คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.พ.พ. ม. 420

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 4,810 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5774/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การกระทำละเมิดในที่ดินโต้แย้ง การกระทำตามคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมาย และขอบเขตความรับผิด
การที่จำเลยเข้าไปขุดลอกสระน้ำซึ่งอยู่ในเขตโฉนดที่ดินของโจทก์โดยเข้าใจว่าเป็นที่สาธารณประโยชน์ แม้จะไม่มีความผิดทางอาญา เนื่องจากขาดเจตนา แต่ขณะเกิดเหตุโจทก์ครอบครองทำประโยชน์อยู่ ทั้งโจทก์ได้ห้ามปรามและยังได้แจ้งให้เจ้าพนักงานตำรวจมาห้ามปรามแล้ว จำเลยก็ยังไม่ยอมหยุดกระทำการสูบน้ำและขุดดินในสระน้ำ ทำให้ทรัพย์สินของโจทก์ได้รับความเสียหายถือว่าเป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์
จำเลยที่ 7 เป็นลูกจ้างของกรมชลประทาน ได้ร่วมกระทำการกับจำเลยอื่นตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชาโดยเข้าใจว่าเป็นการช่วยเหลือวัด ถือได้ว่ากระทำตามคำสั่งอันชอบด้วยกฎหมาย แม้การกระทำของจำเลยที่ 7 ทำให้โจทก์เสียหายจำเลยที่ 7 ก็ได้รับนิรโทษกรรมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 449 วรรคแรก จำเลยที่ 7 ไม่ต้องร่วมรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5608/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดร่วมของนายจ้างและเจ้าของรถ กรณีเกิดละเมิดจากคนขับรถบรรทุก
จำเลยที่ 1 ขับรถบรรทุกซึ่งเป็นรถกระบะบรรทุกไม่ประจำทางบรรทุกไม้แปรรูปอันเป็นการขนส่งของจำเลยที่ 3 ผู้เช่าซื้อรถ จึงเชื่อ ได้ว่าจำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างขับรถไปในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 3 จำเลยที่ 4 เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์รถดังกล่าวและจำเลยที่ 2เป็นผู้ประกอบการขนส่งอันเป็นการร่วมกิจการกับจำเลยที่ 3 ถือได้ว่าจำเลยที่ 4 และจำเลยที่ 2 เป็นนายจ้างของจำเลยที่ 1 ต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 3 ด้วย ค่ารักษาพยาบาลอันเป็นค่าเสียหายฐานละเมิดนั้น แม้ทางราชการจะจ่ายแทนโจทก์ไปแล้วก็ตาม แต่ไม่เกี่ยวกับความรับผิดของจำเลยโจทก์จึงยังมีสิทธิเรียกร้องเอาจากจำเลยผู้ต้องรับผิดฐานละเมิดได้และปัญหาว่าโจทก์เสียหายเพราะการกระทำละเมิดเพียงใด แม้ศาลอุทธรณ์ยังไม่ได้วินิจฉัย เมื่อโจทก์จำเลยต่างนำสืบประเด็นข้อนี้ไว้แล้วก็ไม่จำต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาอีก.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5608/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดร่วมของนายจ้างและผู้ถือกรรมสิทธิ์รถ กรณีลูกจ้างขับรถประมาทก่อให้เกิดความเสียหาย
จำเลยที่ 1 ขับรถบรรทุกซึ่งเป็นรถกระบะบรรทุกไม่ประจำทาง บรรทุกไม้แปรรูปอันเป็นการขนส่งของจำเลยที่ 3 ผู้เช่าซื้อรถจึงเชื่อได้ว่าจำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างขับรถไปในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 3 จำเลยที่ 4 เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์รถดังกล่าวและจำเลยที่ 2 เป็นผู้ประกอบการขนส่งอันเป็นการร่วมกิจการกับจำเลยที่ 3 ถือได้ว่าจำเลยที่ 4 และจำเลยที่ 2 เป็นนายจ้างของจำเลยที่ 1 ต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 3 ด้วย
ค่ารักษาพยาบาลอันเป็นค่าเสียหายฐานละเมิดนั้นแม้ทางราชการจะจ่ายแทนโจทก์ไปแล้วก็ตาม แต่ไม่เกี่ยวกับความรับผิดของจำเลยโจทก์จึงยังมีสิทธิเรียกร้องเอาจากจำเลยผู้ต้องรับผิดฐานละเมิดได้ และปัญหาว่าโจทก์เสียหายเพราะการกระทำละเมิดเพียงใดแม้ศาลอุทธรณ์ยังไม่ได้วินิจฉัย เมื่อโจทก์จำเลยต่างนำสืบประเด็นข้อนี้ไว้แล้ว ก็ไม่จำต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาอีก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4715/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้อง-หน้าที่ผู้จัดการ-ประมาทเลินเล่อ-การปฏิบัติต่อกัน-อายุความ
คณะกรรมการสหกรณ์โจทก์มีมติให้ฟ้อง ส. เพียงคนเดียวและได้ลงชื่อในหนังสือมอบอำนาจให้ฟ้องในวันที่มีมตินั้น แต่หนังสือมอบอำนาจมิได้ระบุให้ฟ้องผู้หนึ่งผู้ใดโดยเฉพาะจึงเป็นการมอบอำนาจทั่วไป เมื่อต่อมาคณะกรรมการสหกรณ์โจทก์ได้มีมติให้ฟ้องจำเลยที่ 1 ด้วย ดังนี้ ผู้รับมอบอำนาจตามหนังสือมอบอำนาจดังกล่าวมีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1
คณะกรรมการสหกรณ์โจทก์มีมติให้จำเลยที่ 1 เป็นผู้จัดการจำเลยที่ 1 ได้ปฏิบัติหน้าที่ในฐานะผู้จัดการของโจทก์ และโจทก์จ่ายเงินเดือนให้จำเลยที่ 1 ตลอดมาจนลาออกจากตำแหน่ง ดังนี้แม้สัญญาจ้างจำเลยที่ 1 จะมิได้ลงชื่อผู้มีอำนาจทำการแทนและประทับตราของโจทก์ตามข้อบังคับก็ตามการที่โจทก์และจำเลยที่ 1 ปฏิบัติต่อกันดังกล่าว ย่อมถือได้ว่าจำเลยที่ 1เป็นผู้จัดการของโจทก์ตลอดมาจนกระทั่งลาออก
การที่จำเลยที่ 1 ขายนมให้แก่ ส. โดยไม่มีหลักประกันใด ๆฝ่าฝืนมติของคณะกรรมการสหกรณ์โจทก์ เป็นเหตุให้ ส. ค้างชำระค่านมเป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่อในหน้าที่ของจำเลยที่ 1จะอ้างเหตุว่าได้รับคำแนะนำจากสหกรณ์จังหวัด ฯลฯ ให้ขายนมแก่ ส. มาปัดความรับผิดไม่ได้
จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องระหว่างฎีกาว่า ได้ติดตามทวงหนี้สินจาก ส.และส. ได้ชำระแก่โจทก์เป็นเงิน 168,000 บาท หากเป็นความจริงจำเลยที่ 1 ย่อมขอให้โจทก์ลดจำนวนหนี้ดังกล่าวในชั้นบังคับคดีได้
จำเลยที่ 1 ไม่ได้ให้การต่อสู้เรื่องอายุความไว้ แม้จำเลยอื่นให้การต่อสู้ไว้ ก็เป็นเรื่องเฉพาะตัวของจำเลยเหล่านั้น หาทำให้จำเลยที่ 1 ได้รับประโยชน์ในเรื่องอายุความด้วยไม่ จำเลยที่ 1 จึงไม่อาจยกเรื่องอายุความขึ้นอ้างในชั้นฎีกาได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4715/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้อง, หน้าที่ผู้จัดการ, ประมาทเลินเล่อ, สัญญาซื้อเชื่อ, อายุความ (การไม่ยกข้อต่อสู้)
คณะกรรมการสหกรณ์โจทก์มีมติให้ฟ้อง ส. เพียงคนเดียวและได้ลงชื่อในหนังสือมอบอำนาจให้ฟ้องในวันที่มีมตินั้น แต่หนังสือมอบอำนาจมิได้ระบุให้ฟ้องผู้หนึ่งผู้ใดโดยเฉพาะจึงเป็นการมอบอำนาจทั่วไป เมื่อต่อมาคณะกรรมการสหกรณ์โจทก์ได้มีมติให้ฟ้องจำเลยที่ 1 ด้วย ดังนี้ ผู้รับมอบอำนาจตามหนังสือมอบอำนาจดังกล่าวมีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1
คณะกรรมการสหกรณ์โจทก์มีมติให้จำเลยที่ 1 เป็นผู้จัดการจำเลยที่ 1 ได้ปฏิบัติหน้าที่ในฐานะผู้จัดการของโจทก์ และโจทก์จ่ายเงินเดือนให้จำเลยที่ 1 ตลอดมาจนลาออกจากตำแหน่ง ดังนี้แม้สัญญาจ้างจำเลยที่ 1 จะมิได้ลงชื่อผู้มีอำนาจทำการแทนและประทับตราของโจทก์ตามข้อบังคับก็ตามการที่โจทก์และจำเลยที่ 1 ปฏิบัติต่อกันดังกล่าว ย่อมถือได้ว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้จัดการของโจทก์ตลอดมาจนกระทั่งลาออก
การที่จำเลยที่ 1 ขายนมให้แก่ ส. โดยไม่มีหลักประกันใด ๆ ฝ่าฝืนมติของคณะกรรมการสหกรณ์โจทก์ เป็นเหตุให้ ส. ค้างชำระค่านมเป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่อในหน้าที่ของจำเลยที่ 1 จะอ้างเหตุว่าได้รับคำแนะนำจากสหกรณ์จังหวัด ฯลฯ ให้ขายนมแก่ ส. มาปัดความรับผิดไม่ได้
จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องระหว่างฎีกาว่า ได้ติดตามทวงหนี้สินจาก ส. และ ส. ได้ชำระแก่โจทก์เป็นเงิน 168,000 บาท หากเป็นความจริงจำเลยที่ 1 ย่อมขอให้โจทก์ลดจำนวนหนี้ดังกล่าวในชั้นบังคับคดีได้
จำเลยที่ 1 ไม่ได้ให้การต่อสู้เรื่องอายุความไว้ แม้จำเลยอื่นให้การต่อสู้ไว้ ก็เป็นเรื่องเฉพาะตัวของจำเลยเหล่านั้น หาทำให้จำเลยที่ 1 ได้รับประโยชน์ในเรื่องอายุความด้วยไม่ จำเลยที่ 1 จึงไม่อาจยกเรื่องอายุความขึ้นอ้างในชั้นฎีกาได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4685/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าที่เลียนแบบเครื่องหมายการค้าเดิมจนอาจทำให้สาธารณชนสับสน
เครื่องหมายการค้าที่โจทก์จดทะเบียนไว้ เป็นรูปตะขอประดิษฐ์อยู่ภายในรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าภาพหนึ่ง และเป็นรูปตะขอประดิษฐ์อยู่ภายในรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าบนรูปตะขอมีอักษรโรมันอ่านว่าไนกี้อีกภาพหนึ่ง ส่วนเครื่องหมายการค้าที่จำเลยขอจดทะเบียนเป็นภาพประดิษฐ์คล้ายกล้องสูบยาเส้นและอีกภาพหนึ่งเป็นภาพประดิษฐ์คล้ายไม้หันอากาศกลับข้าง ไม่มีตัวอักษรใด ๆ ทั้งสองภาพ เมื่อพิจารณาเครื่องหมายของจำเลยแล้วเห็นได้ชัดว่าความสำคัญที่เด่นชัดคือรูปประดิษฐ์คล้ายกล้องยาสูบและรูปประดิษฐ์คล้ายไม้หันอากาศกลับข้างนั้น ก็คือรูปตะขอประดิษฐ์ทำนองเดียวกับของโจทก์ ดังนั้นเครื่องหมายการค้าของจำเลยจึงเลียนรูปและลักษณะของโจทก์เป็นการลวงให้สาธารณชนหลงเข้าใจผิดได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4630/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรุกปลูกอาคารในที่ดินของตนเอง ไม่กระทบสิทธิใช้ทางสาธารณะของผู้อื่น ไม่ถือเป็นการละเมิด
จำเลยปลูกสร้างอาคารใหม่ตามแนวอาคารเดิมซึ่งอยู่ในที่ดินของจำเลย มิใช่ปลูกสร้างลงในซอยสาธารณะ จึงมิได้เป็นการรบกวนขัดขวางแก่การที่โจทก์จะใช้ซอยสาธารณะ การใช้ทรัพย์ของจำเลยจึงมิได้ทำให้โจทก์เสียหายหรือเดือดร้อนในการที่โจทก์จะใช้ที่ดินของตนหรือทางสาธารณะ ไม่เป็นกรณีตามบทบัญญัติประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1337.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4630/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรุกล้ำทางสัญจรและการใช้สิทธิในที่ดิน การก่อสร้างอาคารบนที่ดินของตนเองไม่เป็นการรบกวนสิทธิของผู้อื่น
จำเลยปลูกสร้างอาคารใหม่ตามแนวอาคารเดิมซึ่งอยู่ในที่ดินของจำเลย มิใช่ปลูกสร้างลงในซอยสาธารณะ จึงมิได้เป็นการรบกวนขัดขวางแก่การที่โจทก์จะใช้ซอยสาธารณะ การใช้ทรัพย์ของจำเลยจึงมิได้ทำให้โจทก์เสียหายหรือเดือดร้อนในการที่โจทก์จะใช้ที่ดินของตนหรือทางสาธารณะ ไม่เป็นกรณีตามบทบัญญัติประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1337

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4568/2530 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องเจ้าของเช็คพิพาท & ความประมาทเลินเล่อธนาคารใช้เช็คขีดคร่อม
โจทก์เป็นเจ้าของเช็คซึ่งธนาคาร ร. ในต่างประเทศมีคำสั่งให้ธนาคารจำเลยใช้เงินจำนวนหนึ่งแก่ห้าง ฯ อ. เพื่อชำระหนี้ค่าตั๋วโดยสารเครื่องบินแต่ห้าง ฯ อ. แจ้งว่าไม่ได้รับเช็คดังกล่าว โจทก์จึงได้ส่งเช็คฉบับใหม่มาชำระให้แก่ห้าง ฯ อ. อีกฉบับหนึ่ง ภายหลังโจทก์ทราบว่าจำเลยได้ใช้เงินตามเช็คฉบับแรกซึ่งมีผู้ปลอมตราประทับและลายมือชื่อผู้จัดการห้าง ฯ อ. มาเรียกเก็บเงินไปก่อนแล้วดังนี้ โจทก์ในฐานะเจ้าของเช็คพิพาทผู้มีสิทธิในเงินจำนวนที่สั่งจ่ายตามเช็คซึ่งยังไม่ตกไปถึงมือผู้รับเงินตามความประสงค์ของโจทก์ ย่อมมีอำนาจฟ้องจำเลยได้
ธนาคารจำเลยใช้เงินตามเช็คพิพาทอันเป็นเช็คขีดคร่อมเฉพาะผ่านธนาคาร ส. ซึ่งส่งเช็คมาเรียกเก็บเงิน การที่จำเลยมิได้ตรวจสอบลายมือชื่อและตราประทับของผู้สลักหลังในเช็คพิพาทยังถือไม่ได้ว่าจำเลยได้ใช้เงินตามเช็คไปโดยประมาทเลินเล่อ เพราะเช็คขีดคร่อมที่ส่งมาเรียกเก็บจากธนาคาร ส. นั้น เป็นหน้าที่ของธนาคาร ส. ผู้รับเช็คที่จะตรวจสอบไม่ใช่หน้าที่ของจำเลยซึ่งใช้เงินผ่านธนาคาร ส. ดังนั้นแม้ลายมือชื่อและตราประทับที่ปรากฏในเช็คพิพาทจะเป็นการสลักหลังปลอมก็ตามจำเลยก็ไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4568/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ธนาคารใช้เช็คปลอม - ความรับผิดชอบในการตรวจสอบลายมือชื่อและตราประทับ
โจทก์เป็นเจ้าของเช็คซึ่งธนาคาร ร. ในต่างประเทศมีคำสั่งให้ธนาคารจำเลยใช้เงินจำนวนหนึ่งแก่ห้าง ฯ อ.เพื่อชำระหนี้ค่าตั๋วโดยสารเครื่องบินแต่ห้าง ฯ อ. แจ้งว่าไม่ได้รับเช็คดังกล่าว โจทก์จึงได้ส่งเช็คฉบับใหม่มาชำระให้แก่ห้าง ฯอ. อีกฉบับหนึ่ง ภายหลังโจทก์ทราบว่าจำเลยได้ใช้เงินตามเช็คฉบับแรกซึ่งมีผู้ปลอมตราประทับและลายมือชื่อผู้จัดการห้าง ฯ อ. มาเรียกเก็บเงินไปก่อนแล้วดังนี้ โจทก์ในฐานะเจ้าของเช็คพิพาทผู้มีสิทธิในเงินจำนวนที่สั่งจ่ายตามเช็คซึ่งยังไม่ตกไปถึงมือผู้รับเงินตามความประสงค์ของโจทก์ ย่อมมีอำนาจฟ้องจำเลยได้
ธนาคารจำเลยใช้เงินตามเช็คพิพาทอันเป็นเช็คขีดคร่อมเฉพาะผ่านธนาคาร ส. ซึ่งส่งเช็คมาเรียกเก็บเงิน การที่จำเลยมิได้ตรวจสอบลายมือชื่อและตราประทับของผู้สลักหลังในเช็คพิพาทยังถือไม่ได้ว่าจำเลยได้ใช้เงินตามเช็คไปโดยประมาทเลินเล่อ เพราะเช็คขีดคร่อมที่ส่งมาเรียกเก็บจากธนาคารส.นั้นเป็นหน้าที่ของธนาคารส. ผู้รับเช็คที่จะตรวจสอบไม่ใช่หน้าที่ของจำเลยซึ่งใช้เงินผ่านธนาคาร ส.ดังนั้นแม้ลายมือชื่อและตราประทับที่ปรากฏในเช็คพิพาทจะเป็นการสลักหลังปลอมก็ตามจำเลยก็ไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์.
of 481