คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.พ.พ. ม. 420

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 4,810 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2289/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ จำเลยต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายจากความประมาทเลินเล่อในการเสริมถนนและไม่แก้ไขป้ายความสูงสะพาน
น. ขับรถบรรทุกของโจทก์ผู้เป็นนายจ้างบรรทุกลัง คอนเทนเนอร์ของบริษัท ช. ซึ่งรวมกับความสูงของรถบรรทุกแล้ว สูง 4.90 เมตรมาตามถนนราชปรารภมุ่งหน้าไปรังสิต เมื่อจะลอดใต้ สะพานลอยสำหรับให้คนข้ามถนนที่จำเลยสร้างขึ้นและติดป้ายแสดงความสูงว่า 5 เมตรแต่ความจริงส่วนที่ใกล้เกาะกลางถนนมีความสูงจากพื้นถนน 4.90 เมตรน. ให้ ท. คนท้ายรถลงจากรถไปคอยดู ว่ารถจะแล่นลอดใต้ สะพานไปได้หรือไม่ แล้ว น. ขับรถไปช้า ๆ ตามคำสั่งของ ท.เมื่อท.บอกให้หยุด น. ได้เหยียบห้ามล้อหยุดรถทันที แต่แรงเฉื่อย ของสินค้าที่บรรทุกหนักทำให้รถแล่นไปอีกและส่วนสูงสุดของสินค้าเฉี่ยว ชนคานสะพานลอยสินค้าที่โจทก์รับจ้างบรรทุกมาเสียหาย การกระทำดังกล่าวเป็นการใช้ความระมัดระวังแล้ว การที่จำเลยได้ทำการเสริมถนนให้เป็นหลังเต่า สูงขึ้นกว่าเดิม เพื่อป้องกันน้ำท่วมทำให้ความสูงของสะพานลอยน้อยกว่า 5 เมตร และจำเลยไม่ได้เปลี่ยนป้ายบอกความสูงของสะพานที่เกิดเหตุให้ตรงกับความเป็นจริง ทำให้ น. เชื่อ ว่าสะพานนั้นมีความสูง 5 เมตร ตามที่ปิดป้ายบอกไว้เช่น สะพานลอย6 สะพานที่ น. ขับลอด ผ่านมาแล้ว การกระทำของจำเลยเป็นการประมาทเลินเล่อจำเลยจึงต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ผู้รับช่วงสิทธิจากบริษัท ช. การที่ น. มิได้ขับรถในช่องทางเดินรถด้านซ้าย ซึ่งติดกับขอบทางเท้าแต่ขับคร่อมเส้นแบ่งครึ่งช่องทางเดินรถช่องซ้าย และช่องขวาและบรรทุกสินค้าสูงกว่า 3 เมตร จากพื้นถนนโดยมิได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานจราจร อันเป็นการฝ่าฝืนกฎกระทรวงมหาดไทย ฉบับที่ 4(พ.ศ. 2522) ข้อ 1(3) ซึ่งออกตามความใน พ.ร.บ. จราจรทางบกพ.ศ. 2522 จนเป็นเหตุให้เกิดชนคานใต้ สะพานลอยนั้นเป็นเพียงความผิดตาม พ.ร.บ. จราจรทางบกซึ่งมิได้เป็นผลโดยตรงที่ก่อให้เกิดการละเมิดดังกล่าว และรถบรรทุกสิ่งของอาจจะบรรทุกสิ่งของสูงเกินกว่า 3 เมตรได้หากได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ การที่โจทก์ใช้รถบรรทุกคอนเทนเนอร์สูงเกินกว่า 3 เมตร จึงมิได้เป็นการฝ่าฝืนข้อห้ามของกฎหมายที่บัญญัติห้ามโดยเด็ดขาด โจทก์จึงมิได้ประมาทเลินเล่อแต่อย่างใด.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2289/2530 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ จำเลยต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายจากความประมาทเลินเล่อในการบำรุงรักษาสะพาน ทำให้ผู้ขับขี่ได้รับความเสียหาย
น.ขับรถบรรทุกของโจทก์ผู้เป็นนายจ้างบรรทุกลังคอนเทนเนอร์ของบริษัท ช. ซึ่งรวมกับความสูงของรถบรรทุกแล้ว สูง 4.90 เมตร มาตามถนนราชปรารถมุ่งหน้าไปรังสิต เมื่อจะลอดใต้สะพานลอยสำหรับให้คนข้ามถนนที่จำเลยสร้างขึ้นและติดป้ายแสดงความสูงว่า 5 เมตร แต่ความจริงส่วนที่ใกล้เกาะกลางถนนมีความสูงจากพื้นถนน 4.90 เมตร น. ให้ ท. คนท้ายรถลงจากรถไปคอยดูว่ารถจะแล่นลอดใต้สะพานไปได้หรือไม่แล้ว น.ขับรถไปช้า ๆ ตามคำสั่งของ ท.เมื่อ ท.บอกให้หยุด น.ได้เหยียบห้ามล้อหยุดรถทันที แต่แรงเฉื่อยของสินค้าที่บรรทุกหนักทำให้รถแล่นไปอีกและส่วนสูงสุดของสินค้าเฉี่ยวชนคานสะพานลอยสินค้าที่โจทก์รับจ้างบรรทุกมาเสียหาย การกระทำดังกล่าวเป็นการใช้ความระมัดระวังแล้ว การที่จำเลยได้ทำการเสริมถนนให้เป็นหลังเต่าสูงขึ้นกว่าเดิมเพื่อป้องกันน้ำท่วมทำให้ความสูงของสะพานลอยน้อยกว่า 5 เมตร และจำเลยไม่ได้เปลี่ยนป้ายบอกความสูงของสะพานที่เกิดเหตุให้ตรงกับความเป็นจริง ทำให้ น.เชื่อว่าสะพานนั้นมีความสูง 5 เมตร ตามที่ปิดป้ายบอกไว้ เช่น สะพานลอย 6 สะพานที่ น.ขับลอดผ่านมาแล้ว การกระทำของจำเลยเป็นการประมาทเลินเล่อจำเลยจึงต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ผู้รับช่วงสิทธิจากบริษัท ข.
การที่ น.มิได้ขับรถในช่องทางเดินรถด้านซ้ายซึ่งติดกับขอบทางเท้าแต่ขับคร่อมเส้นแบ่งครึ่งช่องทางเดินรถช่องซ้ายและช่องขวาและบรรทุกสินค้าสูงกว่า 3 เมตร จากพื้นถนนโดยมิได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานจราจร อันเป็นการฝ่าฝืนกฎกระทรวงมหาดไทยฉบับที่ 4 (พ.ศ. 2522) ข้อ 1 (3) ซึ่งออกตามความในพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 จนเป็นเหตุให้เกิดชนคานใต้สะพานลอยนั้นเป็นเพียงความผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบกซึ่งมิได้เป็นผลโดยตรงที่ก่อให้เกิดการละเมิดดังกล่าว และรถบรรทุกสิ่งของอาจจะบรรทุกสิ่งของสูงเกินกว่า 3 เมตร ได้หากได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ การที่โจทก์ใช้รถบรรทุกคอนเทนเนอร์สูงเกินกว่า 3 เมตร จึงมิได้เป็นการฝ่าฝืนข้อห้ามของกฎหมายที่บัญญัติห้ามโดยเด็ดขาด โจทก์จึงมิได้ประมาทเลินเล่อแต่อย่างใด.(วินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 6/2530 ทั้งสองวรรค)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2289/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดทางละเมิดจากความบกพร่องของเจ้าหน้าที่รัฐในการดูแลรักษาความปลอดภัยทางถนน และการประเมินความประมาทของผู้ขับขี่
น.ขับรถบรรทุกของโจทก์ผู้เป็นนายจ้างบรรทุกลังคอนเทนเนอร์ของบริษัท ช.ซึ่งรวมกับความสูงของรถบรรทุกแล้ว สูง 4.90 เมตรมาตามถนนราชปรารถมุ่งหน้าไปรังสิต เมื่อจะลอดใต้สะพานลอยสำหรับให้คนข้ามถนนที่จำเลยสร้างขึ้นและติดป้ายแสดงความสูงว่า5 เมตร แต่ความจริงส่วนที่ใกล้เกาะกลางถนนมีความสูงจากพื้นถนน 4.90 เมตร น. ให้ ท. คนท้ายรถลงจากรถไปคอยดูว่ารถจะแล่นลอดใต้สะพานไปได้หรือไม่แล้ว น.ขับรถไปช้า ๆ ตามคำสั่งของ ท.เมื่อ ท.บอกให้หยุด น.ได้เหยียบห้ามล้อหยุดรถทันที แต่แรงเฉื่อยของสินค้าที่บรรทุกหนักทำให้รถแล่นไปอีกและส่วนสูงสุดของสินค้าเฉี่ยวชนคานสะพานลอยสินค้าที่โจทก์รับจ้างบรรทุกมาเสียหาย การกระทำดังกล่าวเป็นการใช้ความระมัดระวังแล้ว การที่จำเลยได้ทำการเสริมถนนให้เป็นหลังเต่าสูงขึ้นกว่าเดิมเพื่อป้องกันน้ำท่วมทำให้ความสูงของสะพานลอยน้อยกว่า 5 เมตร และจำเลยไม่ได้เปลี่ยนป้ายบอกความสูงของสะพานที่เกิดเหตุให้ตรงกับความเป็นจริง ทำให้ น.เชื่อว่าสะพานนั้นมีความสูง 5 เมตร ตามที่ปิดป้ายบอกไว้ เช่น สะพานลอย 6 สะพานที่ น.ขับลอดผ่านมาแล้ว การกระทำของจำเลยเป็นการประมาทเลินเล่อจำเลยจึงต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ผู้รับช่วงสิทธิจากบริษัท ข.
การที่ น.มิได้ขับรถในช่องทางเดินรถด้านซ้ายซึ่งติดกับขอบทางเท้าแต่ขับคร่อมเส้นแบ่งครึ่งช่องทางเดินรถช่องซ้ายและช่องขวาและบรรทุกสินค้าสูงกว่า 3 เมตร จากพื้นถนนโดยมิได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานจราจร อันเป็นการฝ่าฝืนกฎกระทรวงมหาดไทยฉบับที่ 4(พ.ศ. 2522) ข้อ 1(3) ซึ่งออกตามความในพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 จนเป็นเหตุให้เกิดชนคานใต้สะพานลอยนั้นเป็นเพียงความผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบกซึ่งมิได้เป็นผลโดยตรงที่ก่อให้เกิดการละเมิดดังกล่าว และรถบรรทุกสิ่งของอาจจะบรรทุกสิ่งของสูงเกินกว่า 3 เมตร ได้หากได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ การที่โจทก์ใช้รถบรรทุกคอนเทนเนอร์สูงเกินกว่า 3 เมตร จึงมิได้เป็นการฝ่าฝืนข้อห้ามของกฎหมายที่บัญญัติห้ามโดยเด็ดขาด โจทก์จึงมิได้ประมาทเลินเล่อแต่อย่างใด.(วินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 6/2530 ทั้งสองวรรค)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2231/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำฟ้องไม่เคลือบคลุมเมื่อพิจารณารวมเอกสารท้ายฟ้อง สิทธิโจทก์เกิดจากการเช่านาที่กฎหมายคุ้มครอง การทำถนนละเมิดสิทธิ
การที่โจทก์บรรยายฟ้องอ้างเอกสารหมายเลข 3 ซึ่งที่ถูกเป็นเอกสารหมายเลข 2 นั้น ศาลย่อมมีอำนาจวินิจฉัยถึงเอกสารฉบับที่ถูกต้องได้และเมื่อได้ความตามคำฟ้องว่าสิทธิของโจทก์ในที่ดินตามฟ้องเกิดจากการเช่านาซึ่งมีกฎหมายว่าด้วยการเช่าที่ดินเพื่อการเกษตรกรรมคุ้มครอง จำเลยกระทำละเมิดต่อโจทก์โดยเข้าไปทำถนนในที่ดินซึ่งโจทก์เช่า ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายทำนาตามปกติไม่ได้ คำฟ้องนั้นจึงเป็นคำฟ้องที่แสดงโดยชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์และคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 แล้ว
เอกสารท้ายคำฟ้องทุกฉบับย่อมเป็นส่วนหนึ่งของฟ้อง และการวินิจฉัยว่าคำฟ้องใดเคลือบคลุมหรือไม่ ต้องพิจารณาคำฟ้องรวมกันทั้งฉบับ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2231/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำฟ้องเคลือบคลุมหรือไม่ พิจารณาจากเอกสารท้ายฟ้องและเนื้อหาโดยรวม
การที่โจทก์บรรยายฟ้องอ้างเอกสารหมายเลข 3 ซึ่งที่ถูกเป็นเอกสารหมายเลข 2 นั้น ศาลย่อมมีอำนาจวินิจฉัยถึงเอกสารฉบับที่ถูกต้องได้และเมื่อได้ความตามคำฟ้องว่าสิทธิของโจทก์ในที่ดินตามฟ้องเกิดจากการเช่านาซึ่งมีกฎหมายว่าด้วยการเช่าที่ดินเพื่อการเกษตรกรรมคุ้มครอง จำเลยกระทำละเมิดต่อโจทก์โดยเข้าไปทำถนนในที่ดินซึ่งโจทก์เช่า ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายทำนาตามปกติไม่ได้ คำฟ้องนั้นจึงเป็นคำฟ้องที่แสดงโดยชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์และคำขอบังคับทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 แล้ว
เอกสารท้ายคำฟ้องทุกฉบับย่อมเป็นส่วนหนึ่งของฟ้อง และการวินิจฉัยว่าคำฟ้องใดเคลือบคลุมหรือไม่ ต้องพิจารณาคำฟ้องรวมกันทั้งฉบับ.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2121/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิภาระจำยอมโดยการใช้ทางต่อเนื่องเกิน 10 ปี และข้อตกลงยินยอมใช้ทาง
โจทก์ซื้อที่ดินของจำเลยทางด้านทิศใต้ใช้ปลูกบ้าน โดยจำเลยตกลงยอมให้โจทก์ใช้ทางพิพาทในที่ดินจำเลยเดินผ่านเข้าออกสู่ทางสาธารณะที่อยู่ทางทิศเหนือ ต่อมาโจทก์แจ้งให้จำเลยไปจดทะเบียนทางภาระจำยอมให้โจทก์จำเลยไปขอจดทะเบียนทางภาระจำยอมแล้ว แต่ภรรยาจำเลยคัดค้านจึงจดทะเบียนไม่ได้ ถือได้ว่าโจทก์ใช้ทางพิพาทเป็นทางเดิน โดยถือว่าตนมีสิทธิใช้ตลอดไปไม่ใช่ใช้อย่างถือวิสาสะอาศัยสิทธิของจำเลย เมื่อใช้ทางเดินเกิน 10 ปี โจทก์ย่อมได้สิทธิภาระจำยอม จำเลยสร้างรั้วปิดกั้นทางดังกล่าว จึงเป็นการละเมิดโจทก์
คำฟ้องมีข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาว่าจำเลยตกลงยอมให้โจทก์เดินผ่านทางพิพาทในที่ดินของจำเลยจนกลายเป็นภาระจำยอมที่ได้มาโดยอายุความเนื่องจากโจทก์ถือสิทธิใช้ทางพิพาทเป็นปรปักษ์ต่อจำเลย แต่จำเลยไม่ได้ให้การถึงข้อตกลงดังกล่าว ฎีกาของจำเลยที่ว่าข้อตกลงข้างต้นไม่ได้ทำหลักฐานเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ไม่บริบูรณ์ โจทก์ไม่อาจฟ้องขอให้บังคับจำเลยจดทะเบียนเป็นทางภาระจำยอมได้นั้น จึงไม่ใช่ข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2121/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การได้มาซึ่งภาระจำยอมโดยการใช้ทางต่อเนื่องเกิน 10 ปี และการยินยอมของเจ้าของที่ดิน
โจทก์ซื้อที่ดินของจำเลยทางด้านทิศใต้ใช้ปลูกบ้าน โดยจำเลยตกลงยอมให้โจทก์ใช้ทางพิพาทในที่ดินจำเลยเดินผ่านเข้าออกสู่ทางสาธารณะที่อยู่ทางทิศเหนือ ต่อมาโจทก์แจ้งให้จำเลยไปจดทะเบียนทางภาระจำยอมให้โจทก์จำเลยไปขอจดทะเบียนทางภาระจำยอมแล้ว แต่ภรรยาจำเลยคัดค้านจึงจดทะเบียนไม่ได้ ถือได้ว่าโจทก์ใช้ทางพิพาทเป็นทางเดิน โดยถือว่าตนมีสิทธิใช้ตลอดไปไม่ใช่ใช้อย่างถือวิสาสะอาศัยสิทธิของจำเลย เมื่อใช้ทางเดินเกิน 10 ปี โจทก์ย่อมได้สิทธิภาระจำยอม จำเลยสร้างรั้วปิดกั้นทางดังกล่าว จึงเป็นการละเมิดโจทก์
คำฟ้องมีข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาว่าจำเลยตกลงยอมให้โจทก์เดินผ่านทางพิพาทในที่ดินของจำเลยจนกลายเป็นภาระจำยอมที่ได้มาโดยอายุความเนื่องจากโจทก์ถือสิทธิใช้ทางพิพาทเป็นปรปักษ์ต่อจำเลย แต่จำเลยไม่ได้ให้การถึงข้อตกลงดังกล่าว ฎีกาของจำเลยที่ว่าข้อตกลงข้างต้นไม่ได้ทำหลักฐานเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ไม่บริบูรณ์ โจทก์ไม่อาจฟ้องขอให้บังคับจำเลยจดทะเบียนเป็นทางภาระจำยอมได้นั้น จึงไม่ใช่ข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2022/2530 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาประกันภัยรถยนต์ครอบคลุมถึงส่วนประกอบที่จำเป็น เช่น สาลี่ที่ใช้ในการบรรทุก หากส่วนประกอบนั้นหลุดทำให้เกิดความเสียหาย ผู้รับประกันภัยต้องรับผิดชอบ
จำเลยที่ 3 รับประกันรถยนต์บรรทุกของจำเลยที่ 1 ไว้รถยนต์บรรทุกของจำเลยที่ 1 จำเป็นต้องพ่วงสาลี่เพื่อความสะดวกในการบรรทุกของสาลี่ที่พ่วงอยู่กับรถยนต์บรรทุกย่อมถือเป็นส่วนหนึ่งของรถยนต์บรรทุกด้วย เมื่อสาลี่ของรถยนต์บรรทุกที่จำเลยที่ 3 รับประกันเลื่อนหลุดมาทำให้รถยนต์ผู้อื่นเสียหายจำเลยที่ 3 จะอ้างว่าไม่ได้รับประกันสาลี่ด้วยเพื่อให้พ้นจากความรับผิดตามสัญญาประกันภัยหาได้ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2022/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาประกันภัยครอบคลุมถึงส่วนประกอบที่จำเป็นของรถยนต์ แม้ไม่ได้ระบุชัดเจน การหลุดของสาลี่ถือเป็นความเสียหายที่ประกันภัยคุ้มครอง
จำเลยที่ 3 รับประกันรถยนต์บรรทุกของจำเลยที่ 1 ไว้รถยนต์บรรทุกของจำเลยที่ 1 จำเป็นต้องพ่วงสาลี่เพื่อความสะดวกในการบรรทุกของสาลี่ที่พ่วงอยู่กับรถยนต์บรรทุกย่อมถือเป็นส่วนหนึ่งของรถยนต์บรรทุกด้วย เมื่อสาลี่ของรถยนต์บรรทุกที่จำเลยที่ 3 รับประกันเลื่อนหลุดมาทำให้รถยนต์ผู้อื่นเสียหายจำเลยที่ 3 จะอ้างว่าไม่ได้รับประกันสาลี่ด้วยเพื่อให้พ้นจากความรับผิดตามสัญญาประกันภัยหาได้ไม่.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1805/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ จำเลยไม่ต้องรับผิดละเมิดจากการคืนโฉนดที่ดินตามสัญญาจำนอง แม้โจทก์จะร้องขอให้รอไว้ก่อน
ร.เป็นหนี้เงินกู้เบิกเกินบัญชีธนาคารจำเลยที่1ร.ตกลงกับโจทก์ว่าหากโจทก์ชำระหนี้ของ ร.ให้แก่จำเลยที่ 1 ครบถ้วนร.จะโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 30052 พร้อมสิ่งปลูกสร้างซึ่งจำนองไว้กับจำเลยที่ 1 ให้โจทก์ทันทีต่อมาโจทก์ชำระหนี้แทน ร.ครบถ้วนแล้ว โจทก์มีหนังสือถึงจำเลยที่ 1ว่า ขออย่าได้มอบโฉนดที่ดินให้ ร.ไปจนกว่าจะได้รับความยินยอมจากโจทก์ ดังนี้เป็นหน้าที่ของ ร. ที่จะต้องปฏิบัติตามข้อตกลงนั้น แม้ข้อตกลงนี้จะทำขึ้นที่ธนาคารจำเลยที่ 1โดยมีจำเลยที่ 2 เป็นผู้จัดการสาขาและเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 1 ลงชื่อเป็นพยาน แต่ข้อตกลงระหว่างโจทก์กับ ร. หาผูกพันจำเลยทั้งสามให้มีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามไม่ ส่วนที่โจทก์ชำระหนี้ให้แก่จำเลยที่ 1 ก็เป็นการชำระในนาม ร. ซึ่งก็เป็นไปตามข้อตกลงระหว่างโจทก์กับ ร. การที่จำเลยที่ 2ที่ 3 ในฐานะลูกจ้างของจำเลยที่ 1 มอบโฉนดที่ดินคืนให้แก่ร. เพื่อไปไถ่ถอนจำนอง จึงเป็นการปฏิบัติให้เป็นไปตามสัญญาจำนองโดยชอบแม้การคืนโฉนดที่ดินจะมิได้รับความยินยอมจากโจทก์ก็ถือไม่ได้ว่าเป็นการจงใจทำต่อโจทก์โดยผิดกฎหมายและให้โจทก์เสียหาย จำเลยทั้งสามจึงไม่ต้องรับผิดฐานกระทำละเมิดต่อโจทก์.
of 481