คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.พ.พ. ม. 420

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 4,810 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 373/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ละเลยเวนคืนแจ้งเจ้าของ-เจ้าพนักงานที่ดิน ทำให้เสียหายจากการเวนคืน ชดใช้ค่าเสียหายเฉพาะส่วนที่เหลือ
พระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์พ.ศ.2497มาตรา9บัญญัติไว้โดยเด็ดขาดว่านอกจากจะต้องประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วให้เจ้าหน้าที่มอบสำเนาอันแท้จริงแห่งพระราชกฤษฎีกาและพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ในมาตรา6และมาตรา8พร้อมทั้งแผนที่ท้ายพระราชกฤษฎีกาและพระราชบัญญัตินั้นๆไว้ณสถานที่ที่ทำการเจ้าหน้าที่ที่ทำการผู้ว่าราชการจังหวัดและที่ว่าการอำเภอหรือหอทะเบียนที่ดินในตำบลซึ่งทรัพย์สินที่ต้องเวนคืนนั้นตั้งอยู่เมื่อจำเลยที่1ในฐานะเจ้าหน้าที่มิได้ปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวจึงเป็นการละเว้นไม่ปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายเป็นผลโดยตรงก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ที่ไม่ทราบว่าที่ดินซึ่งเป็นที่ตั้งของอาคารพิพาทที่โจทก์ซื้อมาจากบริษัท ธ. ผู้ขออนุญาตปลูกสร้างอาคารจะต้องถูกเวนคืนทำให้อาคารพิพาทที่โจทก์ซื้อต้องถูกรื้อย่อมเป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์ส่วนจำเลยที่2ซึ่งเป็นผู้แทนของจำเลยที่1แม้มิได้แจ้งให้บริษัท ธ. ทราบเรื่องดังกล่าวขณะขออนุญาตปลูกสร้างอาคารก็หาได้มีนิติสัมพันธ์กับโจทก์ไม่ถือไม่ได้ว่าความเสียหายของโจทก์เป็นผลโดยตรงจากการทำละเมิดของจำเลยที่2จึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่2ทำละเมิดต่อโจทก์ แม้โจทก์จะได้ทราบถึงการแจ้งการครอบครองและให้รื้อถอนอาคารพิพาทตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์2526แต่ในขณะนั้นอาคารพิพาทยังไม่ถูกเข้าครอบครองและรื้อถอนมูลละเมิดจึงยังไม่เกิดเมื่อจำเลยที่1ได้ส่งเจ้าหน้าที่เข้าครอบครองและรื้อถอนอาคารพิพาทเมื่อวันที่14ตุลาคม2529ถือว่ามูลละเมิดเกิดขึ้นนับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปโจทก์ฟ้องคดีวันที่1มิถุนายน2530ยังไม่เกิน1ปีคดีจึงยังไม่ขาดอายุความ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 362/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดทางแพ่งของเจ้าหน้าที่รัฐและผู้บังคับบัญชาต่อความเสียหายจากละเลยหน้าที่
จำเลยที่2เป็นผู้บังคับบัญชาจำเลยที่1มีหน้าที่ตรวจสอบรายงานเงินคงเหลือประจำทุกวันแต่กลับไม่ตรวจสอบไม่ลงลายมือชื่อเป็นกรรมการรักษาเงินในรายงานเงินคงเหลือประจำวันและไม่กวดขันให้กรรมการรักษาเงินคนอื่นตรวจสอบหลักฐานการรับเงินและตัวเงินสดและลงลายมือชื่อในรายงานเงินคงเหลือประจำวันเป็นการไม่ปฏิบัติตามคำสั่งและระเบียบแบบแผนของโจทก์ไม่ควบคุมดูแลผู้ใต้บังคับบัญชาให้ปฏิบัติหน้าที่ตามคำสั่งและระเบียบแบบแผนของโจทก์เมื่อผลของการกระทำดังกล่าวเป็นเหตุให้จำเลยที่1ยักยอกเงินของโจทก์ไปการกระทำของจำเลยที่2จึงเป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์ จำเลยที่2มีตำแหน่งเป็นเร่งรัดพัฒนาชนบทจังหวัดเป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุดของหน่วยงานมีหน้าที่ควบคุมดูแลรับผิดชอบบังคับบัญชากิจการต่างๆของสำนักงานปล่อยปละละเลยไม่ควบคุมดูแลรับผิดชอบบังคับบัญชาจำเลยที่1และที่3ให้ปฏิบัติตามคำสั่งและระเบียบแบบแผนของโจทก์จำเลยที่2จึงต้องรับผิดมากกว่าจำเลยที่3 จำเลยที่3ทราบดีอยู่แล้วว่าจำเลยที่1และที่2ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งและระเบียบแบบแผนของโจทก์อาจจะเกิดความเสียหายแก่โจทก์ขึ้นได้แต่จำเลยที่3ก็มิได้รายงานเรื่องให้ผู้บังคับบัญชาชั้นเหนือจำเลยที่2ขึ้นไปทราบเสียในทันทีเพื่อจะได้สั่งการแก้ไขการที่จำเลยที่3ปล่อยปละละเลยจนเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายขึ้นจำเลยที่3ในฐานะผู้บังคับบัญชาโดยตรงของจำเลยที่1จึงต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่1ด้วย ผู้ว่าราชการจังหวัดโจทก์ลงนามรับทราบเรื่องในวันใดถือว่าโจทก์รู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนในวันดังกล่าวอายุความละเมิดเริ่มนับแต่วันนั้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 311/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การค้ำประกันความเสียหายจากการทำงาน: ความรับผิดของผู้ค้ำประกันเกิดขึ้นตามกฎหมาย แม้ไม่มีข้อความระบุ
เอกสารที่ทำขึ้นใช้ถ้อยคำแสดงว่าเป็นหนังสือสัญญาค้ำประกันและข้อความต่อมาก็ระบุในรายละเอียดให้เป็นที่เข้าใจได้ว่า จำเลยที่ 2 ในฐานะผู้ค้ำประกันที่ลงชื่อไว้ในเอกสารดังกล่าว ขอรับรองการเข้ามาทำงานของจำเลยที่ 1 ในกรณีที่จำเลยที่ 1 ยักยอกหรือทุจริตเงินของโจทก์ ให้โจทก์ดำเนินการตามกฎหมายแก่จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ได้ทันที ดังนี้เป็นกรณีที่จำเลยที่ 2ได้ค้ำประกันความเสียหายที่จะเกิดจากการทำงานของจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2ทำหลักฐานการค้ำประกันเป็นหนังสือให้ไว้แก่โจทก์ แม้จะไม่มีข้อความในเอกสารดังกล่าวระบุว่า จำเลยที่ 2 ยอมผูกพันตนรับผิดต่อโจทก์เพื่อชำระหนี้เมื่อจำเลยที่ 1ไม่ชำระหนี้ ก็ไม่ทำให้ความรับผิดในฐานะผู้ค้ำประกันของจำเลยที่ 2 ที่มีอยู่เปลี่ยนแปลงไป ทั้งนี้เพราะเมื่อจำเลยที่ 2 ยินยอมผูกพันตนรับผิดต่อโจทก์ในฐานะผู้ค้ำประกันแล้ว ความรับผิดจะมีขึ้นตอนไหนเพียงใดย่อมเป็นไปตามกฎหมายไม่จำต้องระบุถึงความรับผิดดังกล่าวซ้ำอีกถึงได้ใช้คำว่า "ผู้ค้ำประกัน" อันเป็นถ้อยคำที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 3 ลักษณะ 11ว่าด้วยค้ำประกัน จำเลยที่ 2 จึงต้องรับผิดต่อโจทก์ในฐานะผู้ค้ำประกันจำเลยที่ 1

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 311/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ หนังสือค้ำประกันความเสียหายจากการทำงาน แม้ไม่มีข้อความระบุการชำระหนี้ ก็ผูกพันตามกฎหมายค้ำประกัน
เอกสารที่ทำขึ้นใช้ถ้อยคำแสดงว่าเป็นหนังสือสัญญาค้ำประกันและข้อความต่อมาก็ระบุในรายละเอียดให้เป็นที่เข้าใจได้ว่าจำเลยที่2ในฐานะผู้ค้ำประกันที่ลงชื่อไว้ในเอกสารดังกล่าวขอรับรองการเข้ามาทำงานของจำเลยที่1ในกรณีที่จำเลยที่1ยักยอกหรือทุจริตเงินของโจทก์ให้โจทก์ดำเนินการตามกฎหมายแก่จำเลยที่1และจำเลยที่2ได้ทันทีดังนี้เป็นกรณีที่จำเลยที่2ได้ค้ำประกันความเสียหายที่จะเกิดจากการทำงานของจำเลยที่1โดยจำเลยที่2ทำหลักฐานการค้ำประกันเป็นหนังสือให้ไว้แก่โจทก์แม้จะไม่มีข้อความในเอกสารดังกล่าวระบุว่าจำเลยที่2ยอมผูกพันตนรับผิดต่อโจทก์เพื่อชำระหนี้เมื่อจำเลยที่1ไม่ชำระหนี้ก็ไม่ทำให้ความรับผิดในฐานะผู้ค้ำประกันของจำเลยที่2ที่มีอยู่เปลี่ยนแปลงไปทั้งนี้เพราะเมื่อจำเลยที่2ยินยอมผูกพันตนรับผิดต่อโจทก์ในฐานะผู้ค้ำประกันแล้วความรับผิดจะมีขึ้นตอนไหนเพียงใดย่อมเป็นไปตามกฎหมายไม่จำต้องระบุถึงความรับผิดดังกล่าวซ้ำอีกถึงได้ใช้คำว่า"ผู้ค้ำประกัน"อันเป็นถ้อยคำที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บรรพ3ลักษณะ11ว่าด้วยค้ำประกันจำเลยที่2จึงต้องรับผิดต่อโจทก์ในฐานะผู้ค้ำประกันจำเลยที่1

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 278/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดของผู้มอบหมายหน้าที่และการประมาทเลินเล่อทางการเงิน
การที่จำเลยที่ 2 ได้มอบหมายให้จำเลยที่ 1 ปฏิบัติหน้าที่เกี่ยวกับการเงินทั้งหมด ซึ่งจำเลยที่ 1 มีหน้าที่จัดทำบัญชี แต่มิได้จัดทำไว้ตามระเบียบและจำเลยที่ 2 ก็มิได้ควบคุมดูแลให้จำเลยที่ 1 ปฏิบัติให้ถูกต้อง หากจำเลยที่ 2 ควบคุมดูแลจะทราบได้ว่ามีการปลอมเอกสารและจำเลยที่ 1 ยักยอกเงินไป แม้จำเลยที่ 2 จะได้แต่งตั้งให้ จ.ควบคุมดูแลอีกชั้นหนึ่ง เมื่อจำเลยที่ 2เป็นผู้รับผิดชอบควบคุมดูแลอยู่ด้วยก็ไม่ทำให้จำเลยที่ 2 พ้นความรับผิด
ส่วนความเสียหายที่จำเลยที่ 1 ปลอมลายมือชื่อจำเลยที่ 2ลงในเช็คแล้วนำไปเบิกเงินจากธนาคารนั้น ความเสียหายของโจทก์ทั้งสองย่อมเกิดขึ้นแล้ว ส่วนเงินจำนวนดังกล่าวแม้จะมีคนต้องรับผิดหลายคน โจทก์ทั้งสองจะเลือกฟ้องให้บางคนรับผิดก็เป็นสิทธิที่จะทำได้ เมื่อจำเลยที่ 2 ประมาทเลินเล่ออันเป็นละเมิดต่อโจทก์ทั้งสองก็ไม่ทำให้จำเลยที่ 2 พ้นความรับผิด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 278/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดของเอกอัครราชทูตต่อความเสียหายจากการยักยอกเงินของลูกน้อง เนื่องจากการละเลยควบคุมดูแล
การที่จำเลยที่2ได้มอบหมายให้จำเลยที่1ปฏิบัติหน้าที่เกี่ยวกับการเงินทั้งหมดซึ่งจำเลยที่1มีหน้าที่จัดทำบัญชีแต่มิได้จัดทำไว้ตามระเบียบและจำเลยที่2ก็มิได้ควบคุมดูแลให้จำเลยที่1ปฏิบัติให้ถูกต้องหากจำเลยที่2ควบคุมดูแลจะทราบได้ว่ามีการปลอมเอกสารและจำเลยที่1ยักยอกเงินไปแม้จำเลยที่2จะได้แต่งตั้งให้จ. ควบคุมดูแลอีกชั้นหนึ่งเมื่อจำเลยที่2เป็นผู้รับผิดชอบควบคุมดูแลอยู่ด้วยก็ไม่ทำให้จำเลยที่2พ้นความรับผิด ส่วนความเสียหายที่จำเลยที่1ปลอมลายมือชื่อจำเลยที่2ลงในเช็คแล้วนำไปเบิกเงินจากธนาคารนั้นความเสียหายของโจทก์ทั้งสองย่อมเกิดขึ้นแล้วส่วนเงินจำนวนดังกล่าวแม้จะมีคนต้องรับผิดหลายคนโจทก์ทั้งสองจะเลือกฟ้องให้บางคนรับผิดก็เป็นสิทธิที่จะทำได้เมื่อจำเลยที่2ประมาทเลินเล่ออันเป็นละเมิดต่อโจทก์ทั้งสองก็ไม่ทำให้จำเลยที่2พ้นความรับผิด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 276/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ในการจดทะเบียนสิทธิในที่ดิน กรณีตรวจสอบลายมือชื่อผู้มอบอำนาจไม่รอบคอบ
โจทก์ทั้งสี่ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันรับผิดเนื่องจากประมาทเลินเล่อไม่ปฏิบัติตามระเบียบของทางราชการในการตรวจสอบหลักฐานต่างๆให้ถูกต้องในขณะที่ ว. จดทะเบียนรับโอนที่ดินพิพาทโดยใช้หนังสือมอบอำนาจปลอมเป็นเหตุให้ ว. นำที่ดินพิพาทมาขายฝากให้โจทก์ทั้งสี่ต่อมาเจ้าของที่ดินพิพาทได้ฟ้อง ว.โจทก์ที่2และที่4กับจำเลยที่3และที่4ขอให้เพิกถอนการขายฝากและศาลฎีกามีคำพิพากษาถึงที่สุดให้เพิกถอนการจดทะเบียนขายฝากทำให้โจทก์ทั้งสี่ได้รับความเสียหายเป็นการฟ้องให้จำเลยทั้งสี่รับผิดฐานละเมิดมิได้ฟ้องจำเลยทั้งสี่เกี่ยวกับเรื่องนิติกรรมหรือสัญญาแม้โจทก์ที่1และที่3จะมิได้มีชื่อเป็นผู้รับซื้อฝากในสารบัญจดทะเบียนโจทก์ที่1และที่3ก็มีอำนาจฟ้อง แม้จำเลยที่4และที่5ในคดีที่เจ้าของที่ดินพิพาทฟ้องขอให้เพิกถอนการขายฝากหรือจำเลยที่4และที่3ในคดีนี้ได้ฎีกาขอให้ตนเองไม่ต้องรับผิดเสียค่าฤชาธรรมเนียมซึ่งศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้แต่จำเลยที่2และที่3ในคดีดังกล่าวหรือโจทก์ที่2และที่4ในคดีนี้ก็ได้ยื่นฎีกาขอให้ศาลฎีกาพิพากษายกฟ้องโจทก์ด้วยเมื่อคดียังไม่ถึงที่สุดจึงยังไม่ทราบว่าบุคคลใดเป็นผู้กระทำละเมิดต่อโจทก์เมื่อศาลฎีกาพิพากษาคดีแล้วซึ่งฟังได้ว่าบุคคลใดบ้างมีส่วนกระทำละเมิดและต้องรับผิดต่อโจทก์คดีจึงเริ่มนับอายุความ จำเลยที่1ถึงที่3เป็นข้าราชการหรือเจ้าหน้าที่ผู้แทนของจำเลยที่4ปฏิบัติราชการในหน้าที่โดยฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของจำเลยที่4โดยมิได้ตรวจบัตรประจำตัวประชาชนของผู้รับมอบอำนาจและถ่ายภาพบัตรประจำตัวประชาชนของผู้รับมอบอำนาจเก็บไว้ขณะจดทะเบียนนิติกรรมเป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่อก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ทั้งสี่จำเลยทั้งสี่จึงต้องรับผิดในความเสียหายที่เกิดขึ้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 243/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องของผู้จัดการมรดกและการจำกัดสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายหลังการโอนทรัพย์สิน
โจทก์ฟ้องในฐานะผู้จัดการมรดกของ พ. แม้โจทก์จะโอนขายที่ดินพิพาทแก่ ศ. ในระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้นแต่ในขณะที่โจทก์ยื่นฟ้องที่ดินพิพาทยังเป็นมรดกของ พ. อีกทั้งโจทก์ยังมีสิทธิเรียกค่าเสียหายได้ดังนั้นโจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง เมื่อโจทก์ได้โอนที่ดินพิพาทให้แก่ ศ. ไปแล้วโจทก์จึงมีสิทธิได้รับค่าเสียหายจากจำเลยจนถึงวันที่ได้โอนที่ดินพิพาทไปเท่านั้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 243/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องคดีเมื่อมีการโอนทรัพย์สินที่พิพาทระหว่างดำเนินคดี
โจทก์ฟ้องในฐานะผู้จัดการมรดกของ พ. แม้โจทก์จะโอนขายที่ดินพิพาทแก่ ศ.ในระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้น แต่ในขณะที่โจทก์ยื่นฟ้องที่ดินพิพาทยังเป็นมรดกของ พ. อีกทั้งโจทก์ยังมีสิทธิเรียกค่าเสียหายได้ ดังนั้นโจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง
เมื่อโจทก์ได้โอนที่ดินพิพาทให้แก่ ศ.ไปแล้ว โจทก์จึงมีสิทธิได้รับค่าเสียหายจากจำเลยจนถึงวันที่ได้โอนที่ดินพิพาทไปเท่านั้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 230-231/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความฟ้องคดีค่าเสียหายจากการตาย และการพิสูจน์ความประมาทเลินเล่อของผู้เกี่ยวข้อง
ทนายจำเลยยื่นคำร้องขอระบุพยาน ศ. เพิ่มเติมหลังจากสืบพยานโจทก์เสร็จโดยอ้างว่า ศ. เป็นบุคคลที่นั่งไปในรถยนต์ของจำเลยขณะเกิดเหตุด้วยนั้นหากเป็นความจริงจำเลยก็อาจทราบได้ตั้งแต่หลังจากเกิดเหตุและก่อนถูกฟ้องคดีแล้วการที่จำเลยไม่ทราบจึงเป็นเพราะจำเลยไม่ขวนขวายเอาใจใส่คดีของจำเลยเองศาลชั้นต้นไม่อนุญาตให้จำเลยยื่นบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา88วรรคท้ายแล้ว โจทก์ร่วมซึ่งเป็นมารดาของผู้ตายจะมีสิทธิได้รับค่าอุปการะเลี้ยงดูจากผู้ตายหรือไม่อย่างไรเป็น สิทธิเฉพาะตัวของโจทก์ร่วมไม่เกี่ยวกับสิทธิของโจทก์ที่1ซึ่งเป็นบิดาของผู้ตายและได้ฟ้องคดีเรียกค่าสินไหมทดแทนจากจำเลยในมูลละเมิดไปแล้วหากโจทก์ร่วมจะฟ้องคดีเองโจทก์ร่วมจะต้องฟ้องภายในอายุความการที่โจทก์ร่วมยื่นคำร้องขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมมีผลเสมือนเป็นการฟ้องคดีเพราะเป็นการขอบังคับให้เป็นไปตามสิทธิที่โจทก์ร่วมมีอยู่เมื่อนับจากวันเกิดเหตุเป็นเวลาเกิน1ปีแล้วคดีของโจทก์ร่วมจึงขาดอายุความ เหตุที่รถชนกันเกิดจากความประมาทเลินเล่อของผู้ตายและ ว.ลูกจ้างจำเลยไม่ยิ่งหย่อนกว่ากันโจทก์ที่1ซึ่งเป็นบิดาของผู้ตายย่อมไม่มีสิทธิฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยได้
of 481