คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.พ.พ. ม. 420

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 4,810 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4725/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดของตัวแทนเรือในการลากจูงและการตีความสัญญาเช่าเรือลากจูง
จำเลยที่ 2 เป็นตัวแทนเรือซาอุดี เย็นโบ ในการลากจูงเรือออกจากท่าเรือของโจทก์ จำเลยที่ 2 ไม่ได้เป็นผู้ครอบครองเรือไม่ได้เป็นผู้ควบคุมและสั่งการเดินเรือเมื่อเกิดเหตุเรือชนท่าเรือของโจทก์ กรณีละเมิดดังกล่าวมิได้เกิดจากจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นตัวแทนจำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องรับผิดในผลแห่งละเมิด
ปรากฏตามคำร้องขอเช่าเรือลากจูงจากโจทก์ของจำเลยที่ 2 ว่า"ข้าพเจ้ายอมเป็นผู้รับผิดชอบในความเสียหายใด ๆ ที่เกิดขึ้นเนื่องในการลากจูงนี้ และไม่เรียกร้องค่าเสียหายใด ๆ จากการท่าเรือแห่งประเทศไทยในกรณีที่มีการเสียหายเกิดขึ้นแก่เรือที่ถูกลากจูง ไม่ว่าในกรณีใด ๆ" ซึ่งหมายความว่า หากการลากจูงนั้นเกิดความเสียหายอย่างใด ๆ ขึ้นแก่โจทก์ จำเลยที่ 2 ยอมรับผิดชอบแต่ถ้าหากการลากจูงนั้นเกิดความเสียหายอย่างใด ๆ ขึ้นแก่เรือที่ถูกลากจูงซึ่งจำเลยที่ 2 เป็นตัวแทนอยู่ จำเลยที่ 2 ก็ดีฝ่ายเรือที่ถูกลากจูงก็ดี ไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหายใด ๆ จากโจทก์ฉะนั้น การที่จำเลยที่ 2 จะต้องรับผิดในความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่โจทก์หรือไม่จึงต้องดูที่ว่าความเสียหายเกิดจากการลากจูงหรือไม่เมื่อปรากฏว่าความเสียหายเกิดขึ้นขณะที่เรือลากจูงดันเรือซาอุดี เย็นโบ เข้าเทียบท่าเนื่องจากเครื่องยนต์ดับ การลากจูงยังไม่เสร็จสิ้นยังไม่พ้นจากท่าเรือของโจทก์ ขณะดัน เรือเข้าเทียบท่ายังอยู่ในระหว่างการปฏิบัติหน้าที่รับผิดชอบของเรือลากจูง ฉะนั้น การที่เรือลากจูงดันเรือซาอุดี เย็นโบเข้าเทียบท่าไปกระทบปั้นจั่นและโรงพักของโจทก์เสียหาย ความเสียหายที่เกิดขึ้นถือว่าเป็นความเสียหายใด ๆ ที่เกิดขึ้นเนื่องในการลากจูงซึ่งจำเลยที่ 2 ต้องรับผิดชอบตามคำร้องขอเช่าหรือลากจูงซึ่งโจทก์ตกลงด้วยแล้ว คำร้องดังกล่าวถือเป็นสัญญาผูกพันจำเลยที่ 2 ได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4664/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิเรียกร้องค่าเช่าหลังบอกเลิกสัญญาเช่า และการฟ้องในฐานะเจ้าพนักงานบังคับคดี
ห้างหุ้นส่วนจำกัด ส. เป็นผู้เช่าอาคารของ จ. แล้วให้จำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 หุ้นส่วนผู้จัดการเช่าช่วงเพื่อทำโรงแรมเมื่อ จ. ถึงแก่กรรม การที่จำเลยที่ 3 ในฐานะผู้จัดการมรดกของจ. ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาเช่ากับห้างหุ้นส่วนจำกัด ส. ย่อมเป็นการใช้สิทธิตามกฎหมายที่ จ. ผู้ให้เช่าและห้างหุ้นส่วนจำกัด ส.ผู้เช่ามีนิติสัมพันธ์ต่อกันตามสัญญาเช่าอาคาร และการที่จำเลยที่ 3 จะมีสิทธิบอกเลิกสัญญาหรือไม่ ก็เป็นมูลกรณีจากการที่คู่กรณีในสัญญาจะปฏิบัติการชำระหนี้ต่อกันตามข้อสัญญา ส่วนการที่จำเลยที่ 4 ซึ่งเป็นทนายความผู้ได้รับมอบอำนาจจากจำเลยที่ 3ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญา ก็ต้องถือว่าเป็นการใช้สิทธิของจำเลยที่ 3ดังนั้น การที่จำเลยที่ 3 โดยจำเลยที่ 4 ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญากับห้างหุ้นส่วนจำกัด ส. จึงไม่เป็นการกระทำโดยไม่สุจริตหรือจงใจกระทำการฉ้อโกงอันเป็นการกระทำละเมิดต่อห้างหุ้นส่วนจำกัด ส.
แม้ตามคำฟ้องโจทก์จะได้บรรยายถ้อยคำเป็นทำนองว่า จำเลยทั้งสี่ไม่สุจริต การกระทำฉ้อโกงโจทก์อันเป็นละเมิด แต่ฟ้องโจทก์ในตอนต้นก็บรรยายถึงนิติสัมพันธ์ระหว่างโจทก์กับจำเลยและบุคคลที่เกี่ยวข้องตามสัญญาเช่าและสัญญาต่างตอบแทนนั้นไว้โดยละเอียดแล้วและตามคำขอท้ายฟ้อง โจทก์ก็ขอให้จำเลยชำระเงินค่าตอบแทนการก่อสร้างให้โจทก์ตามสัญญาด้วย เมื่อโจทก์บรรยายฟ้องมาเช่นนี้ ศาลก็มีหน้าที่ต้องปรับใช้กฎหมายเรื่องผิดสัญญาหรือละเมิดให้ตรงตามข้อเท็จจริงที่นำสืบกันมา การนำสืบข้อเท็จจริงของโจทก์จึงไม่ต่างกับฟ้อง
จำเลยที่ 2 ฎีกาในข้อที่มิได้ยกขึ้นต่อสู้ไว้ในคำให้การจึงไม่มีประเด็นที่ศาลฎีกาจะรับวินิจฉัยให้
ส. ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการกองพิทักษ์ทรัพย์ กรมบังคับคดีกระทรวงยุติธรรม และมีฐานะเป็นเจ้าพนักงานบังคับคดี เป็นผู้ชำระบัญชีย่อมมีอำนาจเป็นโจทก์ฟ้องคดีเกี่ยวกับการชำระบัญชีได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1259(1) และแม้คำฟ้องของโจทก์จะมีคำว่า ผู้อำนวยการกองพิทักษ์ทรัพย์ต่อท้ายชื่อของ ส.ก็ไม่ได้หมายความว่า เป็นการฟ้องคดีในนามของผู้อำนวยการกองพิทักษ์ทรัพย์
คำว่า "เจ้าพนักงานบังคับคดี" หมายความว่า เจ้าพนักงานที่ทำหน้าที่บังคับคดีซึ่งสังกัดอยู่ในกรมบังคับคดี มิได้มีความหมายจำกัดเฉพาะอธิบดีกรมบังคับคดี หรือผู้ที่อธิบดีกรมบังคับคดีมอบหมายเท่านั้น ดังนั้นเมื่อปรากฏว่ากองพิทักษ์ทรัพย์ซึ่งเป็นส่วนราชการในกรมบังคับคดีมีหน้าที่เป็นผู้ชำระบัญชีห้างหุ้นส่วนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ผู้อำนวยการกองพิทักษ์ทรัพย์ย่อมเป็นเจ้าพนักงานบังคับคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4664/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิเรียกร้องค่าเช่าหลังบอกเลิกสัญญาเช่า และความถูกต้องของฐานะโจทก์ผู้ชำระบัญชี
ห้างหุ้นส่วนจำกัด ส. เป็นผู้เช่าอาคารของ จ. แล้วให้จำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 หุ้นส่วนผู้จัดการเช่าช่วงเพื่อทำโรงแรมเมื่อ จ. ถึงแก่กรรม การที่จำเลยที่ 3 ในฐานะผู้จัดการมรดกของจ. ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาเช่ากับห้างหุ้นส่วนจำกัด ส. ย่อมเป็นการใช้สิทธิตามกฎหมายที่ จ. ผู้ให้เช่าและห้างหุ้นส่วนจำกัด ส.ผู้เช่ามีนิติสัมพันธ์ต่อกันตามสัญญาเช่าอาคาร และการที่จำเลยที่ 3 จะมีสิทธิบอกเลิกสัญญาหรือไม่ ก็เป็นมูลกรณีจากการที่คู่กรณีในสัญญาจะปฏิบัติการชำระหนี้ต่อกันตามข้อสัญญา ส่วนการที่จำเลยที่ 4 ซึ่งเป็นทนายความผู้ได้รับมอบอำนาจจากจำเลยที่ 3ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญา ก็ต้องถือว่าเป็นการใช้สิทธิของจำเลยที่ 3ดังนั้น การที่จำเลยที่ 3 โดยจำเลยที่ 4 ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญากับห้างหุ้นส่วนจำกัด ส. จึงไม่เป็นการกระทำโดยไม่สุจริตหรือจงใจกระทำการฉ้อโกงอันเป็นการกระทำละเมิดต่อห้างหุ้นส่วนจำกัด ส. แม้ตามคำฟ้องโจทก์จะได้บรรยายถ้อยคำเป็นทำนองว่า จำเลยทั้งสี่ไม่สุจริต การกระทำฉ้อโกงโจทก์อันเป็นละเมิด แต่ฟ้องโจทก์ในตอนต้นก็บรรยายถึงนิติสัมพันธ์ระหว่างโจทก์กับจำเลยและบุคคลที่เกี่ยวข้องตามสัญญาเช่าและสัญญาต่างตอบแทนนั้นไว้โดยละเอียดแล้วและตามคำขอท้ายฟ้อง โจทก์ก็ขอให้จำเลยชำระเงินค่าตอบแทนการก่อสร้างให้โจทก์ตามสัญญาด้วย เมื่อโจทก์บรรยายฟ้องมาเช่นนี้ ศาลก็มีหน้าที่ต้องปรับใช้กฎหมายเรื่องผิดสัญญาหรือละเมิดให้ตรงตามข้อเท็จจริงที่นำสืบกันมา การนำสืบข้อเท็จจริงของโจทก์จึงไม่ต่างกับฟ้อง จำเลยที่ 2 ฎีกาในข้อที่มิได้ยกขึ้นต่อสู้ไว้ในคำให้การจึงไม่มีประเด็นที่ศาลฎีกาจะรับวินิจฉัยให้ ส. ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการกองพิทักษ์ทรัพย์ กรมบังคับคดีกระทรวงยุติธรรม และมีฐานะเป็นเจ้าพนักงานบังคับคดี เป็นผู้ชำระบัญชีย่อมมีอำนาจเป็นโจทก์ฟ้องคดีเกี่ยวกับการชำระบัญชีได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1259(1) และแม้คำฟ้องของโจทก์จะมีคำว่า ผู้อำนวยการกองพิทักษ์ทรัพย์ต่อท้ายชื่อของ ส.ก็ไม่ได้หมายความว่า เป็นการฟ้องคดีในนามของผู้อำนวยการกองพิทักษ์ทรัพย์ คำว่า "เจ้าพนักงานบังคับคดี" หมายความว่า เจ้าพนักงานที่ทำหน้าที่บังคับคดีซึ่งสังกัดอยู่ในกรมบังคับคดี มิได้มีความหมายจำกัดเฉพาะอธิบดีกรมบังคับคดี หรือผู้ที่อธิบดีกรมบังคับคดีมอบหมายเท่านั้น ดังนั้นเมื่อปรากฏว่ากองพิทักษ์ทรัพย์ซึ่งเป็นส่วนราชการในกรมบังคับคดีมีหน้าที่เป็นผู้ชำระบัญชีห้างหุ้นส่วนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ผู้อำนวยการกองพิทักษ์ทรัพย์ย่อมเป็นเจ้าพนักงานบังคับคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4603/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิในเครื่องหมายการค้า แม้ไม่ได้เป็นผู้ผลิตเอง ก็มีสิทธิแต่ผู้เดียวในการขายสินค้าภายใต้เครื่องหมายการค้านั้น โดยอายุความไม่ขาดอายุความ
แม้โจทก์จะมิใช่ผู้ประดิษฐ์หรือผลิตสินค้า แต่เป็นผู้รับมอบหมายให้เป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้าที่เจ้าของเดิมจดทะเบียนไว้ในประเทศญี่ปุ่น พร้อมด้วยกิจการบริการจำหน่ายสินค้าในประเทศไทย และโจทก์ได้จดทะเบียนในประเทศไทยแล้วโจทก์ย่อมมีสิทธิแต่ผู้เดียวที่จะขายสินค้าตามเครื่องหมายการค้านั้น การที่จำเลยจำหน่ายสินค้าที่เครื่องหมายการค้าของโจทก์ติดมาในประเทศไทย เป็นเหตุให้การขายของโจทก์ลดลง ย่อมเป็นการละเมิดสิทธิของโจทก์ อายุความตามสิทธิของโจทก์ที่ขอให้ห้ามจำเลยมิให้จำหน่ายรวมทั้งห้ามสั่งหรือนำเข้าซึ่งสินค้าที่มีเครื่องหมายการค้าของโจทก์ มิใช่เป็นการเรียกค่าเสียหายจึงมีอายุความ10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4565/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดจากละเมิดของลูกจ้างในการเผาป่า และการครอบครองป่าสงวนโดยมิชอบ
โจทก์บรรยายฟ้องว่า ผู้มีชื่อซึ่งเป็นลูกจ้างของจำเลยหลายคนได้จุดไฟเผาป่าที่แผ้วถางไว้โดยประมาท ทำให้เพลิงลุกลามไหม้ไร่อ้อยของโจทก์ ไม่จำเป็นต้องบรรยายว่าลูกจ้างผู้มีชื่อจะเป็นใคร ชื่ออะไร ซึ่งเป็นรายละเอียดที่จะนำสืบกันในชั้นพิจารณา ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม เมื่อจำเลยได้รับสำเนาคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมฟ้องในวันชี้สองสถาน และศาลมีคำสั่งอนุญาตให้โจทก์แก้ไขเพิ่มเติมฟ้องแล้ว จำเลยไม่ได้คัดค้านเสียในขณะนั้น ว่าโจทก์ไม่ได้ส่งสำเนาคำร้องดังกล่าวให้จำเลยตามกำหนด ทั้งยังขอให้ศาลชั้นต้นเลื่อนการชี้สองสถานไปเพื่อจำเลยจะได้แก้ไขเพิ่มเติมคำให้การเกี่ยวกับที่โจทก์ขอแก้ไขเพิ่มเติมฟ้องด้วยเท่ากับจำเลยให้สัตยาบันแก่การพิจารณาที่ผิดระเบียบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 แล้ว อ้อยที่โจทก์ปลูกในป่าสงวนแห่งชาติที่โจทก์เข้าไปยึดถือครอบครองโดยมิชอบเป็นทรัพย์ของโจทก์ โจทก์มีสิทธิฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนจากผู้มีทำให้อ้อยเสียหายได้ จำเลยจ้างคนงานมาปลูกป่า การที่คนงานจุดไฟเผาหญ้าและต้นไม้ที่แผ้วถางไว้ ซึ่งเป็นกรรมวิธีที่จำเป็นในการปลูกป่าเป็นงานในทางการที่จ้าง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4565/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรับผิดในความเสียหายจากไฟไหม้ไร่อ้อย การให้สัตยาบันการพิจารณาคดี และสิทธิในทรัพย์สินในที่ดินป่าสงวน
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 1 และที่ 2 โจทก์มิได้อุทธรณ์ แม้จำเลยที่ 1 และที่ 2 จะลงชื่อมาในท้ายอุทธรณ์ แต่ก็ไม่ได้อุทธรณ์โต้แย้งคัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้นคดีสำหรับจำเลยที่ 1 และที่ 2 จึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น แม้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ฎีกาต่อมา ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
แม้โจทก์มิได้ส่งสำเนาคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมฟ้องให้แก่จำเลยไม่น้อยกว่า 3 วันตามกำหนด แต่เมื่อจำเลยได้รับสำเนาคำร้องดังกล่าวแล้ว จำเลยไม่ได้คัดค้านที่โจทก์ไม่ส่งสำเนาคำร้อง และเมื่อศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์แก้ไขเพิ่มเติมฟ้องแล้ว จำเลยยังขอให้ศาลชั้นต้นเลื่อนการชี้สองสถานไปเพื่อจำเลยจะได้แก้ไขเพิ่มเติมคำให้การเกี่ยวกับที่โจทก์ขอแก้ไขเพิ่มเติมฟ้องด้วย เช่นนี้เท่ากับจำเลยให้สัตยาบันแก่การพิจารณาที่ผิดระเบียบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 27 แล้ว จำเลยจะยกเอาเหตุนี้ขึ้นมาคัดค้านในภายหลังอีกไม่ได้
แม้ที่ดินที่โจทก์ปลูกอ้อยจะเป็นที่ป่าสงวนแห่งชาติที่โจทก์เข้าไปยึดถือครอบครองโดยไม่ชอบก็ตาม แต่อ้อยดังกล่าวก็ยังเป็นทรัพย์ของโจทก์ เมื่อมีบุคคลอื่นมาทำให้อ้อยที่โจทก์ปลูกไว้เสียหาย ย่อมเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ โจทก์ย่อมมีสิทธิฟ้องเรียกเอาค่าสินไหมทดแทนจากผู้มาทำละเมิดได้
การปลูกป่าจำเป็นต้องแผ้วถางก่อน เมื่อแผ้วถางแล้วก็ต้องเผาหญ้าและต้นไม้ที่แผ้วถาง เพื่อให้พื้นที่เตียนจะได้ปลูกป่าต่อไป การที่คนงานปลูกป่าของจำเลยจุดไฟเผาหญ้าและต้นไม้ที่แผ้วถางไว้ จึงเป็นงานในทางการที่จ้าง จำเลยจะยกเอาเหตุดังกล่าวมาปัดความรับผิดหาได้ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4553/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความประมาทเลินเล่อในการขับขี่และการปฏิบัติตามสัญญาณจราจร กรณีรถยนต์ชนรถไฟ
ในบริเวณที่เกิดเหตุก่อนถึงทางรถไฟ 300 เมตร มีป้ายริมถนนบอกว่ามีทางรถไฟ เมื่อเข้ามาใกล้ 150 เมตร มีป้ายเครื่องหมายบอกอีกว่าข้างหน้ามีรถไฟตัดผ่านถนน และก่อนถึงทางรถไฟ มีป้ายสัญญาณ "หยุด" การที่รถยนต์ของฝ่ายจำเลยไม่ชะลอความเร็วและไม่หยุดตามเครื่องหมายจราจรไปชนรถไฟของโจทก์ซึ่งยาวเป็นขบวนและวิ่งมาตามรางตามปกตินั้น นับว่าเป็นความประมาทอย่างร้ายแรงฝ่ายเดียว จะอ้างว่าโจทก์มิได้มีเครื่องปิดกั้นถนนขณะรถไฟแล่นผ่านหาได้ไม่ จำเลยจึงต้องรับผิดในความเสียหายที่เกิดขึ้นทั้งหมด ถนนใดแม้จะเป็นถนนสำคัญแต่การต้องทำเครื่องปิดกั้นถนนนั้นจะต้องพิจารณาถึงสภาพแวดล้อมและความจำเป็นที่จะต้องทำเฉพาะส่วนที่ทางรถไฟตัดกับถนนนั้นเป็นแห่ง ๆ ไป มิใช่ต้องทำทุกแห่งที่ทางรถไฟตัดกับถนน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4553/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความประมาทเลินเล่อของคนขับรถยนต์ที่ชนรถไฟ และขอบเขตค่าเสียหายที่โจทก์เรียกร้องได้
แม้ตาม พ.ร.บ.จัดวางการรถไฟและทางหลวง ฯ มาตรา 72 จะบัญญัติให้ทำประตูหรือขึงโซ่หรือทำราวกั้นขวางถนนหรือทางนั้นตามสมควร เมื่อทางรถไฟผ่านถนนสำคัญเสมอระดับก็ตาม แต่การทำเครื่องปิดกั้นถนนนั้นจะต้องพิจารณาถึงสภาพแวดล้อมและความจำเป็นที่จะต้องทำเฉพาะส่วนที่ทางรถไฟตัดกับถนนนั้นเป็นแห่ง ๆ ไป มิใช่ต้องทำทุกแห่งที่ทางรถไฟตัดกับถนน
สถานที่เกิดหตุอยู่นอกเมือง นาน ๆ จะมีรถยนต์แล่นผ่านสองข้างทางรถไฟเป็นป่าโปร่ง มองไปทั้งสองข้างทางรถไฟและถนนจะเห็นกันได้ง่าย ไม่จำเป็นต้องทำเครื่องปิดกั้นถนน ก่อนถึงทางรถไฟ 300 เมตร มีป้ายริมถนนบอกว่ามีทางรถไฟ เมื่อเข้ามาใกล้ 150 เมตรมีป้ายบอกอีกว่าข้างหน้ามีรถไฟตัดผ่านถนน และก่อนถึงทางรถไฟ 5 เมตร มีป้ายสัญญาณ "หยุด"การที่รถยนต์ของฝ่ายจำเลยไม่ชะลอความเร็วและไม่หยุดตามเครื่องหมายการจราจรไปชนรถไฟของโจทก์ซึ่งยาวเป็นขบวนและวิ่งมาตามรางนั้น เป็นความประมาทอย่างร้ายแรงฝ่ายเดียว
การซ่อมทรัพย์สินที่เสียหายเป็นงานตามหน้าที่ที่โจทก์จะต้องจัดคนของโจทก์ไปควบคุม มิได้จ้างบุคคลอื่นเป็นพิเศษ ถือไม่ได้ว่าค่าควบคุม 25 เปอร์เซ็นต์ ของค่าของและค่าแรงงานที่โจทก์เรียกร้องมาเป็นค่าเสียหายโดยตรงจากการละเมิด
ค่าเบี้ยเลี้ยงคือเงินที่โจทก์จ่ายให้เป็นค่าที่พักและอาหารประจำวันแก่คนของโจทก์ในการออกไปทำงานนอกสถานที่ทำงานประจำตามระเบียบของโจทก์ เมื่อจำเลยกระทำละเมิด โจทก์ต้องส่งพนักงานและกรรมกรออกไปทำงานนอกสถานที่ ค่าเบี้ยเลี้ยงจึงเป็นค่าใช้จ่ายอันจำเป็นเพื่อทำให้ทรัพย์สินกลับคืนดี แต่ค่าอาหารก็เป็นค่าเบี้ยเลี้ยงนั่นเอง แม้โจทก์จะจ่ายไปมากกว่าค่าเบี้ยเลี้ยงจะมาคิดซ้ำซ้อนกับค่าเบี้ยเลี้ยงที่โจทก์จ่ายตามระเบียบไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4513/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ธนาคารแจ้งเช็คไม่ผ่านล่าช้า ไม่ทำให้โจทก์เสียหาย หากผู้สั่งจ่ายไม่มีเงินในบัญชี
แม้ธนาคารจำเลยนำเช็คของจำเลยที่ 1 เข้าบัญชีของโจทก์เพื่อเรียกเก็บเงินแล้วไม่แจ้งให้โจทก์ทราบว่าเรียกเก็บเงินไม่ได้ จนเวลาล่วงเลยมาถึง 4 เดือน จึงแจ้งให้โจทก์ทราบก็ตาม แต่ก็ไม่ทำให้โจทก์หมดสิทธิเรียกเงินตามเช็คจากจำเลยที่ 1 เมื่อจำเลยที่ 1 ไม่มีเงินในบัญชีพอจ่ายตามเช็ค ธนาคารจำเลยย่อมไม่อาจหักเงินจากบัญชีของจำเลยที่ 1 มาเข้าบัญชีโจทก์ได้ การที่โจทก์ไม่มีเงินอยู่ในบัญชีพอที่จะชำระดอกเบี้ยให้ธนาคารจำเลยและชำระหนี้เป็นเหตุให้ต้องถูกธนาคารจำเลยเรียกดอกเบี้ยทบต้นและถูกบุคคลซึ่งเป็นคู่ค้ากับโจทก์ริบเงินไปตามสัญญา จึงไม่ใช่ความเสียหายที่เป็นผลโดยตรงเนื่องมาจากการที่ธนาคารจำเลยแจ้งให้โจทก์ทราบล่าช้า ถือไม่ได้ว่าธนาคารจำเลยทำให้โจทก์เสียหาย ไม่เป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4117/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่รัฐ: การไม่ออกคำสั่งเวรรักษาความปลอดภัย หากมีคำสั่งเดิมอยู่แล้ว ไม่ถือเป็นประมาทเลินเล่อ
ในขณะที่มีคนร้ายลอบเข้าไปวางเพลิงสำนักงานป่าไม้จังหวัดทำให้ทรัพย์สินเสียหายไม่มีผู้อยู่เวรและตรวจเวร แต่ในระหว่างเกิดเหตุมีคำสั่งตั้งเวรยามกำหนดเจ้าหน้าที่เวรยามไว้โดยแน่ชัดสามารถปฏิบัติตามคำสั่งดังกล่าวได้อยู่แล้ว โดยมีผู้ช่วยป่าไม้จังหวัดเป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่ตรวจเวรยามจำเลยซึ่งเป็นป่าไม้จังหวัดหาจำต้องออกคำสั่งตั้งเวรยามซ้ำอีกไม่ การที่จำเลยมิได้ออกคำสั่งตั้งเวรยามใหม่จึงไม่เป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่อดังที่โจทก์ฟ้อง
of 481