คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.พ.พ. ม. 420

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 4,810 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 80/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดทางละเมิดจากการชนรถไฟ: การประเมินค่าเสียหายที่สมเหตุสมผลและการแบ่งความรับผิด
จำเลยที่ 2 เป็นเจ้าของรถยนต์บรรทุกและได้นำเข้าไปร่วมในกิจการค้าของจำเลยที่ 3 ซึ่งจดทะเบียนประกอบการขนส่งไว้ เมื่อจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 2 มีหน้าที่ในการขับรถยนต์บรรทุกได้ขับรถยนต์บรรทุกไปในทางการที่จ้างให้แก่จำเลยที่ 2ด้วยความประมาทชนกับรถไฟของโจทก์ ดังนี้จำเลยที่ 2 และที่ 3ต้องร่วมกันรับผิดกับจำเลยที่ 1 ต่อโจทก์ในฐานะที่เป็นนายจ้างร่วมกันของจำเลยที่ 1 ค่าเสียหายในการซ่อมรถไฟคันเกิดเหตุ โจทก์มีสิทธิได้รับชดใช้ค่าแรงและค่าของที่โจทก์ได้ใช้จ่ายไปจริงในการซ่อมดังกล่าวส่วนค่าเสียหายซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายในโรงงาน ซึ่งมีค่าไฟฟ้า ค่าน้ำประปา ค่าเชื้อเพลิง ค่าเครื่องจักรทำงาน ค่าเสื่อมราคากับค่าบำรุงรักษาเครื่องจักรและค่าควบคุมซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายที่โจทก์เสียไปในการสืบสวนสอบสวนหาข้อเท็จจริงที่เกิดเหตุละเมิดขึ้นนั้น โจทก์คิดคำนวณค่าใช้จ่ายทั้งสองรายการดังกล่าวมาจากสถิติตามระเบียบของการรถไฟปี พ.ศ. 2525 จึงถือไม่ได้ว่าเป็นการคิดมาจากผลการทำละเมิด โจทก์ย่อมไม่สามารถเอาค่าใช้จ่ายทั้งสองรายการนี้มารวมกับค่าแรงและค่าของเพื่อคิดเป็นค่าเสียหายในการซ่อมรถไฟคันเกิดเหตุได้สำหรับค่าเสียหายด้านการโดยสารนั้น เนื่องจากเหตุที่รถไฟตกรางทำให้การเดินรถต้องหยุดชะงักเป็นเหตุให้โจทก์ขาดรายได้ โจทก์จึงมีสิทธิได้รับชดใช้ค่าเสียหายดังกล่าว แต่โจทก์คำนวณค่าเสียหายดังกล่าวจากสถิติการจำหน่ายตั๋วรถไฟหลายขบวนที่โจทก์เคยได้รับค่าโดยสารมาถัวเฉลี่ย มิใช่รายได้ที่โจทก์ขาดไปจริง ศาลจึงมีอำนาจที่จะกำหนดค่าเสียหายจำนวนนี้ให้ได้ตามจำนวนที่เห็นว่าเหมาะสม นอกจากนี้โจทก์ยังมีสิทธิได้รับชดใช้ค่าเสียหายในการซ่อมทางของฝ่ายการช่างโยธาทั้งค่าแรงและค่าของ ค่าแรงในการยกรถตกราง และค่าลากจูงรถไฟคันเกิดเหตุตามจำนวนที่ได้ใช้จ่ายไปจริง แต่ค่าโอเวอร์เฮดชาร์จในการยกรถตกราง ค่าอาหารเลี้ยงดูผู้ปฏิบัติงานและค่าควบคุมนั้น โจทก์มิได้นำสืบให้เห็นว่าค่าโอเวอร์เฮดชาร์จกับค่าควบคุมซึ่งโจทก์คิดในอัตราร้อยละ51 และ 25 ของค่าแรงยกรถนั้นเกี่ยวข้องกับการซ่อมรายนี้อย่างไรและมีหลักการคิดคำนวณอย่างไร จึงฟังไม่ได้ว่าเป็นค่าเสียหายที่เป็นผลโดยตรงจากการละเมิด ส่วนค่าอาหารเลี้ยงดูผู้ปฏิบัติงานโจทก์มิได้สืบว่าเหตุใดเมื่อจ่ายค่าแรงแล้วต้องจ่ายค่าอาหารอีกจึงเป็นค่าเสียหายที่ซ้ำซ้อน โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้องจากจำเลยทั้งสาม สำหรับค่าจัดรถพิเศษช่วยอันตรายที่โจทก์ต้องจัดขบวนรถไฟพิเศษไปจัดการเปิดทางนั้น โจทก์ได้คำนวณเพิ่มค่าควบคุมรถโดยสารในอัตราร้อยละ 20 รถสินค้าในอัตราร้อยละ 15 ไว้ด้วย โดยคิดคำนวณจากระเบียบของโจทก์ ค่าควบคุมส่วนที่คำนวณเพิ่มขึ้นนี้ถือไม่ได้ว่าเป็นค่าเสียหายโดยตรงจากการทำละเมิด ศาลมีอำนาจกำหนดค่าเสียหายส่วนนี้ให้โจทก์ใหม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 28/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรุกล้ำที่ดินและทางเท้า, ค่าเสียหาย, อายุความ, การยกประเด็นข้อกฎหมายใหม่ในชั้นฎีกา
โจทก์สร้างศูนย์การค้าและอาคารพาณิชย์เพื่อให้เช่าและจำหน่ายจึงมีความจำเป็นต้องสร้างถนนภายในบริเวณศูนย์การค้าและอาคารพาณิชย์เพื่อให้บุคคลที่อยู่อาศัยในศูนย์การค้าและประชาชนทั่วไปใช้เป็นทางเข้าออก เพื่อประโยชน์ในกิจการค้าขายของผู้ที่เช่าหรือซื้ออาคารพาณิชย์ และโจทก์ได้จัดยามเฝ้าดูแลถนนหนทางเข้าออกบริเวณศูนย์การค้าตลอดเวลา ทั้งโจทก์ได้อนุญาตให้จำเลยใช้ถนนและทางเท้าเข้าออกโรงแรมจำเลยซึ่งสร้างติดกับที่ดินของโจทก์ แสดงให้เห็นว่าโจทก์ยังคงยึดถือครอบครองถนนภายในบริเวณศูนย์การค้าอยู่ไม่ได้มีเจตนาที่จะยกถนนและทางเท้านั้นให้เป็นทางสาธารณะ เมื่อจำเลยปลูกสร้างอาคารรุกล้ำและทำให้ถนนดังกล่าวเสียหาย โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้อง จำเลยสร้างถนนหน้าโรงแรมจำเลยสูงกว่าถนนอื่นภายในบริเวณศูนย์การค้าของโจทก์ และทำคันซีเมนต์กั้นเพื่อไม่ให้น้ำไหลเข้าไปที่ถนนหน้าโรงแรมจำเลย เป็นการกระทำเพื่อประโยชน์ของจำเลยฝ่ายเดียวโดยมิได้คำนึงถึงความเดือดร้อนของผู้อื่นซึ่งอาศัยอยู่ในบริเวณศูนย์การค้าของโจทก์ ทั้งถนนที่จำเลยเสริมสร้างให้สูงขึ้นเป็นถนนของโจทก์ และโจทก์ยังรับผิดชอบเกี่ยวกับถนนทั้งหมดภายในบริเวณศูนย์การค้าของโจทก์ โจทก์จึงได้รับความเสียหายจากการกระทำของจำเลย จำเลยต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ ค่าเสียหายที่จำเลยสร้างโครงเหล็กรุกล้ำทางเท้าของโจทก์ซึ่งศาลชั้นต้นกำหนดค่าเสียหายส่วนนี้ให้แก่โจทก์ 4,000 บาท จำเลยมิได้ยกประเด็นข้อนี้ขึ้นว่ากล่าวในศาลอุทธรณ์ จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคแรก จำเลยให้การต่อสู้เกี่ยวกับอายุความเฉพาะการก่อสร้างชั้นลอยรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์เท่านั้น มิได้ยกอายุความขึ้นต่อสู้ในเรื่องการก่อสร้างถนน และทำคันซีเมนต์ปิดกั้นถนนหน้าโรงแรมจำเลยเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหาย จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาตั้งแต่ศาลชั้นต้น ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคแรก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 26/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดจากเหตุต้นไม้ล้มขวางทาง: ผู้ขับขี่ทราบเหตุแล้ว หักเลี้ยวชนรถคันอื่น จำเลยไม่ต้องรับผิด
คืนเกิดเหตุต้นไทรริมทางหลวงล้มขวางทาง ได้มีผู้ตัดกิ่งตอนปลายออกเป็นทางเดินรถเหลือทางเดียว โดยกรมทางหลวงจำเลยที่ 1ไม่ทราบเหตุดังกล่าว อีกประมาณ 1 ชั่วโมงรถยนต์โดยสารปรับอากาศซึ่งโจทก์เป็นผู้เช่าซื้อแล่นมาโดยคนขับทราบก่อนแล้วว่ามีต้นไม้ล้มขวางทางอยู่ในทางหลวงข้างหน้าห่างประมาณ 10 กิโลเมตร ขณะรถของโจทก์แล่นมาห่างต้นไม้ 5 เมตร คนขับรถของโจทก์หักเลี้ยวรถไปทางขวาเข้าไปในทางเดินรถแลนด์โรเวอร์วิ่งแล่นสวนทางมาเพื่อหลบหลีกต้นไม้ จึงชนกันขึ้น เหตุดังกล่าวหาใช่เป็นผลโดยตรงหรือเนื่องมาจากจำเลยที่ 1 ไม่ทำเครื่องหมายให้ทราบว่ามีต้นไม้ล้มอยู่ข้างหน้าหรือไม่ติดโคมไฟฟ้าหรือแขวนตะเกียงไว้ที่ต้นไม้ให้เห็นชัดเจนไม่ ทั้งต้นไม้ล้มลงก่อนเกิดเหตุรถยนต์ชนกันเพียงประมาณ 1 ชั่วโมง และไม่มีผู้ใดแจ้งเรื่องให้จำเลยทั้งสองหรือเจ้าหน้าที่ของจำเลยทั้งสองทราบทันที ย่อมไม่อยู่ในวิสัยที่จำเลยทั้งสองจะดำเนินการดังกล่าวได้ทัน ถือไม่ได้ว่าเหตุที่รถชนกันเป็นผลเนื่องมาจากความประมาทของจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2ผู้แทนของจำเลยที่ 1 บกพร่องต่อการปฏิบัติหน้าที่ จำเลยทั้งสองจึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 12/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดจากการรับเงินกู้แทนและประมาทเลินเล่อในการส่งมอบเงิน ทำให้ผู้กู้ไม่ได้รับเงิน
อำนาจฟ้องเป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนแต่ศาลจะหยิบยกขึ้นวินิจฉัยหรือไม่เป็นดุลพินิจของศาล จำเลยรับเงินกู้ไปจากโจทก์แล้วมีหน้าที่ต้องนำไปมอบให้ผู้กู้โดยตรงตามหน้าที่ตามข้อบังคับของโจทก์ แม้จะฟังว่าจำเลยมอบเงินกู้ดังกล่าวให้ผู้อื่นรับไปมอบให้ผู้กู้ จำเลยก็ไม่พ้นความรับผิด เมื่อผู้กู้ไม่ได้รับเงินกู้การกระทำของจำเลยย่อมเป็นการกระทำโดยประมาทปราศจากความระมัดระวังอันเป็นการละเมิดต่อโจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 12/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ละเมิดจากการประมาทเลินเล่อของเจ้าหน้าที่สหกรณ์ในการส่งมอบเงินกู้
จำเลยเป็นเลขานุการคณะกรรมการดำเนินการของสหกรณ์โจทก์จำเลยได้รับเงินกู้ของ ค.และพ. ไปจากโจทก์โดยไม่มีหนังสือมอบอำนาจให้จำเลยรับเงินกู้แทน เงินดังกล่าวจึงเป็นของโจทก์อยู่ จำเลยมีหน้าที่ต้องนำเงินกู้ไปมอบให้แก่ผู้กู้ตามหน้าที่และข้อบังคับของโจทก์ การที่จำเลยมอบเงินกู้ให้ผู้อื่นรับไปมอบให้ผู้กู้ เมื่อผู้กู้ไม่ได้รับเงินกู้ ดังนี้จำเลยกระทำโดยประมาทปราศจากความระมัดระวัง เป็นการละเมิดต่อโจทก์.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6297/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยึดทรัพย์สิน - การพิสูจน์ความเป็นเจ้าของ - สิทธิในการฟ้องคดี - การใช้สิทธิโดยไม่สุจริต
โจทก์ฟ้องหาว่าจำเลยกระทำละเมิดต่อโจทก์โดยนำยึดทรัพย์สินของโจทก์อ้างว่าเป็นของลูกหนี้ตามคำพิพากษา ขอให้ใช้ค่าเสียหายจำเลยให้การว่าทรัพย์สินที่นำยึดเป็นของลูกหนี้ตามคำพิพากษาเช่นนี้ ข้อที่ว่าทรัพย์สินที่นำยึดเป็นของลูกหนี้ตามคำพิพากษาไม่ใช่ของโจทก์ และลูกหนี้ตามคำพิพากษานำไปฝากโจทก์ไว้หรือไม่เป็นข้อเท็จจริงที่โต้เถียงกันอยู่ ศาลต้องฟังข้อเท็จจริงให้ได้ความอย่างหนึ่งอย่างใดเสียก่อนแล้วจึงจะวินิจฉัยได้ว่าจำเลยทำละเมิดต่อโจทก์ตามฟ้องหรือไม่ ไม่ควรงดสืบพยานโจทก์จำเลย เมื่อโจทก์มีเหตุอันสมควรที่จะเข้าใจว่าตนถูกโต้แย้งสิทธิก็ย่อมมีสิทธิฟ้องคดีได้ไม่เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6297/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยึดทรัพย์สินของลูกหนี้ที่นำไปฝากไว้กับผู้อื่น: สิทธิในการฟ้องคดีและการใช้สิทธิโดยสุจริต
โจทก์ฟ้องหาว่าจำเลยกระทำละเมิดต่อโจทก์โดยนำยึดทรัพย์สินของโจทก์อ้างว่าเป็นของลูกหนี้ตามคำพิพากษา ขอให้ใช้ค่าเสียหาย จำเลยให้การว่าทรัพย์สินที่นำยึดเป็นของลูกหนี้ตามคำพิพากษา เช่นนี้ ข้อที่ว่าทรัพย์สินที่นำยึดเป็นของลูกหนี้ตามคำพิพากษา ไม่ใช่ของโจทก์ และลูกหนี้ตามคำพิพากษานำไปฝากโจทก์ไว้หรือไม่ เป็นข้อเท็จจริงที่โต้เถียงกันอยู่ศาลต้องฟังข้อเท็จจริงให้ได้ความอย่างหนึ่งอย่างใดเสียก่อนแล้วจึงจะวินิจฉัยได้ว่าจำเลยทำละเมิดต่อโจทก์ตามฟ้องหรือไม่ ไม่ควรงดสืบพยานโจทก์จำเลย
เมื่อโจทก์มีเหตุอันสมควรที่จะเข้าใจว่าตนถูกโต้แย้งสิทธิก็ย่อมมีสิทธิฟ้องคดีได้ไม่เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6094/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดทางละเมิดจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ และสิทธิเรียกร้องค่ารักษาพยาบาลของผู้ถูกละเมิด
แม้โจทก์ที่ 2 จะขับรถจักรยานยนต์ให้โจทก์ที่ 1 และที่ 3 นั่งซ้อนท้ายมาด้วย เป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมาย แต่เหตุดังกล่าวมิใช่เหตุโดยตรงที่ทำให้รถเกิดเฉี่ยวชนกันเมื่อจำเลยที่ 1 ขับรถแซงรถผู้อื่นบนสะพานล้ำเส้นทึบแบ่งกึ่งกลางถนนออกไปเฉี่ยวชนรถโจทก์ที่ 2 ซึ่งขับมาด้วยความเร็วประมาณ 40 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เหตุที่เกิดขึ้นจึงเกิดจากความประมาทของจำเลยที่ 1 แต่เพียงฝ่ายเดียว
โจทก์ที่ 2 เป็นข้าราชการ แม้จะมีสิทธิได้รับเงินค่ารักษาพยาบาลทั้งในส่วนของตนตลอดจนโจทก์ที่ 1 ซึ่งเป็นภริยาและโจทก์ที่ 3 ซึ่งเป็นบุตรก็ตาม สิทธิดังกล่าวก็เป็นสิทธิที่รัฐกำหนดให้แก่ข้าราชการไม่เกี่ยวกับความรับผิดของจำเลย โจทก์ทั้งสามจึงมีสิทธิที่จะเรียกร้องเอาค่ารักษาพยาบาลจากจำเลยผู้ต้องรับผิดในผลแห่งการละเมิดได้อีก
โจทก์ทั้งสามฟ้องให้จำเลยรับผิดฐานละเมิดมาในฟ้องเดียวกันโดยแยกทุนทรัพย์ที่โจทก์แต่ละคนเรียกร้องมา ชัดเจน เป็นส่วนของแต่ละคน เมื่อทุนทรัพย์ที่โจทก์ที่ 3 เรียกร้องไม่เกิน 50,000 บาทและศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยที่ 3จะฎีกาเกี่ยวกับจำนวนค่าเสียหายของโจทก์ที่ 3 ซึ่งเป็นปัญหาข้อเท็จจริงไม่ได้ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6094/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดทางละเมิดจากอุบัติเหตุทางถนน และสิทธิเรียกร้องค่ารักษาพยาบาลของผู้ถูกละเมิด แม้ได้รับสิทธิจากรัฐ
แม้โจทก์ที่ 2 จะขับรถจักรยานยนต์ให้โจทก์ที่ 1 และที่ 3นั่งซ้อนท้ายมาด้วย เป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมาย แต่เหตุดังกล่าวมิใช่เหตุโดยตรงที่ทำให้รถเกิดเฉี่ยวชนกันเมื่อจำเลยที่ 1 ขับรถแซงรถผู้อื่นบนสะพานล้ำเส้นทึบแบ่งกึ่งกลางถนนออกไปเฉี่ยวชนรถโจทก์ที่ 2 ซึ่งขับมาด้วยความเร็วประมาณ 40 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเหตุที่เกิดขึ้นจึงเกิดจากความประมาทของจำเลยที่ 1 แต่เพียงฝ่ายเดียว โจทก์ที่ 2 เป็นข้าราชการ แม้จะมีสิทธิได้รับเงินค่ารักษาพยาบาลทั้งในส่วนของตนตลอดจนโจทก์ที่ 1 ซึ่งเป็นภริยาและโจทก์ที่ 3 ซึ่งเป็นบุตรก็ตาม สิทธิดังกล่าวก็เป็นสิทธิที่รัฐกำหนดให้แก่ข้าราชการไม่เกี่ยวกับความรับผิดของจำเลย โจทก์ทั้งสามจึงมีสิทธิที่จะเรียกร้องเอาค่ารักษาพยาบาลจากจำเลยผู้ต้องรับผิดในผลแห่งการละเมิดได้อีก โจทก์ทั้งสามฟ้องให้จำเลยรับผิดฐานละเมิดมาในฟ้องเดียวกันโดยแยกทุนทรัพย์ที่โจทก์แต่ละคนเรียกร้องมาชัดเจน เป็นส่วนของแต่ละคน เมื่อทุนทรัพย์ที่โจทก์ที่ 3 เรียกร้องไม่เกิน 50,000 บาทและศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยที่ 3จะฎีกาเกี่ยวกับจำนวนค่าเสียหายของโจทก์ที่ 3 ซึ่งเป็นปัญหาข้อเท็จจริงไม่ได้ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5930/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การนำสืบต่างจากฟ้องทำให้ศาลไม่รับฟังพยานหลักฐาน แม้โจทก์จะรับช่วงสิทธิ
โจทก์บรรยายฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้รับประกันภัยความเสียหายที่เกิดแก่บริษัท อ. เนื่องจากการทุจริตต่อหน้าที่ของพนักงาน จำเลยที่ 1 เป็นพนักงานรักษาเงินของบริษัท อ. ระหว่างปี 2525-2527จำเลยที่ 1 ยักยอกเงินของบริษัท อ. ไปจำนวน 424,783.22 บาท โจทก์ได้ชำระค่าสินไหมทดแทนให้แก่บริษัท อ. แล้วจึงรับช่วงสิทธิมาฟ้องแต่ทางพิจารณาโจทก์กลับนำสืบว่าโจทก์เป็นผู้รับประกันความเสียหายอันเกิดจากการทำงานของพนักงานบริษัท อ.และบริษัทฟ. จำเลยที่ 1ยักยอกเงินของบริษัท ฟ. เป็นการนำสืบต่างกับฟ้อง พยานหลักฐานโจทก์จึงรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 ยักยอกเงินของบริษัท อ.ตามฟ้อง.
of 481