คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.พ.พ. ม. 420

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 4,810 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3098/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาประกันภัยกับบุคคลภายนอก: สิทธิเรียกร้องจากละเมิด ไม่ต้องติดข้อจำกัดเอกสาร
การประกันภัยเป็นนิติกรรมในลักษณะประเภทของสัญญาอย่างหนึ่งซึ่งมีผลทำให้เกิดนิติสัมพันธ์อันพึงต้องปฏิบัติและบังคับระหว่างกันเฉพาะแต่คู่สัญญาเท่านั้น หามีผลผูกพันให้ใช้บังคับแก่บุคคลภายนอกไม่โจทก์ฟ้องจำเลยซึ่งเป็นบุคคลภายนอกให้รับผิดในผลจากมูลละเมิดของจำเลย ไม่ใช่เป็นการฟ้องบังคับคดีตามสัญญาประกันภัยโดยตรง จึงไม่อยู่ในบังคับต้องมีต้นฉบับกรมธรรม์ประกันภัยลงลายมือชื่อผู้ต้องรับผิดหรือตัวแทนมาแสดงตาม ป.พ.พ. มาตรา867 และไม่ต้องห้ามมิให้นำพยานบุคคลมาสืบแทนพยานเอกสารตาม ป.วิ.พ. มาตรา 94 ศาลย่อมรับฟังพยานบุคคลได้โดยไม่ต้องอาศัยเอกสาร และแม้โจทก์จะส่งอ้างภาพถ่ายสำเนากรมธรรม์ประกันภัยเป็นพยานและแนบคู่ฉบับกรมธรรม์ประกันภัยที่มิได้ปิดอากรแสตมป์ให้ถูกต้องตามป.รัษฎากร มาตรา 118 มาท้ายคำแถลงการณ์ของโจทก์ ก็จะอาศัยเป็นเหตุยกฟ้องโจทก์หาได้ไม่.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3098/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การประกันภัย vs. ละเมิด: สิทธิของคู่สัญญาและบุคคลภายนอก
การประกันภัยเป็นนิติกรรมในลักษณะประเภทของสัญญาอย่างหนึ่ง ซึ่งมีผลทำให้เกิดนิติสัมพันธ์อันพึงต้องปฏิบัติและบังคับระหว่างกันเฉพาะแต่คู่สัญญาเท่านั้น หามีผลผูกพันให้ใช้บังคับแก่บุคคลภายนอกไม่โจทก์ฟ้องจำเลยซึ่งเป็นบุคคลภายนอกให้รับผิดในผลจากมูลละเมิดของจำเลย ไม่ใช่เป็นการฟ้องบังคับคดีตามสัญญาประกันภัยโดยตรง จึงไม่อยู่ในบังคับต้องมีต้น ฉบับกรมธรรม์ประกันภัยลงลายมือชื่อผู้ต้องรับผิดหรือตัวแทนมาแสดงตาม ป.พ.พ. มาตรา 867 และไม่ต้องห้ามมิให้นำพยานบุคคลมาสืบแทนพยานเอกสารตาม ป.วิ.พ. มาตรา 94 ศาลย่อมรับฟังพยานบุคคลได้โดยไม่ต้องอาศัยเอกสาร และแม้โจทก์จะส่งอ้างภาพถ่ายสำเนากรมธรรม์ประกันภัยเป็นพยานและแนบคู่ฉบับกรมธรรม์ประกันภัยที่มิได้ปิดอากรแสตมป์ให้ถูกต้องตาม ป.รัษฎากร มาตรา 118 มาท้ายคำแถลงการณ์ของโจทก์ ก็จะอาศัยเป็นเหตุยกฟ้องโจทก์หาได้ไม่.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3097/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การไม่ปฏิบัติตามคำสั่งแก้ไขข้อผิดพลาดในอุทธรณ์ ทำให้ศาลไม่รับอุทธรณ์ และการอุทธรณ์คำสั่งที่ไม่รับอุทธรณ์ต้องทำภายในกำหนด
ศาลชั้นต้นตรวจอุทธรณ์โจทก์ และสั่งให้แก้ไขข้อผิดพลาดภายใน 7 วัน แต่โจทก์ไม่ดำเนินการภายในกำหนด จึงมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์โจทก์ เป็นคำสั่งปฏิเสธไม่ส่งอุทธรณ์ตามป.วิ.พ. มาตรา 232 ผู้อุทธรณ์จะต้องอุทธรณ์คำสั่งไปยังศาลอุทธรณ์ภายในกำหนด 10 วัน ตามมาตรา 234.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3057/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดของผู้รับเหมาและหน่วยงานราชการต่อความเสียหายจากอุบัติเหตุบนถนน กรณีผู้รับเหมามิได้ติดตั้งเครื่องหมายเตือนและไฟส่องสว่าง
จำเลยที่ 2 ที่ 3 ทำสัญญากับกรุงเทพมหานคร จำเลยที่ 1 รับจ้างปรับปรุงถนน การปรับปรุงถนนดังกล่าวจำเลยที่ 2 ที่ 3 ได้ทำทางเบี่ยงไว้แต่มิได้ติดตั้งไฟสัญญาณให้มองเห็นในเวลากลางคืน ผู้ตายขับรถยนต์มาตามปกติถึงบริเวณที่เกิดเหตุซึ่งมืดมากจึงชนเกาะกลางถนนถึงแก่ความตายดังนี้ เป็นความประมาทเลินเล่อของจำเลยฝ่ายเดียว จำเลยที่ 1 ต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 2 ที่ 3 จะอ้างว่าจำเลยที่ 2 ยังไม่ได้ส่งมอบงานหรืออ้างว่าเป็นผู้ว่าจ้างไม่ต้องร่วมรับผิดในความเสียหายต่อบุคคลภายนอกตาม ป.พ.พ มาตรา 428 ไม่ได้ เพราะตนมีหน้าที่จัดให้มีและบำรุงรักษาทางบก ทางน้ำ และทางระบายน้ำ ตาม พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2518 มาตรา 66(2).

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3057/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดของผู้รับเหมาและหน่วยงานราชการต่อความเสียหายจากอุบัติเหตุบนถนนที่ก่อสร้าง
จำเลยที่ 2, ที่ 3 ทำสัญญากับกรุงเทพมหานคร จำเลยที่ 1 รับจ้างปรับปรุงถนน การปรับปรุงถนนดังกล่าวจำเลยที่ 2 ที่ 3 ได้ทำทางเบี่ยงไว้แต่มิได้ติดตั้งไฟสัญญาณให้มองเห็นในเวลากลางคืน ผู้ตายขับรถยนต์มาตามปกติถึงบริเวณที่เกิดเหตุซึ่งมืดมากจึงชนเกาะกลางถนนถึงแก่ความตายดังนี้ เป็นความประมาทเลินเล่อของจำเลยฝ่ายเดียว จำเลยที่ 1ต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 2, ที่ 3 จะอ้างว่าจำเลยที่ 2 ยังไม่ได้ส่งมอบงาน หรืออ้างว่าเป็นผู้ว่าจ้างไม่ต้องร่วมรับผิดในความเสียหายต่อบุคคลภายนอกตาม ป.พ.พ. มาตรา 428 ไม่ได้ เพราะตน มีหน้าที่จัดให้มีและบำรุงรักษาทางบก ทางน้ำ และทางระบายน้ำ ตาม พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2518 มาตรา 66(2).

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3053/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องคดีอาญาและแพ่งโดยสุจริตจากข้อพิรุธในการซื้อขาย และการให้ข้อมูลข่าวสารเพื่อป้องกันตนเอง ไม่เป็นการละเมิด
จำเลยทำสัญญาจะซื้อจะขายห้องชุดจากโจทก์ ต่อมาจำเลยฟ้องโจทก์กับพวกเป็นคดีอาญาในข้อหาฉ้อโกงว่าหลอกลวงให้จำเลยทำสัญญาจะซื้อจะขายและฟ้องต่อศาลแพ่งเรียกมัดจำคืน เมื่อข้อเท็จจริงน่าเชื่อว่าจำเลยเข้าใจโดยสุจริตว่าที่ดินที่โจทก์สร้างอาคารชุดนั้นไม่ใช่ที่ดินของโจทก์ ทั้งยังปรากฏว่าสัญญาจะซื้อจะขายกรรมสิทธิ์ห้องชุดไม่ได้ประทับตราบริษัทโจทก์ นอกจากนี้พฤติการณ์การก่อสร้างอาคารของโจทก์ยังมีข้อพิรุธอื่น ๆ ที่ทำให้จำเลยเข้าใจผิดว่าโจทก์ฉ้อโกงจำเลย ดังนี้ตามพฤติการณ์น่าเชื่อว่าจำเลยใช้สิทธิทางศาลโดยสุจริตจำเลยหาได้จงใจหรือประมาทเลินเล่อทำโดยผิดกฎหมายให้โจทก์เสียหายไม่ การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์
การที่จำเลยให้ข่าวแก่หนังสือพิมพ์และโทรทัศน์ว่าจำเลยฟ้องโจทก์เป็นคดีอาญาในข้อหาฉ้อโกงนั้นเป็นการโต้ตอบโจทก์เนื่องจากโจทก์บอกเลิกสัญญาจะซื้อจะขาย ทั้งทวงเงินค่างวดและริบมัดจำด้วย การกระทำดังกล่าวจึงเป็นการกระทำการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย ไม่เป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3053/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องคดีอาญาและแพ่งโดยสุจริตจากข้อพิรุธในการซื้อขาย และการให้ข่าวเพื่อป้องกันตนเอง ไม่ถือเป็นการละเมิด
จำเลยทำสัญญาจะซื้อจะขายห้องชุด จากโจทก์ ต่อมาจำเลยฟ้องโจทก์กับพวกเป็นคดีอาญาในข้อหาฉ้อโกงว่าหลอกลวงให้จำเลยทำสัญญาจะซื้อจะขายและฟ้องต่อศาลแพ่งเรียกมัดจำคืน เมื่อข้อเท็จจริงน่าเชื่อว่าจำเลยเข้าใจโดยสุจริตว่าที่ดินที่โจทก์สร้างอาคารชุดนั้นไม่ใช่ที่ดินของโจทก์ ทั้งยังปรากฏว่าสัญญาจะซื้อจะขายกรรมสิทธิ์ห้องชุด ไม่ได้ประทับตราบริษัทโจทก์ นอกจากนี้พฤติการณ์การก่อสร้างอาคารของโจทก์ยังมีข้อพิรุธอื่น ๆ ที่ทำให้จำเลยเข้าใจผิดว่าโจทก์ฉ้อโกงจำเลย ดังนี้ตามพฤติการณ์น่าเชื่อว่าจำเลยใช้สิทธิทางศาลโดยสุจริตจำเลยหาได้จงใจหรือประมาทเลินเล่อทำโดยผิดกฎหมายให้โจทก์เสียหายไม่ การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์ การที่จำเลยให้ข่าวแก่หนังสือพิมพ์และโทรทัศน์ว่าจำเลยฟ้องโจทก์เป็นคดีอาญาในข้อหาฉ้อโกงนั้นเป็นการโต้ตอบ โจทก์ เนื่องจากโจทก์บอกเลิกสัญญาจะซื้อจะขาย ทั้งทวงเงินค่างวดและริบมัดจำด้วย การกระทำดังกล่าวจึงเป็นการกระทำการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายไม่เป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3052/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความประมาทในการขับรถและการประเมินความรับผิดชอบในอุบัติเหตุทางถนน
พ. ขับรถยนต์ด้วยความเร็ว 50 - 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แม้ไม่เกินอัตราตามที่กฎหมายกำหนด แต่ตรงที่เกิดเหตุมีทางแยกจะต้องขับรถให้ช้าลงกว่านี้อีก การที่ พ. ขับรถด้วยความเร็วดังกล่าวและขณะที่ขับรถมาใกล้จะถึงที่เกิดเหตุก็ได้เห็นรถที่จอดรออยู่ตรงเกาะกลางถนนแล้ว ก็น่าจะชะลอความเร็วของรถลงบ้างหรือมิฉะนั้นเมื่อเห็นมีรถซึ่งรออยู่ตรงเกาะกลางถนนแล่นตัดหน้าไปคันหนึ่งแล้ว ก็ควรห้ามล้อให้รถชะลอความเร็วลงได้ โดยไม่จำเป็นต้องหักรถหลบไปจนปีนเกาะกลางถนนดังนี้ถือได้ว่า พ. มีส่วนประมาทด้วย
คดีก่อนพนักงานอัยการฟ้อง พ. ว่าขับรถยนต์โดยประมาทตามพระราชบัญญัติจราจรทางบกฝ่ายเดียว จำเลยไม่ได้ถูกฟ้องด้วย ดังนี้แม้ในคดีดังกล่าวศาลจะวินิจฉัยว่าไม่อาจถือว่าพ. ขับรถโดยประมาทก็ตาม การพิพากษาคดีนี้ก็ไม่จำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีก่อน.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3052/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความประมาทในการขับรถ กรณีมีทางแยกและเห็นรถอื่น ศาลพิจารณาความเร็วและโอกาสชะลอรถ
พ. ขับรถยนต์ด้วยความเร็ว 50-60 กิโลเมตรต่อชั่วโมงแม้ไม่เกินอัตราตามที่กฎหมายกำหนด แต่ตรงที่เกิดเหตุมีทางแยกจะต้องขับรถให้ช้าลงกว่านี้อีก การที่ พ. ขับรถด้วยความเร็วดังกล่าวและขณะที่ขับรถมาใกล้จะถึงที่เกิดเหตุก็ได้เห็นรถที่จอดรออยู่ตรงเกาะกลางถนนแล้ว ก็น่าจะชะลอความเร็วของรถลงบ้างหรือมิฉะนั้นเมื่อเห็นมีรถซึ่งรออยู่ตรงเกาะกลางถนนแล่นตัดหน้าไปคันหนึ่งแล้ว ก็ควรห้ามล้อให้รถชะลอความเร็วลงได้ โดยไม่จำเป็นต้องหักรถหลบไปจนปีนเกาะกลางถนนดังนี้ถือได้ว่า พ. มีส่วนประมาทด้วย
คดีก่อนพนักงานอัยการฟ้อง พ. ว่าขับรถยนต์โดยประมาทตามพระราชบัญญัติจราจรทางบกฝ่ายเดียว จำเลยไม่ได้ถูกฟ้องด้วยดังนี้แม้ในคดีดังกล่าวศาลจะวินิจฉัยว่าไม่อาจถือว่าพ. ขับรถโดยประมาทก็ตาม การพิพากษาคดีนี้ก็ไม่จำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีก่อน.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3050/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองที่ดินโดยอาศัยสิทธิสัญญาจะซื้อขาย และการเปลี่ยนแปลงลักษณะการครอบครองที่ดิน
โจทก์ทำสัญญาจะขายที่ดินพิพาทให้จำเลยในราคา 30,000 บาทได้วางมัดจำในวันทำสัญญา 25,000 บาท จำเลยได้เข้าปลูกสร้างโรงเรือนและอาศัยอยู่ในที่พิพาทตลอดมาเป็นการเข้าครอบครองโดยอาศัยสิทธิตามสัญญาจะซื้อขาย จึงเป็นการยึดถือที่พิพาทแทนโจทก์มิใช่เป็นการยึดถือในฐานะเป็นเจ้าของ เมื่อโจทก์รังวัดแบ่งแยกที่ดินพิพาทให้จำเลยไม่ได้เพราะมีวัดคัดค้านการรังวัด โจทก์จึงคืนเงินให้จำเลยไปก่อน หากวัดตรวจสอบแล้วปรากฏว่าไม่ใช่ที่ของวัดจึงจะซื้อขายกันใหม่ ดังนั้นในช่วงนี้จึงจะถือว่าจำเลยแย่งการครอบครองที่พิพาทยังไม่ได้ แม้ภายหลังต่อมาจำเลยรื้อบ้านเดิม ซึ่งเป็นบ้านไม้และปลูกใหม่เป็นตึก ก็ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยได้บอกกล่าวเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถืออันเป็นการแย่งการครอบครองที่พิพาท คำขอของโจทก์ที่ว่าถ้า จำเลยไม่รื้อถอนให้บุคคลภายนอกเป็นผู้รื้อถอนโดยให้จำเลยเสียค่าใช้จ่ายในการรื้อถอนนั้น ไม่ชอบตามบทบัญญัติมาตรา 296 ทวิ แห่ง ป.วิ.พ. ชอบที่โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาจะยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อให้เจ้าพนักงานบังคับคดีปฏิบัติไปตามบทบัญญัติดังกล่าว.
of 481