พบผลลัพธ์ทั้งหมด 4,810 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1195/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดทางละเมิดจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ การพิสูจน์ความประมาท และขอบเขตความรับผิดของนายจ้าง
โจทก์บรรยายฟ้องเจาะจงตัวจำเลยที่ 2 ว่าเป็นนิติบุคคลประเภท บริษัทจำกัด ใช้ชื่อว่าบริษัท ส. จำกัด ไม่ต้องระบุว่าผู้ใดเป็นผู้กระทำการแทนจำเลยที่ 2 การที่โจทก์บรรยายฟ้องว่าโจทก์ นั่งรถยนต์รับจ้างสามล้อที่ ก. เป็นผู้ขับขี่แล่นมาถึงบริเวณใกล้ที่พักผู้โดยสารประจำทางใกล้สะพานสท้านนภา โฉมหน้าจากสถานีขนส่งสายใต้ไปทางสามแยกท่าพระถูกรถยนต์โดยสารประจำทางสาย 81 คันหมายเลขทะเบียน กท.จ.3991 พุ่งเข้าชนนั้นย่อมชัดแจ้งเข้าใจได้แล้วว่ารถชนกันที่ใด ส่วนค่าเสียหายโจทก์บรรยายฟ้องแยกชนิดประเภทความเสียหายว่าเป็นเงินส่วนละเท่าใด ความเสียหายที่ทำให้โจทก์เสียฆานประสาทก็บรรยายฟ้องว่าไม่อาจรับความรู้สึกในการดมกลิ่นอีก ฟ้องของโจทก์ดังกล่าวจึงไม่เคลือบคลุม โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายในมูลละเมิด ไม่ได้ฟ้องเกี่ยวกับสินสมรสเป็นการฟ้องตามสิทธิที่มีอยู่เป็นการเฉพาะตัว จึงไม่จำต้องได้รับความยินยอมจากสามี โจทก์ฟ้องให้จำเลยทั้งสามร่วมกันรับผิดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ในมูลละเมิดภายในกำหนดอายุความ แต่ขอแก้ไขเพิ่มเติมฟ้องที่เกี่ยวกับค่าเสียหายในภายหลัง คำฟ้องเพิ่มเติมของโจทก์เกี่ยวกับค่าเสียหายดังกล่าวไม่ขาดอายุความ จำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 2 แต่จำเลยที่ 2 ได้นำรถยนต์โดยสารประจำทางคันเกิดเหตุของจำเลยที่ 2 มาวิ่งรับส่งคนโดยสารร่วมกับจำเลยที่ 3 ในเส้นทางเดินรถของจำเลยที่ 3 พนักงานเก็บเงินค่าโดยสารของรถยนต์โดยสารประจำทางดังกล่าวก็เป็นพนักงานของจำเลยที่ 3 จึงถือได้ว่ารถยนต์โดยสารของจำเลยที่ 2 เข้ามาแล่นในเส้นทางสัมปทานที่จำเลยที่ 3 ได้รับจากรัฐบาลเป็นกิจการของจำเลยที่ 3 และจำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 3 ด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1195/2531 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องละเมิดจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ การร่วมรับผิดของนายจ้างและผู้ประกอบการขนส่ง
โจทก์บรรยายฟ้องว่าเจาะจงตัวจำเลยที่ 2 ว่าเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด ใช้ชื่อว่าบริษัท ส.จำกัด ไม่ต้องระบุว่าผู้ใดเป็นผู้กระทำการแทนจำเลยที่ 2 การที่โจทก์บรรยายฟ้องว่าโจทก์นั่งรถยนต์รับจ้างสามล้อที่ ก.เป็นผู้ขับขี่แล่นมาถึงบริเวณใกล้ที่พักผู้โดยสารประจำทางใกล้สะพานสท้านนภา โฉมหน้าจากสถานีขนส่งสายใต้ไปทางสามแยกท่าพระถูกรถยนต์โดยสารประจำทางสาย 81 คันหมายเลขทะเบียน กท. จ.3991 พุ่งเข้าชนนั้นย่อมชัดแจ้งเข้าใจได้แล้วว่ารถชนกันที่ใด ส่วนค่าเสียหายโจทก์ก็บรรยายฟ้องแยกชนิดประเภทความเสียหายว่าเป็นเงินส่วนละเท่าใด ความเสียหายที่ทำให้โจทก์เสียฆานประสาทก็บรรยายว่าไม่อาจรับความรู้สึกในการดมกลิ่นอีกฟ้องของโจทก์ดังกล่าวจึงไม่เคลือบคลุม
โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายในมูลละเมิด ไม่ได้ฟ้องเกี่ยวกับสินสมรถเป็นการฟ้องตามสิทธิที่มีอยู่เป็นการเฉพาะตัว จึงไม่จำต้องได้รับความยินยอมจากสามี
โจทก์ฟ้องให้จำเลยทั้งสามร่วมกันรับผิดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ในมูลละเมิดภายในกำหนดอายุความ แต่ขอแก้ไขเพิ่มเติมฟ้องที่เกี่ยวกับค่าเสียหายในภายหลัง คำฟ้องเพิ่มเติมของโจทก์เกี่ยวกับค่าเสียหายดังกล่าวไม่ขาดอายุความ
จำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 2 แต่จำเลยที่ 2 ได้นำรถยนต์โดยสารประจำทางคันเกิดเหตุของจำเลยที่ 2 มาวิ่งรับส่งคนโดยสารร่วมกับจำเลยที่ 3 ในเส้นทางเดินรถของจำเลยที่ 3 พนักงานเก็บเงินค่าโดยสารของรถยนต์โดยสารประจำทางดังกล่าวก็เป็นพนักงานของจำเลยที่ 3 จึงถือได้ว่าการนำรถยนต์โดยสารของจำเลยที่ 2 เข้ามาแล่นในเส้นทางสัมปทานที่จำเลยที่ 3 ได้รับจากรัฐบาลเป็นกิจการของจำเลยที่ 3 และจำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 3 ด้วย
โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายในมูลละเมิด ไม่ได้ฟ้องเกี่ยวกับสินสมรถเป็นการฟ้องตามสิทธิที่มีอยู่เป็นการเฉพาะตัว จึงไม่จำต้องได้รับความยินยอมจากสามี
โจทก์ฟ้องให้จำเลยทั้งสามร่วมกันรับผิดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ในมูลละเมิดภายในกำหนดอายุความ แต่ขอแก้ไขเพิ่มเติมฟ้องที่เกี่ยวกับค่าเสียหายในภายหลัง คำฟ้องเพิ่มเติมของโจทก์เกี่ยวกับค่าเสียหายดังกล่าวไม่ขาดอายุความ
จำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 2 แต่จำเลยที่ 2 ได้นำรถยนต์โดยสารประจำทางคันเกิดเหตุของจำเลยที่ 2 มาวิ่งรับส่งคนโดยสารร่วมกับจำเลยที่ 3 ในเส้นทางเดินรถของจำเลยที่ 3 พนักงานเก็บเงินค่าโดยสารของรถยนต์โดยสารประจำทางดังกล่าวก็เป็นพนักงานของจำเลยที่ 3 จึงถือได้ว่าการนำรถยนต์โดยสารของจำเลยที่ 2 เข้ามาแล่นในเส้นทางสัมปทานที่จำเลยที่ 3 ได้รับจากรัฐบาลเป็นกิจการของจำเลยที่ 3 และจำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 3 ด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1173/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความประมาทเลินเล่อในการขับรถบรรทุกชนสายไฟฟ้า ผู้ขับขี่ต้องรับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้น
จำเลยที่ 1 ขับรถบรรทุกถังเหล็กมาตามถนน เห็นสายไฟฟ้าพาดขวางถนนอยู่ข้างหน้า จำเลยที่ 1 น่าจะต้องคิดว่าความสูงของของที่บรรทุกมาจะลอดพ้นได้หรือไม่ และควรจะค่อย ๆ เคลื่อนรถลอดใต้สายเคเบิลนั้น โดยให้คนในรถดูว่าจะพันได้หรือไม่ แต่จำเลยที่ 1 ไม่ทำดังนั้น คงขับต่อไปด้วยความเร็วเพราะคิดว่าลอดพันได้ เป็นเหตุให้ถังเหล็กที่บรรทุกมาเกี่ยวสายไฟฟ้าจนทำให้เสาไฟฟ้าล้มไป 13 ต้น ดังนี้ เป็นความประมาทเลินเล่อของจำเลยที่ 1.(ที่มา-ส่งเสริมฯ)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1172/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ละเมิดจากเจ้าหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่ประมาทเลินเล่อ ไม่ปฏิบัติตามระเบียบราชการ ทำให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น
โจทก์และจำเลยที่ 2 กับพวกเคยถูกฟ้องเรื่องละเมิดและผิดสัญญา ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยที่ 5 รับผิดในฐานะคู่สัญญาส่วนจำเลยอื่นให้ยกฟ้องคดีถึงที่สุด โจทก์จึงมาฟ้องจำเลยที่ 2 กับพวกเรื่องละเมิดและเรียกทรัพย์คืน ดังนี้คดีก่อนโจทก์กับจำเลยไม่ใช่คู่ความรายเดียวกันและไม่ใช่ประเด็นอย่างเดียวกันกับคดีนี้ จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำ
จำเลยที่ 2 ซึ่งดำรงตำแหน่งปลัดอำเภอ มีหน้าที่ต้องปฏิบัติราชการตามกฎหมายซึ่งกำหนดให้ปฏิบัติตามระเบียบแบบแผนของทางราชการโดยเคร่งครัดการที่จำเลยที่ 2 ปฏิบัติหน้าที่ขัดต่อระเบียบของทางราชการโดยชัดแจ้ง ดังนี้เป็นการประมาทเลินเล่อ.(ที่มา-ส่งเสริมฯ)
จำเลยที่ 2 ซึ่งดำรงตำแหน่งปลัดอำเภอ มีหน้าที่ต้องปฏิบัติราชการตามกฎหมายซึ่งกำหนดให้ปฏิบัติตามระเบียบแบบแผนของทางราชการโดยเคร่งครัดการที่จำเลยที่ 2 ปฏิบัติหน้าที่ขัดต่อระเบียบของทางราชการโดยชัดแจ้ง ดังนี้เป็นการประมาทเลินเล่อ.(ที่มา-ส่งเสริมฯ)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1146/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หนี้จากการละเมิดอันแบ่งแยกมิได้ ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยจำกัดความรับผิด ศาลฎีกามีอำนาจแก้ไขให้ผู้กระทำละเมิดรับผิดเต็มจำนวน
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระหนี้จำนวนหนึ่งอันเกิดจากมูลละเมิด ศาลชั้นต้นพิพากษาแบ่งให้จำเลยที่ 1 ที่ 2ชำระครึ่งหนึ่ง และจำเลยที่ 3 ที่ 4 ชำระอีกครึ่งหนึ่ง จึงไม่มีเหตุที่จะให้โจทก์ต้องอุทธรณ์ในเรื่องค่าเสียหายขึ้นมาอีก ดังนี้แม้โจทก์จะมิได้อุทธรณ์ให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระหนี้เต็มจำนวน ก็ถือได้ว่าปัญหาเรื่องค่าเสียหายเต็มจำนวนได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วในชั้นศาลอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 เมื่อศาลอุทธรณ์เห็นว่าจำเลยคนใดคนหนึ่งเท่านั้นที่ทำละเมิดต่อโจทก์ ก็ต้องให้ผู้นั้นรับผิดเต็มจำนวน จะแบ่งให้รับผิดเพียงบางส่วนหาชอบไม่ ฉะนั้นการที่ศาลอุทธรณ์ฟังว่าจำเลยที่ 3 ที่ 4 เท่านั้นที่จะต้องรับผิด และพิพากษาให้จำเลยที่ 3 ที่ 4 ใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เพียงเฉพาะส่วนที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้รับผิด โจทก์ฎีกาศาลฎีกาฟังว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 เท่านั้นที่จะต้องรับผิดศาลฎีกาก็มีอำนาจพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 รับผิดต่อโจทก์เต็มตามมูลหนี้แห่งการละเมิดได้.(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 5/2531)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1146/2531 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดทางละเมิดร่วมกันและแบ่งแยก หนี้อันแบ่งแยกมิได้ ศาลมีอำนาจพิพากษาให้รับผิดเต็มจำนวน
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระหนี้จำนวนหนึ่งอันเกิดจากมูลละเมิด ศาลชั้นต้นพิพากษาแบ่งให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 ชำระครึ่งหนึ่ง และจำเลยที่ 3 ที่ 4 ชำระอีกครึ่งหนึ่ง จึงไม่มีเหตุที่จะให้โจทก์ต้องอุทธรณ์ในเรื่องค่าเสียหายขึ้นมาอีก ดังนี้แม้โจทก์จะมิได้อุทธรณ์ให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระหนี้เต็มจำนวน ก็ถือได้ว่าปัญหาเรื่องค่าเสียหายเต็มจำนวนได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วในชั้นศาลอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 เมื่อศาลอุทธรณ์เห็นว่าจำเลยคนใดคนหนึ่งเท่านั้นที่ทำละเมิดต่อโจทก์ ก็ต้องให้ผู้นั้นรับผิดเต็มจำนวน จะแบ่งให้รับผิดเพียงบางส่วนหาชอบไม่ ฉะนั้นการที่ศาลอุทธรณ์ฟังว่าจำเลยที่ 3 ที่ 4 เท่านั้นที่จะต้องรับผิด และพิพากษาให้จำเลยที่ 3 ที่ 4 ใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เพียงเฉพาะส่วนที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้รับผิด โจทก์ฎีกาศาลฎีกาฟังว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 เท่านั้นที่จะต้องรับผิด ศาลฎีกาก็มีอำนาจพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 รับผิดต่อโจทก์เต็มตามมูลหนี้แห่งการละเมิดได้ (ประชุมใหญ่ครั้งที่ 5/2531)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1146/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดทางละเมิดร่วมกันและแยกกัน ศาลฎีกามีอำนาจแก้ไขคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้จำเลยที่รับผิดรับผิดเต็มจำนวน
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระหนี้จำนวนหนึ่งอันเกิดจากมูลละเมิด ศาลชั้นต้นพิพากษาแบ่งให้จำเลยที่ 1 ที่ 2ชำระครึ่งหนึ่งและจำเลยที่ 3 ที่ 4 ชำระอีกครึ่งหนึ่ง จึงไม่มีเหตุที่จะให้โจทก์ต้องอุทธรณ์ในเรื่องค่าเสียหายขึ้นมาอีก ดังนี้แม้โจทก์จะมิได้อุทธรณ์ให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระหนี้เต็มจำนวนก็ถือได้ว่าปัญหาเรื่องค่าเสียหายเต็มจำนวนได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วในชั้นศาลอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 เมื่อศาลอุทธรณ์เห็นว่าจำเลยคนใดคนหนึ่งเท่านั้นที่ทำละเมิดต่อโจทก์ ก็ต้องให้ผู้นั้นรับผิดเต็มจำนวน จะแบ่งให้รับผิดเพียงบางส่วนหาชอบไม่ ฉะนั้นการที่ศาลอุทธรณ์ฟังว่าจำเลยที่ 3 ที่ 4 เท่านั้นที่จะต้องรับผิด และพิพากษาให้จำเลยที่ 3 ที่ 4 ใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เพียงเฉพาะส่วนที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้รับผิด โจทก์ฎีกา ศาลฎีกาฟังว่าจำเลยที่ 1ที่ 2 เท่านั้นที่จะต้องรับผิด ศาลฎีกาก็มีอำนาจ พิพากษาให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 รับผิดต่อโจทก์เต็มตามมูลหนี้แห่งการละเมิดได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1001/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หนังสือยอมรับหนี้จากการละเมิด ไม่ใช่สัญญาประนีประนอมยอมความ สิทธิเรียกร้องค่าเสียหายยังคงอยู่
เมื่อหนี้ที่โจทก์เรียกร้องมีมูลมาจากการทำละเมิด โจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้ย่อมมีสิทธิเรียกร้องให้คืนทรัพย์สินอันต้องเสียไปเพราะละเมิดหรือให้ใช้ราคาทรัพย์นั้น การที่จำเลยได้ทำหนังสือไว้ต่อโจทก์มีใจความว่ายอมจะใช้ราคาทรัพย์สินที่เสียหาย ดังนี้ ถือได้ว่าหนังสือดังกล่าวเป็นเพียงหนังสือที่จำเลยผู้เป็นลูกหนี้ยอมรับสภาพต่อโจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้ตามสิทธิเรียกร้อง ไม่เป็นหนังสือสัญญาประนีประนอมยอมความเพราะไม่มีข้อความที่แสดงว่าผู้ทำหนังสือดังกล่าวระงับข้อพิพาทอันใดอันหนึ่งซึ่งมีอยู่หรือจะมีขึ้นให้เสร็จไปด้วยต่างยอมผ่อนผันให้แก่กัน.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1001/2531 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หนังสือยอมรับหนี้จากการละเมิด ไม่ใช่สัญญาประนีประนอมยอมความ ศาลสั่งให้ชดใช้ค่าเสียหายตามจริง
เมื่อหนี้ที่โจทก์เรียกร้องมีมูลมาจากการทำละเมิด โจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้ย่อมมีสิทธิเรียกร้องให้คืนทรัพย์สินอันต้องเสียไปเพราะละเมิดหรือให้ใช้ราคาทรัพย์นั้น การที่จำเลยได้ทำหนังสือไว้ต่อโจทก์มีใจความว่ายอมจะใช้ราคาทรัพย์สินที่เสียหาย ดังนี้ ถือได้ว่าหนังสือดังกล่าวเป็นเพียงหนังสือที่จำเลยผู้เป็นลูกหนี้ยอมรับสภาพต่อโจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้ตามสิทธิเรียกร้อง ไม่เป็นหนังสือสัญญาประนีประนอมยอมความเพราะไม่มีข้อความที่แสดงว่าผู้ทำหนังสือดังกล่าวระงับข้อพิพาทอันใดอันหนึ่งซึ่งมีอยู่หรือจะมีขึ้นให้เสร็จไปด้วยต่างยอมผ่อนผันให้แก่กัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1001/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยอมรับสภาพหนี้จากการละเมิด ไม่ถือเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ หากไม่มีการระงับข้อพิพาทโดยชอบธรรม
เมื่อหนี้ที่โจทก์เรียกร้องมีมูลมาจากการทำละเมิด โจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้ย่อมมีสิทธิเรียกร้องให้คืนทรัพย์สินอันต้องเสียไปเพราะละเมิดหรือให้ใช้ราคาทรัพย์นั้น การที่จำเลยได้ทำหนังสือไว้ต่อโจทก์ มีใจความว่ายอมจะใช้ราคาทรัพย์สินที่เสียหาย ดังนี้ ถือได้ว่าหนังสือดังกล่าวเป็นเพียงหนังสือที่จำเลยผู้เป็นลูกหนี้ยอมรับสภาพต่อโจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้ตามสิทธิเรียกร้องไม่เป็นหนังสือสัญญาประนีประนอมยอมความเพราะไม่มีข้อความที่แสดงว่าผู้ทำหนังสือดังกล่าวระงับข้อพิพาทอันใดอันหนึ่งซึ่งมีอยู่หรือจะมีขึ้นให้เสร็จไปด้วยต่างยอมผ่อนผันให้แก่กัน