พบผลลัพธ์ทั้งหมด 4,810 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 699/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความฟ้องคดีจากการผิดสัญญาจ้างและละเมิด การสะดุดหยุดของอายุความด้วยการรับสภาพหนี้
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้ทำสัญญาจ้างจำเลยที่ 1 ให้เป็นผู้ช่วยผู้จัดการร้านโจทก์ตามสัญญาจ้างท้ายฟ้อง ตามสัญญาดังกล่าวจำเลยที่ 1 จะต้องปฏิบัติตามระเบียบ ข้อบังคับ และคำสั่งของโจทก์หรือบุคคลที่โจทก์มอบหมาย หากจำเลยที่ 1 ปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นปฏิบัติหน้าที่ด้วยประการใด ๆ จนเกิดความเสียหายขึ้นในภายหน้าแก่โจทก์ จำเลยที่ 1 ยอมใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์จนครบ และต่อมาในระหว่างสัญญาจ้างจำเลยที่ 1 ในฐานะหัวหน้าฝ่ายบัญชีได้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความประมาทเลินเล่อ เป็นเหตุให้สินค้าของโจทก์ขาดบัญชีและลูกหนี้การค้าทั่วไปคลาดเคลื่อน โจทก์ได้รับความเสียหายเช่นนี้เห็นได้ว่าโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ให้รับผิดทั้งตามสัญญาจ้างแรงงานและในมูลละเมิดที่โจทก์อ้างในฟ้องว่าจำเลยที่ 1 ประมาทเลินเล่อนั้นก็เป็นส่วนหนึ่งที่จำเลยที่ 1 ปฏิบัติหน้าที่ผิดสัญญาจ้างแรงงานและทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ในกรณีเช่นนี้โจทก์ย่อมมีสิทธิเรียกร้องได้ทั้งสองทาง สำหรับสิทธิเรียกร้องอันเกิดจากการผิดสัญญาจ้างแรงงานไม่มีกฎหมายกำหนดอายุความไว้เป็นอย่างอื่นจึงต้องถืออายุความ 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 164(เดิม) ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ทำหนังสือรับสภาพหนี้ดังกล่าวอันเป็นเหตุให้อายุความสะดุดหยุดลงเมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม2528 จึงต้องเริ่มนับอายุความ 10 ปีใหม่ตั้งแต่วันดังกล่าวตามมาตรา 181(เดิม) โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2529คดีโจทก์จึงยังไม่ขาดอายุความ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 593/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความฟ้องคดีชดใช้ค่าเสียหาย: เริ่มนับเมื่อทราบตัวผู้ต้องรับผิด
จำเลยซึ่งเป็นข้าราชการปฏิบัติหน้าที่โดยประมาทเลินเล่อทำให้โจทก์ที่ 1 ซึ่งเป็นองค์การบริหารส่วนจังหวัดเสียหาย มีการตั้งกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง และหาตัวผู้รับผิดทางแพ่งขึ้น 2 ชุด คณะกรรมการสอบสวนชุดแรกทำบันทึกเสนอต่อผู้ว่าราชการจังหวัด และ ย.ในฐานะผู้ว่าราชการจังหวัดมีคำสั่งให้ดำเนินการต่อผู้ที่ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายเมื่อวันที่ 13 ก.ย. 2527ส่วนรายงานของคณะกรรมการชุดหลังได้มีการบันทึกเสนอ และ ย.ผู้ว่าราชการ-จังหวัดมีคำสั่งให้ดำเนินการหลังจากนั้น ถือได้ว่าโจทก์ที่ 1 ทราบความเสียหายและรู้ตัวผู้ต้องรับผิดเมื่อวันที่ 13 ก.ย. 2527 ต่อมา ย.ในฐานะผู้ว่าราชการ-จังหวัดแจ้งให้กรมการปกครองโจทก์ที่ 2 ทราบความเสียหายและบุคคลผู้ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายเมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2527 ส่วนโจทก์ที่ 3 ไม่ปรากฏว่าทราบตัวผู้ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายเมื่อใด แต่ได้ความว่า ย.ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้แจ้งผลการสอบสวนให้โจทก์ที่ 3 ทราบ จึงฟังได้ว่าโจทก์ที่ 3 ทราบตัวผู้ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายหลังจากวันที่ 13 ก.ย. 2527 โจทก์ทั้งสองฟ้องคดีเมื่อวันที่ 9 ก.ย. 2528 จึงไม่ขาดอายุความตาม ป.พ.พ. มาตรา 448
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 593/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความฟ้องคดีความรับผิดทางละเมิด: การนับระยะเวลาเริ่มจากวันที่โจทก์ทราบความเสียหายและตัวผู้กระทำละเมิด
จำเลยซึ่งเป็นข้าราชการปฏิบัติหน้าที่โดยประมาทเลินเล่อทำให้โจทก์ที่ 1 ซึ่งเป็นองค์การบริหารส่วนจังหวัดเสียหาย มีการตั้งกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง และหาตัวผู้รับผิดทางแพ่งขึ้น 2 ชุดคณะกรรมการสอบสวนชุดแรกทำบันทึกเสนอต่อผู้ว่าราชการจังหวัดและ ย. ในฐานะผู้ว่าราชการจังหวัดมีคำสั่งให้ดำเนินการต่อผู้ที่ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายเมื่อวันที่ 13 กันยายน 2527 ส่วนรายงานของคณะกรรมการชุดหลังได้มีการบันทึกเสนอ และ ย.ผู้ว่าราชการจังหวัดมีคำสั่งให้ดำเนินการหลังจากนั้น ถือได้ว่าโจทก์ที่ 1 ทราบความเสียหายและรู้ตัวผู้ต้องรับผิดเมื่อวันที่ 13 กันยายน2527 ต่อมา ย. ในฐานะผู้ว่าราชการจังหวัดแจ้งให้กรมการปกครองโจทก์ที่ 2 ทราบความเสียหายและบุคคลผู้ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายเมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2527 ส่วนโจทก์ที่ 3 ไม่ปรากฏว่าทราบตัวต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายเมื่อใด แต่ได้ความว่า ย.ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้แจ้งผลการสอบสวนให้โจทก์ที่ 3 ทราบ จึงฟังได้ว่าโจทก์ที่ 3 ทราบตัวผู้ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายหลังจากวันที่13 กันยายน 2527 โจทก์ทั้งสองฟ้องคดีเมื่อวันที่ 9 กันยายน 2528จึงไม่ขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 475/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิบัตรไม่สมบูรณ์: แบบผลิตภัณฑ์ไม่ใช่ของใหม่ เปิดเผยต่อสาธารณะแล้ว จำเลยมีสิทธิขอเพิกถอนได้
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งสี่กระทำละเมิดต่อสิทธิบัตรของโจทก์จำเลยทั้งสี่ให้การปฏิเสธต่อสู้ว่าสิทธิบัตรของโจทก์ไม่สมบูรณ์พร้อมกับฟ้องแย้งขอให้เพิกถอนสิทธิบัตรของโจทก์ จึงเป็นเรื่องที่จำเลยทั้งสี่ยกความไม่สมบูรณ์ในสิทธิบัตรของโจทก์ขึ้นอ้าง ตามมาตรา 64 วรรคสอง แห่ง พระราชบัญญัติสิทธิบัตรฯ ภาระการพิสูจน์ว่าสิทธิบัตรของโจทก์สมบูรณ์หรือไม่ย่อมตกอยู่แก่จำเลยทั้งสี่ จำเลยทั้งสี่บรรยายฟ้องแย้งว่าผลิตภัณฑ์ที่จะได้รับสิทธิบัตรจะต้องเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ แต่ผลิตภัณฑ์ที่โจทก์ได้รับสิทธิบัตรมีการใช้กันแพร่หลายในหรือนอกราชอาณาจักรก่อนวันขอรับสิทธิบัตรผลิตภัณฑ์ของโจทก์ ผลิตภัณฑ์ของโจทก์จึงไม่ใช่ผลิตภัณฑ์ใหม่ไม่สามารถขอรับสิทธิบัตรได้ สิทธิบัตรของโจทก์จึงไม่สมบูรณ์ฟ้องแย้งของจำเลยทั้งสี่บรรยายแจ้งชัดแล้วว่าสิทธิบัตรของโจทก์ไม่สมบูรณ์เพราะเหตุใด ไม่เคลือบคลุม การฟ้องขอให้เพิกถอนสิทธิบัตรเพราะเป็นสิทธิบัตรไม่สมบูรณ์เป็นการฟ้องโดยอาศัยอำนาจตาม พระราชบัญญัติสิทธิบัตรฯมาตรา 64 วรรคสอง ไม่ใช่การฟ้องเนื่องจากมูลละเมิด ไม่มีกฎหมายบัญญัติเรื่องอายุความไว้โดยเฉพาะต้องบังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164 ซึ่งมีกำหนดไว้ 10 ปี แบบผลิตภัณฑ์เครื่องตัดกระแสไฟฟ้าของโจทก์ไม่ใช่เป็นแบบผลิตภัณฑ์ใหม่ที่จะนำไปยื่นรับคำขอสิทธิบัตรจากพนักงานเจ้าหน้าที่ได้ตามมาตรา 56,57 แห่ง พระราชบัญญัติสิทธิบัตรฯ สิทธิบัตรของโจทก์ที่กรมทะเบียนการค้ากระทรวงพาณิชย์รับจดทะเบียนไว้จึงไม่สมบูรณ์จำเลยทั้งสี่ซึ่งเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์เช่นเดียวกับโจทก์จึงเป็นผู้มีส่วนได้เสียมีอำนาจฟ้องและขอให้เพิกถอนสิทธิบัตรได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 400/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดของนายจ้างต่อการละเมิดของลูกจ้าง และการพิพากษาเกินคำฟ้อง
ฎีกาของจำเลยที่ 2 และที่ 3 เป็นฎีกาโต้เถียงข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์รับฟังมาเพื่อนำไปสู่การวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายจึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง คดีนี้แม้จะมีทุนทรัพย์ที่พิพาทไม่เกินห้าหมื่นบาท ซึ่งศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 และที่ 3 ก็ตาม แต่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้จำเลยที่ 2และที่ 3 ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ต่อโจทก์ เท่ากับศาลอุทธรณ์พิพากษากลับในส่วนนี้ คดีจึงไม่ห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคแรก เดิมศาลฎีกาจึงไม่จำต้องถือตามข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ฟังมา โจทก์บรรยายฟ้องเพียงว่า จำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างจำเลยที่ 2มีหน้าที่ขับรถยนต์คันเกิดเหตุซึ่งเป็นของจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 1ขับรถยนต์ด้วยความประมาทปราศจากความระมัดระวังเป็นเหตุให้รถยนต์ที่จำเลยที่ 1 ขับเฉี่ยวชนรถยนต์โจทก์ได้รับความเสียหาย ดังนี้ตามคำฟ้องดังกล่าวต้องฟังว่า โจทก์กล่าวหาว่าจำเลยที่ 1 กระทำละเมิดต่อโจทก์ จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นนายจ้างของจำเลยที่ 1 ต้องร่วมรับผิดแต่โจทก์มิได้บรรยายฟ้องให้เห็นว่า จำเลยที่ 1 ได้กระทำละเมิดในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 ฟ้องโจทก์จึงขาดสาระสำคัญอันเป็นประเด็นแห่งคดีที่พึงกระทำให้จำเลยที่ 2 ต้องรับผิด ศาลจะพิพากษาให้โจทก์ชนะคดีโดยไม่อาศัยคำฟ้องไม่ได้ จำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 425 ดังนั้น การที่ศาลอุทธรณ์หยิบยกและวินิจฉัยในปัญหาที่ว่าจำเลยที่ 1 กระทำละเมิดในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 จึงเป็นการที่มิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งว่าด้วยการพิจารณาซึ่งเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้ไม่มีฝ่ายใดฎีกา ศาลฎีกามีอำนาจยกปัญหาข้อนี้ขึ้นวินิจฉัยได้ เมื่อจำเลยที่ 2 ไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ จำเลยที่ 3 ในฐานะผู้รับประกันภัยรถยนต์ของจำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 211/2537 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมสิทธิ์ที่ดิน-อาคาร, การยกกรรมสิทธิ์, สิทธิครอบครอง, ข้อตกลงเพิ่มเติม, การรื้อถอนอาคาร
คำฟ้องที่ว่าโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินที่โฉนดพร้อมสิ่งปลูกสร้างอาคารพิพาท โจทก์ได้จดทะเบียนยกกรรมสิทธิ์อาคารดังกล่าวให้จำเลยทั้งสอง ต่อมาโจทก์มีความประสงค์จะขายที่ดินดังกล่าว จำเลยขัดขวางไม่ยอมรื้อถอนอาคารพิพาทออกจากที่ดินขอให้บังคับจำเลยรื้อถอนอาคารพิพาทออกไปจากที่ดินของโจทก์และใช้ค่าเสียหาย เป็นการฟ้องโดยอาศัยมูลละเมิดโจทก์เป็นฝ่ายกล่าวอ้าง ย่อมมีหน้าที่นำสืบในประเด็นข้อพิพาทนี้
คำให้การของจำเลยที่ว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยเพราะโจทก์ได้แสดงเจตนายกกรรมสิทธิ์อาคารพิพาทให้จำเลยทั้งสองอยู่อาศัยตลอดชีวิต พอแปลได้ว่าเป็นข้อต่อสู้ว่านอกจากโจทก์จะยกกรรมสิทธิ์อาคารพิพาทให้จำเลยแล้ว ยังมีข้อตกลงต่างหากให้จำเลยทั้งสองมีสิทธิอยู่อาศัยในอาคารพิพาท ซึ่งปลูกอยู่ในที่ดินของโจทก์ตลอดชีวิต
คำให้การของจำเลยที่ว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยเพราะโจทก์ได้แสดงเจตนายกกรรมสิทธิ์อาคารพิพาทให้จำเลยทั้งสองอยู่อาศัยตลอดชีวิต พอแปลได้ว่าเป็นข้อต่อสู้ว่านอกจากโจทก์จะยกกรรมสิทธิ์อาคารพิพาทให้จำเลยแล้ว ยังมีข้อตกลงต่างหากให้จำเลยทั้งสองมีสิทธิอยู่อาศัยในอาคารพิพาท ซึ่งปลูกอยู่ในที่ดินของโจทก์ตลอดชีวิต
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 211/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิการอยู่อาศัยในที่ดินของผู้อื่น: การยกกรรมสิทธิ์อาคารกับการสิทธิเหนือพื้นดิน
คำฟ้องที่ว่าโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินที่โฉนดพร้อมสิ่งปลูกสร้างอาคารพิพาท โจทก์ได้จดทะเบียนยกกรรมสิทธิ์อาคารดังกล่าวให้จำเลยทั้งสอง ต่อมาโจทก์มีความประสงค์จะขายที่ดินดังกล่าว จำเลยขัดขวางไม่ยอมรื้อถอนอาคารพิพาทออกจากที่ดินขอให้บังคับจำเลยรื้อถอนอาคารพิพาทออกไปจากที่ดินของโจทก์และใช้ค่าเสียหาย เป็นการฟ้องโดยอาศัยมูลละเมิดโจทก์เป็นฝ่ายกล่าวอ้าง ย่อมมีหน้าที่นำสืบในประเด็นข้อพิพาทนี้ คำให้การของจำเลยที่ว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยเพราะโจทก์ได้แสดงเจตนายกกรรมสิทธิ์อาคารพิพาทให้จำเลยทั้งสองอยู่อาศัยตลอดชีวิตพอแปลได้ว่าเป็นข้อต่อสู้ว่านอกจากโจทก์จะยกกรรมสิทธิ์อาคารพิพาทให้จำเลยแล้ว ยังมีข้อตกลงต่างหากให้จำเลยทั้งสองมีสิทธิอยู่อาศัยในอาคารพิพาท ซึ่งปลูกอยู่ในที่ดินของโจทก์ตลอดชีวิต
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5635/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ตัวแทนจำลอง, ความรับผิดของตัวการและผู้บริหาร, ละเมิด, ประมาทเลินเล่อ, อายุความ
โจทก์มีมติให้รับซื้อข้าวเปลือกจากสมาชิกที่ไม่ได้เป็นหนี้โจทก์โดยให้จำเลยที่ 1 เป็นผู้รับผิดชอบ เช่นนี้ จำเลยที่ 1 จึงเป็นผู้แทนโจทก์ การที่ศ.ออกไปรับซื้อข้าวเปลือกจากสมาชิกแล้วนำมาเก็บไว้ที่ฉางข้าวของโจทก์ แม้โจทก์จะมิได้มอบหมายให้ ศ.ออกไปรับซื้อข้าวเปลือกตามที่โจทก์บรรยายฟ้อง แต่การที่ศ.นำข้าวเปลือกจำนวนมากมาเก็บไว้ในฉางข้าวของโจทก์ และจำเลยที่ 1 ได้รู้เห็นในการกระทำของ ศ.ด้วยแล้วนั้น ตามพฤติการณ์ระหว่างจำเลยที่ 1 กับ ศ.แสดงว่าโจทก์ได้เชิดหรือรู้แล้วยอมให้ ศ.เชิดตนเองเป็นตัวแทนของโจทก์ในการออกไปรับซื้อข้าวเปลือกจากสมาชิก เมื่อสมาชิกที่นำข้าวเปลือกมาขายได้รับเงินไม่ครบถ้วน โจทก์ในฐานะตัวการย่อมต้องรับผิดในอันที่จะต้องชดใช้เงินค่าข้าวเปลือกต่อสมาชิกดังกล่าวซึ่งเป็นบุคคลภายนอก
การที่ ศ.เบียดบังนำข้าวเปลือกบางส่วนออกขายแล้วนำทรายมาเจือปนทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายจึงเป็นการละเมิดต่อโจทก์ โจทก์ย่อมเรียกร้องค่าเสียหายจาก ศ.ซึ่งเป็นผู้กระทำละเมิดต่อโจทก์ได้
หากจำเลยได้เรียกหลักประกันจาก ศ.ขณะที่รับ ศ.เข้าทำงานตามระเบียบของโจทก์ โจทก์ย่อมบังคับเอาจากหลักประกันดังกล่าวได้ การที่จำเลยทั้งสิบห้าไม่เรียกหลักประกันไว้เช่นนี้ จึงเป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่อ เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหายจำเลยทั้งสิบห้าจึงต้องรับผิดต่อโจทก์
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าฟ้องโจทก์ในส่วนที่ให้จำเลยทั้งสิบห้ารับผิดเนื่องจากไม่เรียกหลักประกันขาดอายุความแล้ว โจทก์อุทธรณ์ว่าฟ้องโจทก์ไม่ขาดอายุความ จำเลยก็มิได้อุทธรณ์โต้แย้งว่า ฟ้องโจทก์ในส่วนที่ให้จำเลยทั้งสิบห้ารับผิดเนื่องจากไม่เรียกหลักประกันขาดอายุความ ดังนี้ คดีจึงเป็นอันยุติแล้วว่าฟ้องโจทก์ในส่วนนี้ไม่ขาดอายุความ การที่จำเลยทั้งสิบห้าฎีกาในข้อนี้ว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความอีก ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัย
การที่ ศ.เบียดบังนำข้าวเปลือกบางส่วนออกขายแล้วนำทรายมาเจือปนทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายจึงเป็นการละเมิดต่อโจทก์ โจทก์ย่อมเรียกร้องค่าเสียหายจาก ศ.ซึ่งเป็นผู้กระทำละเมิดต่อโจทก์ได้
หากจำเลยได้เรียกหลักประกันจาก ศ.ขณะที่รับ ศ.เข้าทำงานตามระเบียบของโจทก์ โจทก์ย่อมบังคับเอาจากหลักประกันดังกล่าวได้ การที่จำเลยทั้งสิบห้าไม่เรียกหลักประกันไว้เช่นนี้ จึงเป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่อ เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหายจำเลยทั้งสิบห้าจึงต้องรับผิดต่อโจทก์
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าฟ้องโจทก์ในส่วนที่ให้จำเลยทั้งสิบห้ารับผิดเนื่องจากไม่เรียกหลักประกันขาดอายุความแล้ว โจทก์อุทธรณ์ว่าฟ้องโจทก์ไม่ขาดอายุความ จำเลยก็มิได้อุทธรณ์โต้แย้งว่า ฟ้องโจทก์ในส่วนที่ให้จำเลยทั้งสิบห้ารับผิดเนื่องจากไม่เรียกหลักประกันขาดอายุความ ดังนี้ คดีจึงเป็นอันยุติแล้วว่าฟ้องโจทก์ในส่วนนี้ไม่ขาดอายุความ การที่จำเลยทั้งสิบห้าฎีกาในข้อนี้ว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความอีก ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5635/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดของกรรมการในการรับพนักงานโดยมิได้ทำสัญญา/เรียกหลักประกัน และผลของการเพิกเฉยต่อระเบียบ
โจทก์มีมติให้รับซื้อข้างเปลือกจากสมาชิกที่ไม่ได้เป็นหนี้โจทก์โดยให้จำเลยที่ 1 เป็นผู้รับผิดชอบ เช่นนี้จำเลยที่ 1 จึงเป็นผู้แทนโจทก์ การที่ ศ.ออกไปรับซื้อข้าวเปลือกจากสมาชิกแล้วนำมาเก็บไว้ที่ฉางข้าวของโจทก์แม้โจทก์จะมิได้มอบหมายให้ ศ. ออกไปรับซื้อข้าวเปลือกตามที่โจทก์บรรยายฟ้อง แต่การที่ ศ. นำข้าวเปลือกจำนวนมากมาเก็บไว้ในฉางข้าวของโจทก์ และจำเลยที่ 1ได้รู้เห็นในการกระทำของ ศ. ด้วยแล้วนั้น ตามพฤติการณ์ระหว่างจำเลยที่ 1 กับ ศ. แสดงว่าโจทก์ได้เชิดหรือรู้แล้วยอมให้ ศ. เชิดตนเองเป็นตัวแทนของโจทก์ในการออกไปซื้อรับซื้อข้าวเปลือกจากสมาชิก เมื่อสมาชิกที่นำข้าวเปลือกมาขายได้รับเงินไม่ครบถ้วน โจทก์ในฐานะตัวการย่อมต้องรับผิดในอันที่จะต้องชดใช้เงินค่าข้าวเปลือกต่อสมาชิกดังกล่าวซึ่งเป็นบุคคลภายนอก การที่ ศ. เบียดบังนำข้าวเปลือกบางส่วนออกขายแล้วนำทรายมาเจือปนทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายจึงเป็นการละเมิดต่อโจทก์ โจทก์ย่อมเรียกร้องค่าเสียหายจาก ศ.ซึ่งเป็นผู้กระทำละเมิดต่อโจทก์ได้ หากจำเลยได้เรียกหลักประกันจาก ศ. ขณะที่รับศ. เข้าทำงานตามระเบียบของโจทก์ โจทก์ย่อมบังคับเอาจากหลักประกันดังกล่าวได้ การที่จำเลยทั้งสิบห้าไม่เรียกหลักประกันไว้เช่นนี้ จึงเป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่อ เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหายจำเลยทั้งสิบห้าจึงต้องรับผิดต่อโจทก์ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าฟ้องโจทก์ในส่วนที่ให้จำเลยทั้งสิบห้ารับผิดเนื่องจากไม่เรียกหลักประกันขาดอายุความแล้วโจทก์อุทธรณ์ว่าฟ้องโจทก์ไม่ขาดอายุความ จำเลยก็มิได้อุทธรณ์โต้แย้งว่า ฟ้องโจทก์ในส่วนที่ให้จำเลยทั้งสิบห้ารับผิดเนื่องจากไม่เรียกหลักประกันขาดอายุความ ดังนี้คดีนี้ เป็นอันยุติแล้วว่าฟ้องโจทก์ในส่วนนี้ไม่ขาดอายุความการที่จำเลยทั้งสิบห้าฎีกาในข้อนี้ว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความอีก ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5582/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมสิทธิ์สิ่งปลูกสร้างบนที่ดินเช่า: สิทธิของเจ้าของสิ่งปลูกสร้างเมื่อสัญญาเช่าสิ้นสุด
โจทก์ก่อสร้างอาคารพาณิชย์และตลาดสดลงในที่ดินที่เช่าจากจำเลยที่ 3 ก่อนที่สัญญาเช่าจะสิ้นสุดลง 3 เดือน เป็นการก่อสร้างภายในกำหนดสัญญาเช่า โจทก์มีอำนาจทำได้ตามสัญญาเช่าข้อ 2 หากสัญญาเช่าสิ้นสุดลงโดยจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ต่อจากจำเลยที่ 3 ไม่ต่อสัญญาให้โจทก์ โจทก์ต้องรื้อถอนอาคารพาณิชย์และตลาดสดออกไปภายในกำหนด 2 เดือน ตามสัญญาเช่าข้อ 5 ดังนั้นอาคารพาณิชย์และตลาดสดจึงเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ ไม่ตกเป็นส่วนควบของที่ดินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 109 เดิม (มาตรา 146)กรณีไม่ใช่เป็นเรื่องบุคคลใดสร้างโรงเรือนในที่ดินของผู้อื่นโดยสุจริตหรือไม่สุจริตตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1310 และมาตรา 1311 หลังจากสัญญาเช่าสิ้นสุดลงโจทก์ขอต่ออายุสัญญาเช่าระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 เจรจาเพื่อทำสัญญาเช่าใหม่กันโจทก์ได้ก่อสร้างอาคารพาณิชย์และตลาดสดต่อมาจนเสร็จโดยฝ่ายจำเลยไม่ได้ทักท้วง กลับยอมให้โจทก์ทำสัญญาให้จำเลยที่ 11 ถึงที่ 17เช่าอาคารพาณิชย์และรับค่าเช่าจากผู้เช่าแผงในตลาดสด ทั้งยังรับค่าเช่าจากโจทก์ตลอดมาจนกระทั่งวันที่ 13 มกราคม 2527 จึงบอกเลิกสัญญา พฤติการณ์ดังกล่าวถือได้ว่าจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ยอมให้โจทก์ใช้ประโยชน์ในที่ดินต่อไปเป็นการชั่วคราวในระหว่างเจรจาทำสัญญาเช่าใหม่ในลักษณะเช่นเดียวกับการเช่าบรรดาผลประโยชน์ต่าง ๆที่โจทก์ได้รับจากผู้เช่าอาคารพาณิชย์และผู้เช่าแผงในตลาดสดก่อนที่จะมีการบอกเลิกสัญญาย่อมเป็นสิทธิโดยชอบด้วยกฎหมายของโจทก์ เมื่อสัญญาเช่าสิ้นสุดแล้วโจทก์และฝ่ายจำเลยได้เจรจากันหลายครั้งแต่ไม่อาจลงนามในสัญญากันได้ เนื่องจากมีปัญหาข้อขัดข้องหลายประการ จึงฟังได้โดยชัดแจ้งว่าทั้งสองฝ่ายมีความมุ่งหมายที่จะทำสัญญาเป็นหนังสือแต่ยังมิได้ทำสัญญาเป็นหนังสือต่อกันสัญญาต่างตอบแทนยิ่งกว่าสัญญาเช่าธรรมดาที่โจทก์อ้างจึงยังไม่เกิดขึ้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 366 วรรคสองโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องบังคับให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 จดทะเบียนให้โจทก์เช่าที่ดินตามฟ้อง จำเลยที่ 1 บอกเลิกสัญญาต่อโจทก์แล้ว โจทก์ต้องรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างคืออาคารพาณิชย์และตลาดสดออกไปจากที่ดินของจำเลยที่ 1โดยไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าทดแทนใด ๆ ทั้งสิ้น การที่โจทก์มิได้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปภายในเวลาที่กำหนดไว้ในหนังสือบอกเลิกสัญญาถือได้ว่าโจทก์อยู่ในที่ดินของจำเลยที่ 1 โดยละเมิดโจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหายใด ๆ จากจำเลยที่ 1 ถึงที่ 8ทั้งไม่มีสิทธิขอให้เพิกถอนสัญญาเช่าอาคารพาณิชย์พิพาทระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 11 ถึงที่ 17 จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 กล่าวอ้างว่า อาคารพาณิชย์เลขที่169/1-8 และตลาดสดเลขที่ 169 ซึ่งปลูกสร้างบนที่ดินของจำเลยที่ 1 เป็นของจำเลยและฟ้องแย้งขอให้ขับไล่โจทก์พร้อมบริวารออกไปจากที่ดินและสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวโดยได้อุทธรณ์ฎีกาขึ้นมาเมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าที่ดินเป็นของจำเลยที่ 1 แต่สิ่งปลูกสร้างดังกล่าวเป็นของโจทก์ ศาลฎีกาจึงเห็นสมควรพิพากษาให้โจทก์รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวออกไปจากที่ดินของจำเลยที่ 1 เสียด้วย