว่าจำเลยที่2และที่3เป็นหุ้นส่วนประกอบกิจการรับขนคนโดยสารด้วยกันในลักษณะหุ้นส่วนสามัญไม่จดทะเบียนเมื่อจำเลยที1ซึ่งเป็นลูกจ้างของจำเลยที่2ได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ในทางการที่จ้างของห้างหุ้นส่วนดังกล่าวจำเลยที่3จึงต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่2ในผลแห่งการละเมิดของจำเลยที่1ด้วย ที่จำเลยที่3ฎีกาว่าจำเลยที่4ต้องรับผิดไม่เกิน250,000บาทในนามของจำเลยที่3นั้นไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัยเพราะไม่ทำให้ความรับผิดในจำนวนค่าสินไหมทดแทนที่จำเลยที่3ต้องใช้ให้แก่โจทก์ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ลดลงเนื่องจากโจทก์มีสิทธิที่จะบังคับคดีเอาแก่จำเลยที่3ได้เต็มจำนวน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8187/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ละเมิดต่อเนื่องจากการคัดค้านหนังสือรับรองการทำประโยชน์ ไม่ขาดอายุความ
แม้การที่จำเลยยื่นคำคัดค้านการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ของโจทก์และสามีโจทก์เป็นการทำละเมิดต่อโจทก์ก็ตาม แต่การที่โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยถอนคำคัดค้านการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ของโจทก์ไม่ใช่การฟ้องเรียกค่าเสียหายอันเกิดแต่มูลละเมิดตาม ป.พ.พ. มาตรา 448คดีของโจทก์จึงไม่อยู่ในบังคับอายุความตามบทบัญญัติดังกล่าว และเมื่อคำคัดค้านของจำเลยยังไม่มีการเปรียบเทียบ ต้องถือว่าคำคัดค้านนั้นยังมีอยู่ตลอดไปการที่จำเลยไม่ยอมถอนคำคัดค้าน ทำให้คำคัดค้านนั้นยังมีอยู่ ดังนี้ การกระทำของจำเลยจึงเป็นการทำละเมิดต่อเนื่องกันตลอดมาจนถึงปัจจุบัน คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8187/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความละเมิดต่อเนื่อง: การคัดค้านการออก น.ส.3ก. จนกว่าจะมีการถอนคำคัดค้าน
แม้การที่จำเลยยื่นคำคัดค้านการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ของโจทก์และสามีโจทก์เป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์ก็ตาม แต่การที่โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยถอนคำคัดค้านการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ของโจทก์ไม่ใช่การฟ้องเรียกค่าเสียหายอันเกิดแต่มูลละเมิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 คดีของโจทก์จึงไม่อยู่ในบังคับอายุความตามบทบัญญัติดังกล่าว และเมื่อคำคัดค้านของจำเลยยังไม่มีการเปรียบเทียบ ต้องถือว่าคำคัดค้านนั้นยังมีอยู่ตลอดไปการที่จำเลยไม่ยอมถอนคำคัดค้านทำให้คำคัดค้านนั้นยังมีอยู่ ดังนี้ การกระทำของจำเลยจึงเป็นการกระทำละเมิดต่อเนื่องกันตลอดมาจนถึงปัจจุบัน คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8177/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ร่องสวนติดที่ดินพิพาทเป็นร่องสวนเดิม ไม่ใช่ลำรางสาธารณะ จำเลยคัดค้านรังวัดโดยสุจริต ไม่ต้องรับผิด
ร่องน้ำระหว่างที่ดินของจำเลยและโจทก์ที่ 1 เป็นร่องสวนเดิมที่ขุดขึ้นเพื่อนำน้ำจากคลองสาธารณะเข้ามาใช้ทำสวน ซึ่งมิใช่ลำรางหรือลำกระโดงสาธารณะ แต่สภาพที่ดินพิพาทเป็นร่องสวนที่มีมานานหลายสิบปีน่าจะเป็นร่องน้ำสาธารณะประโยชน์ได้ การที่จำเลยซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินข้างเคียง และจากการที่จำเลยได้ตรวจสอบหลักเขตที่ดินเขตติดต่อกันแต่หลักเขตต่างกัน ทั้งเจ้าพนักงานที่ดินยังแจ้งว่าหลักทั้งสองห่างกัน 3.16 เมตร ย่อมทำให้จำเลยซึ่งเป็นบุคคลธรรมเข้าใจว่าระหว่างที่ดินทั้งสองแปลงมีช่องว่างอยู่ และได้ตัดค้านการรังวัดแบ่งแยกที่ดินของโจทก์ดังนี้จึงเป็นการใช้สิทธิโดยสุจริตเพื่อป้องกันความเสียหายที่จะเกิดขึ้นแก่ตน มิได้มีเจตนาจะกลั่นแกล้งให้โจทก์ได้รับความเสียหายโดยตรง จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดในความเสียหายของโจทก์อันเนื่องมาจากการคัดค้านดังกล่าว แม้โจทก์ที่ 2 จะเป็นเพียงผู้ซื้อที่ดินจากโจทก์ที่ 1ยังไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินที่ทำการรังวัด แต่โจทก์ที่ 2ฟ้องให้จำเลยทั้งสี่รับผิดในฐานที่จำเลยทั้งสี่ใช้สิทธิซึ่งมีแต่จะทำให้โจทก์ที่ 2 ได้รับความเสียหาย มิได้ฟ้องคดีโดยอาศัยการเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดิน แม้โจทก์ที่ 2มิได้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินก็ย่อมมีอำนาจฟ้องผู้ก่อละเมิดให้ตนต้องได้รับความเสียหายได้ หาจำเป็นจะต้อง มีนิติสัมพันธ์กับจำเลยทั้งสี่มาก่อนไม่ โจทก์ที่ 2จึงมีอำนาจฟ้อง โจทก์มีคำขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยถอนคำคัดค้านการรังวัดแบ่งแยกโฉนดที่ดินของโจทก์ที่ 1 หากจำเลยไม่จัดการ ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยแต่เมื่อปรากฏว่าโจทก์ที่ 1 มิได้ดำเนินคดีต่อศาลภายในกำหนดระยะเวลาที่เจ้าพนักงานที่ดินกำหนด เจ้าพนักงานที่ดินจึงยกเลิกการรังวัดที่ดินไป กรณีจึงมิใช่เป็นเรื่องที่เจ้าพนักงานที่ดินจะต้องมีการดำเนินการต่อไปภายหลังมีคำพิพากษาของศาล ดังนี้คำคัดค้านนั้นย่อมสิ้นสุดไปด้วยศาลฎีกาจึงไม่อาจจะมีคำพิพากษาตามที่โจทก์ที่ 1 ขอได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8177/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การใช้สิทธิโดยสุจริตคัดค้านการรังวัด และอำนาจฟ้องของผู้ที่จะซื้อที่ดิน
ร่องน้ำระหว่างที่ดินของจำเลยและโจทก์ที่ 1 เป็นร่องสวนเดิมที่ขุดขึ้นเพื่อนำน้ำจากคลองสาธารณะเข้ามาใช้ทำสวน ซึ่งมิใช่ลำรางหรือลำกระโดงสาธารณะ แต่สภาพที่ดินพิพาทเป็นร่องสวนที่มีมานานหลายสิบปีน่าจะเป็นร่องน้ำสาธารณ-ประโยชน์ได้ การที่จำเลยซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินข้างเคียง และจากการที่จำเลยได้ตรวจสอบหลักเขตที่ดินเขตติดต่อกันแต่หลักเขตต่างกัน ทั้งเจ้าพนักงานที่ดินยังแจ้งว่าหลักทั้งสองห่างกัน 3.16 เมตร ย่อมทำให้จำเลยซึ่งเป็นบุคคลธรรมดาเข้าใจว่าระหว่างที่ดินทั้งสองแปลงมีช่องว่างอยู่ และได้คัดค้านการรังวัดแบ่งแยกที่ดินของโจทก์ดังนี้จึงเป็นการใช้สิทธิโดยสุจริตเพื่อป้องกันความเสียหายที่จะเกิดขึ้นแก่ตน มิได้มีเจตนาจะกลั่นแกล้งให้โจทก์ได้รับความเสียหายโดยตรง จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดในความเสียหายของโจทก์อันเนื่องมาจากการคัดค้านดังกล่าว
แม้โจทก์ที่ 2 จะเป็นเพียงผู้จะซื้อที่ดินจากโจทก์ที่ 1 ยังไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินที่ทำการรังวัด แต่โจทก์ที่ 2 ฟ้องให้จำเลยทั้งสี่รับผิดในฐานที่จำเลยทั้งสี่ใช้สิทธิซึ่งมีแต่จะทำให้โจทก์ที่ 2 ได้รับความเสียหาย มิได้ฟ้องคดีโดยอาศัยการเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดิน แม้โจทก์ที่ 2 มิได้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินก็ย่อมมีอำนาจฟ้องผู้ก่อละเมิดให้ตนต้องได้รับความเสียหายได้ หาจำเป็นจะต้องมีนิติสัมพันธ์กับจำเลยทั้งสี่มาก่อนไม่ โจทก์ที่ 2 จึงมีอำนาจฟ้อง
โจทก์มีคำขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยถอนคำคัดค้านการรังวัดแบ่งแยกโฉนดที่ดินของโจทก์ที่ 1 หากจำเลยไม่จัดการ ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย แต่เมื่อปรากฏว่าโจทก์ที่ 1 มิได้ดำเนินคดีต่อศาลภายในกำหนดระยะเวลาที่เจ้าพนักงานที่ดินกำหนด เจ้าพนักงานที่ดินจึงยกเลิกการรังวัดที่ดินไป กรณีจึงมิใช่เป็นเรื่องที่เจ้าพนักงานที่ดินจะต้องมีการดำเนินการต่อไปภายหลังมีคำพิพากษาของศาล ดังนี้คำคัดค้านนั้นย่อมสิ้นสุดไปด้วย ศาลฎีกาจึงไม่อาจจะมีคำพิพากษาตามที่โจทก์ที่ 1 ขอได้
แม้โจทก์ที่ 2 จะเป็นเพียงผู้จะซื้อที่ดินจากโจทก์ที่ 1 ยังไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินที่ทำการรังวัด แต่โจทก์ที่ 2 ฟ้องให้จำเลยทั้งสี่รับผิดในฐานที่จำเลยทั้งสี่ใช้สิทธิซึ่งมีแต่จะทำให้โจทก์ที่ 2 ได้รับความเสียหาย มิได้ฟ้องคดีโดยอาศัยการเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดิน แม้โจทก์ที่ 2 มิได้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินก็ย่อมมีอำนาจฟ้องผู้ก่อละเมิดให้ตนต้องได้รับความเสียหายได้ หาจำเป็นจะต้องมีนิติสัมพันธ์กับจำเลยทั้งสี่มาก่อนไม่ โจทก์ที่ 2 จึงมีอำนาจฟ้อง
โจทก์มีคำขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยถอนคำคัดค้านการรังวัดแบ่งแยกโฉนดที่ดินของโจทก์ที่ 1 หากจำเลยไม่จัดการ ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย แต่เมื่อปรากฏว่าโจทก์ที่ 1 มิได้ดำเนินคดีต่อศาลภายในกำหนดระยะเวลาที่เจ้าพนักงานที่ดินกำหนด เจ้าพนักงานที่ดินจึงยกเลิกการรังวัดที่ดินไป กรณีจึงมิใช่เป็นเรื่องที่เจ้าพนักงานที่ดินจะต้องมีการดำเนินการต่อไปภายหลังมีคำพิพากษาของศาล ดังนี้คำคัดค้านนั้นย่อมสิ้นสุดไปด้วย ศาลฎีกาจึงไม่อาจจะมีคำพิพากษาตามที่โจทก์ที่ 1 ขอได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8028/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ละเมิดหน้าที่ราชการจากความประมาทเลินเล่อในการตรวจสอบหนังสือค้ำประกันปลอม ทำให้เกิดความเสียหายต่อราชการ
จำเลยเป็นผู้อำนวยการกองอาคารสถานที่ของโจทก์มีหน้าที่รับผิดชอบในการทำสัญญาจ้างห้างหุ้นส่วนจำกัดศ. โดยจำเลยเป็นผู้รับหนังสือค้ำประกันมาจากห้างหุ้นส่วนจำกัดศ.เพื่ออ้างอิงว่ามีหนังสือค้ำประกันของธนาคารที่ผู้รับจ้างต้องนำมาเป็นหลักประกันในการทำสัญญาจ้างและต้องลงรายการของหนังสือค้ำประกันแล้วแต่จำเลยไม่ได้ทำการตรวจสอบหนังสือค้ำประกันเท่าที่ควรจะกระทำเช่นตรงช่องรายการ"ตามสัญญาจ้าง"ของหนังสือค้ำประกันไม่มีเลขที่ของสัญญาจ้างคงมีแต่วันที่ของสัญญาจ้างเท่านั้นและในหนังสือค้ำประกันของธนาคารสัญญาลงวันที่27พฤษภาคม2530แต่ตรงช่องรายการ"ตามสัญญาจ้างสธ.32/2530"กลับลงวันที่เป็น"วันที่28พฤษภาคม2530"ซึ่งหากเป็นสัญญาในวันที่ลงในหนังสือค้ำประกันวันที่27พฤษภาคม2530แล้วจะไปค้ำประกันสัญญาจ้างลงวันที่28พฤษภาคม2530ซึ่งยังไม่ได้ทำสัญญาจ้างกันเลยได้อย่างไรเมื่อหนังสือค้ำประกันของธนาคารมีพิรุธจึงเป็นหน้าที่ของจำเลยที่ต้องตรวจสอบว่าทำไมหนังสือค้ำประกันจึงมีพิรุธเช่นนี้หรือสั่งให้เจ้าหน้าที่ผู้ใต้บังคับตรวจสอบเอกสารนี้ให้ปรากฏความจริงเสียก่อนและหากยังเป็นที่สงสัยอยู่อีกจำเลยก็ต้องตรวจสอบไปยังธนาคารผู้ออกหนังสือค้ำประกันดังกล่าวนั้นว่าได้ออกหนังสือค้ำประกันดังกล่าวจริงหรือไม่เพราะสัญญาค้ำประกันมีมูลค่าสูงถึง20,000,000บาทการละเลยของจำเลยเช่นนี้จึงถือว่าจำเลยประมาทเลินเล่อไม่ได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรในการปฏิบัติหน้าที่แล้วจำเลยจะอ้างว่าในขณะทำสัญญาจ้างและขณะนำหนังสือค้ำประกันมาประกอบสัญญาจ้างไม่มีระเบียบให้ต้องตรวจสอบไปยังธนาคารผู้ออกหนังสือค้ำประกันหาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8028/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความประมาทเลินเล่อของผู้มีหน้าที่ตรวจสอบเอกสารค้ำประกันสัญญา ความผิดพลาดของเอกสารและการละเลยหน้าที่
จำเลยเป็นผู้อำนวยการกองอาคารสถานที่ของโจทก์ มีหน้าที่รับผิดชอบในการทำสัญญาจ้างห้างหุ้นส่วนจำกัด ศ. โดยจำเลยเป็นผู้รับหนังสือค้ำประกันมาจากห้างหุ้นส่วนจำกัด ศ.เพื่ออ้างอิงว่ามีหนังสือค้ำประกันของธนาคารที่ผู้รับจ้างต้องนำมาเป็นหลักประกันในการทำสัญญาจ้างและต้องลงรายการของหนังสือค้ำประกันแล้ว แต่จำเลยไม่ได้ทำการตรวจสอบหนังสือค้ำประกันเท่าที่ควรจะกระทำเช่น ตรงช่องรายการ "ตามสัญญาจ้าง" ของหนังสือค้ำประกัน ไม่มีเลขที่ของสัญญาจ้าง คงมีแต่วันที่ของสัญญาจ้างเท่านั้น และในหนังสือค้ำประกันของธนาคาร สัญญาลงวันที่ 27 พฤษภาคม 2530 แต่ตรงช่องรายการ "ตามสัญญาจ้าง สธ.32/2530"กลับลงวันที่เป็น "วันที่ 28 พฤษภาคม 2530" ซึ่งหากเป็นสัญญาในวันที่ลงในหนังสือค้ำประกันวันที่ 27 พฤษภาคม 2530 แล้วจะไปค้ำประกันสัญญาจ้างลงวันที่ 28พฤษภาคม 2530 ซึ่งยังไม่ได้ทำสัญญาจ้างกันเลยได้อย่างไร เมื่อหนังสือค้ำประกันของธนาคารมีพิรุธ จึงเป็นหน้าที่ของจำเลยที่ต้องตรวจสอบว่าทำไมหนังสือค้ำประกันจึงมีพิรุธเช่นนี้หรือสั่งให้เจ้าหน้าที่ผู้ใต้บังคับบัญชาตรวจสอบเอกสารนี้ให้ปรากฏความจริงเสียก่อน และหากยังเป็นที่สงสัยอยู่อีก จำเลยก็ต้องตรวจสอบไปยังธนาคารผู้ออกหนังสือค้ำประกันดังกล่าวนั้นว่าได้ออกหนังสือค้ำประกันดังกล่าวจริงหรือไม่เพราะสัญญาค้ำประกันมีมูลค่าสูงถึง 20,000,000 บาท การละเลยของจำเลยเช่นนี้จึงถือว่าจำเลยประมาทเลินเล่อไม่ได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรในการปฏิบัติหน้าที่แล้ว จำเลยจะอ้างว่าในขณะทำสัญญาจ้างและขณะนำหนังสือค้ำประกันมาประกอบสัญญาจ้างไม่มีระเบียบให้ต้องตรวจสอบไปยังธนาคารผู้ออกหนังสือค้ำประกันหาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7985/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องกรณีสัญญาเช่าซ้อนซ้อน: การกระทำของจำเลยไม่ใช่เหตุให้โจทก์รับเงินค่าเช่าไม่ได้
โจทก์ฟ้องว่า ว. ทำสัญญาเช่าสถานที่พิพาทกับจำเลยแล้วต่อมาได้ทำสัญญาเช่าสถานที่พิพาทกับโจทก์อีก ว.อ้างว่าไม่สามารถหยั่งรู้ถึงสิทธิของเจ้าหนี้หรือผู้มีสิทธิให้เช่าที่แท้จริงได้จึงนำเงินค่าเช่าไปวางที่สำนักงานวางทรัพย์ภายใต้เงื่อนไขเพื่อชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ที่แท้จริงตามคำพิพากษาอันถึงที่สุด โจทก์ไปขอรับเงินที่ ว.วางไว้ แต่ไม่สามารถรับเงินได้ เพราะตกอยู่ในเงื่อนไขข้างต้นหากจำเลยมิได้ทำสัญญาให้ ว. เช่าสถานที่พิพาท โจทก์ก็จะได้รับชำระค่าเช่าจาก ว.โดยว. ไม่ต้องนำเงินไปวางที่สำนักงานวางทรัพย์ การที่โจทก์รับเงินไม่ได้เป็นผลโดยตรงอันเกิดจากการกระทำของจำเลย ตามข้ออ้างของโจทก์ดังกล่าว เหตุที่ทำให้โจทก์ไม่สามารถรับเงินที่วางไว้ได้เกิดจากเงื่อนไขที่ ว. กำหนดไว้ มิใช่เพราะจำเลยไปคัดค้านการขอรับเงินของโจทก์ จำเลยไม่ได้กระทำละเมิดหรือโต้แย้งสิทธิของโจทก์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7834/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อพิพาทกรรมสิทธิ์ที่ดินรุกล้ำ, อายุความละเมิด, และการวินิจฉัยประเด็นความสงบเรียบร้อยของประชาชน
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างคืออาคารและรั้วที่รุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์และเรียกค่าเสียหาย จำเลยทั้งสองต่อสู้ว่าที่ดินที่สร้างอาคารเป็นของจำเลยทั้งสองโดยมีรั้วเป็นแนวเขต เป็นการต่อสู้เรื่องกรรมสิทธิ์ในที่ดินดังกล่าวซึ่งมีเนื้อที่ประมาณ 3 ตารางวา จำเลยทั้งสองฎีกาโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง เมื่อจำเลยทั้งสองรับว่าที่ดินบริเวณเดียวกับที่ดินดังกล่าวซื้อขายกันตารางวาละ 3,000 บาท ราคาทรัพย์สินที่พิพาทจึงไม่เกิน 200,000บาท ต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริง
ข้อที่จำเลยทั้งสองอ้างว่าครอบครองปรปักษ์ได้กรรมสิทธิ์ในที่พิพาท มิได้เป็นประเด็นข้อพิพาทในศาลล่างทั้งสองมาก่อน ทั้งมิใช่ปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน จำเลยทั้งสองเพิ่งยกขึ้นในชั้นฎีกาจึงเป็นการไม่ชอบ
รั้วและสิ่งปลูกสร้างที่โจทก์ฟ้องบังคับให้จำเลยทั้งสองรื้อถอนนั้นยังคงมีอยู่ตลอดมาต้องถือว่าจำเลยทั้งสองได้กระทำละเมิดต่อโจทก์จนถึงวันฟ้อง ฟ้องโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองรื้อถอนอาคารและรั้วที่สร้างรุกล้ำที่ดินของโจทก์ และให้ชดใช้ค่าเสียหาย จำเลยทั้งสองต่อสู้ว่าจำเลยทั้งสองปลูกสร้างอาคารและสร้างรั้วในที่ดินของจำเลยทั้งสองโดยสุจริตและต่อสู้ในเรื่องอายุความกับค่าเสียหาย คดีไม่มีประเด็นในเรื่องจำนวนเงินค่าใช้ที่ดินและเรื่องการจดทะเบียนสิทธิเป็นภาระจำยอมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1312 ปัญหานี้เป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้คู่ความมิได้อุทธรณ์ฎีกา ศาลฎีกาก็ชอบที่จะหยิบยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้จำเลยทั้งสองชำระค่าใช้ที่ดินและให้โจทก์จดทะเบียนสิทธิเป็นภาระจำยอมแก่จำเลยทั้งสองนั้นไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
ข้อที่จำเลยทั้งสองอ้างว่าครอบครองปรปักษ์ได้กรรมสิทธิ์ในที่พิพาท มิได้เป็นประเด็นข้อพิพาทในศาลล่างทั้งสองมาก่อน ทั้งมิใช่ปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน จำเลยทั้งสองเพิ่งยกขึ้นในชั้นฎีกาจึงเป็นการไม่ชอบ
รั้วและสิ่งปลูกสร้างที่โจทก์ฟ้องบังคับให้จำเลยทั้งสองรื้อถอนนั้นยังคงมีอยู่ตลอดมาต้องถือว่าจำเลยทั้งสองได้กระทำละเมิดต่อโจทก์จนถึงวันฟ้อง ฟ้องโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองรื้อถอนอาคารและรั้วที่สร้างรุกล้ำที่ดินของโจทก์ และให้ชดใช้ค่าเสียหาย จำเลยทั้งสองต่อสู้ว่าจำเลยทั้งสองปลูกสร้างอาคารและสร้างรั้วในที่ดินของจำเลยทั้งสองโดยสุจริตและต่อสู้ในเรื่องอายุความกับค่าเสียหาย คดีไม่มีประเด็นในเรื่องจำนวนเงินค่าใช้ที่ดินและเรื่องการจดทะเบียนสิทธิเป็นภาระจำยอมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1312 ปัญหานี้เป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้คู่ความมิได้อุทธรณ์ฎีกา ศาลฎีกาก็ชอบที่จะหยิบยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้จำเลยทั้งสองชำระค่าใช้ที่ดินและให้โจทก์จดทะเบียนสิทธิเป็นภาระจำยอมแก่จำเลยทั้งสองนั้นไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง