พบผลลัพธ์ทั้งหมด 4,810 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1968-1969/2529 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้อนและอายุความมรดก: ศาลพิพากษายืน ฟ้องขับไล่ไม่ขาดอายุความ
โจทก์ที่ 1 และโจทก์ที่ 2 เป็นเจ้าของที่ดินแปลงเดียวกันโดยยังมิได้แบ่งแยกเป็นหลายโฉนดเพราะอยู่ในระหว่างการรังวัดแบ่งแยกของเจ้าพนักงานที่ดินเท่านั้น โจทก์ที่ 1 จึงฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินพิพาทส่วนที่เป็นของโจทก์ที่ 1 ต่อมาเจ้าพนักงานที่ดินได้แบ่งแยกออกโฉนดที่ดินส่วนของโจทก์ที่ 2 ให้แก่โจทก์ที่ 2 ปรากฏว่าที่พิพาทและบ้านของจำเลยส่วนใหญ่อยู่ในที่ดินของโจทก์ที่ 2 โจทก์ที่ 2 จึงฟ้องจำเลยหลังจากได้รับโฉนดที่ดินมาแล้วและปรากฏว่าที่พิพาทบางส่วนอยู่ในโฉนดของโจทก์ที่ 1 บางส่วนอยู่ในโฉนดของโจทก์ที่ 2 โจทก์ทั้งสองต่างมีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลยได้ฟ้องของโจทก์ที่ 2 จึงไม่เป็นฟ้องซ้อนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173
โจทก์ที่ 2 ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่พิพาท ซึ่งเป็นมรดกตกทอดมายังโจทก์ที่ 2 ตามพินัยกรรมและเรียกค่าเสียหายที่จำเลยอยู่ในที่พิพาทของโจทก์ที่ 2 โดยละเมิด กรณีมิใช่ฟ้องเรียกที่พิพาทตามข้อกำหนดในพินัยกรรม ทั้งจำเลยก็มิใช่บุคคลที่จะยกอายุความ 1 ปีขึ้นต่อสู้ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา1755 แม้โจทก์ที่ 2 จะฟ้องคดีเกิน 1 ปี หลังจากเจ้ามรดกถึงแก่กรรมคดีของโจทก์ที่ 2 ก็ไม่ขาดอายุความ
โจทก์ที่ 2 ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่พิพาท ซึ่งเป็นมรดกตกทอดมายังโจทก์ที่ 2 ตามพินัยกรรมและเรียกค่าเสียหายที่จำเลยอยู่ในที่พิพาทของโจทก์ที่ 2 โดยละเมิด กรณีมิใช่ฟ้องเรียกที่พิพาทตามข้อกำหนดในพินัยกรรม ทั้งจำเลยก็มิใช่บุคคลที่จะยกอายุความ 1 ปีขึ้นต่อสู้ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา1755 แม้โจทก์ที่ 2 จะฟ้องคดีเกิน 1 ปี หลังจากเจ้ามรดกถึงแก่กรรมคดีของโจทก์ที่ 2 ก็ไม่ขาดอายุความ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1824/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เหตุสุดวิสัยกับการรับผิดทางละเมิด: ข้อเท็จจริงในคดีอาญาผูกพันคดีแพ่ง
ศาลพิพากษาในคดีอาญาว่าเหตุที่เกิดขึ้นเป็นเพราะเหตุสุดวิสัยไม่ใช่เพราะความประมาทของจำเลยที่1เช่นนี้โจทก์ที่1และโจทก์ที่2ซึ่งเป็นผู้เสียหายในคดีอาญาดังกล่าวจึงต้องถูกผูกพันด้วยศาลจำต้องฟังในคดีแพ่งว่าจำเลยที่1มิได้ประมาทเลินเล่อจำเลยทั้งสองจึงไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ที่1และโจทก์ที่2.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1744-1746/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความประมาทเลินเล่อของทั้งสองฝ่าย (รถบรรทุกลากจูงและรถโดยสาร) และการร่วมรับผิดต่อผู้โดยสาร
จำเลยที่ 1 ขับรถโดยสารด้วยความเร็วสูงแซงขึ้นหน้ารถคันอื่นไปชนรถท้ายรถบรรทุกลากจูงที่จำเลยที่ 4 เป็นผู้ควบคุมและจอดล้ำออกมาโดยไม่ได้เปิดไฟ ย่อมเป็นความประมาทเลินเล่อของทั้งสองฝ่ายไม่ยิ่งหย่อนกว่ากันความรับผิดระหว่างฝ่ายรถลากจูงและรถโดยสารจึงเป็นพับกันไป แต่ทั้งสองฝ่ายต้องร่วมรับผิดต่อโจทก์ซึ่งโดยสารมาในรถประจำทาง เมื่อโจทก์มิได้ฟ้องฝ่ายรถลากจูงให้ร่วมรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทน และมิได้ฎีกาขอให้กำหนดค่าสินไหมทดแทนสูงขึ้นฝ่ายรถโดยสารควรรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์กึ่งหนึ่งของที่ศาลอุทธรณ์กำหนด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1647/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การโอนสิทธิในรถยนต์หลังซื้อขายและอำนาจฟ้องคดีค่าเสียหายจากอุบัติเหตุทางรถยนต์
โจทก์ที่ 1 ขอซื้อรถยนต์จากบริษัท ส.โดยมีข้อสัญญาไม่ให้โจทก์ที่ 1 จำหน่ายจ่ายโอนหรือให้ผู้อื่นครอบครองใช้รถยนต์คันนั้น ต่อมาโจทก์ที่ 1 ขายรถยนต์คันดังกล่าวให้แก่โจทก์ที่ 2 โดยบริษัท ส. ก็ทราบและไม่ถือเป็นเหตุเลิกสัญญากับโจทก์ที่ 1 คงรับเงินค่างวดรถจากโจทก์ที่ 1 ตลอดมา เมื่อโจทก์ที่ 1 ขายรถให้โจทก์ที่ 2 แล้วก็ได้ส่งมอบการครอบครองให้โจทก์ที่ 2 ใช้ประโยชน์ในรถคันดังกล่าว จึงต้องถือว่าโจทก์ที่ 2 รับโอนรถคันพิพาทมาโดยชอบ โจทก์ที่ 2 จึงเป็นผู้เสียหายมีสิทธิฟ้องเรียกค่าเสียหายจากผู้กระทำละเมิดทำให้รถเสียหายได้
ทางพิจารณาไม่ปรากฏว่าทรัพย์พิพาทตามฟ้องเป็นสินสมรสและจะสันนิษฐานว่าเป็นสินสมรสตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา1474 ก็ไม่ได้ เพราะไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่า โจทก์ที่ 2 ได้จดทะเบียนสมรสหรือไม่ จึงยังฟังไม่ได้ว่าโจทก์ที่ 2 มีภริยาโดยชอบด้วยกฎหมาย โจทก์ที่ 2 จึงมีอำนาจฟ้องคดีเกี่ยวกับทรัพย์พิพาท
ทางพิจารณาไม่ปรากฏว่าทรัพย์พิพาทตามฟ้องเป็นสินสมรสและจะสันนิษฐานว่าเป็นสินสมรสตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา1474 ก็ไม่ได้ เพราะไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่า โจทก์ที่ 2 ได้จดทะเบียนสมรสหรือไม่ จึงยังฟังไม่ได้ว่าโจทก์ที่ 2 มีภริยาโดยชอบด้วยกฎหมาย โจทก์ที่ 2 จึงมีอำนาจฟ้องคดีเกี่ยวกับทรัพย์พิพาท
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1601-1903/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิของผู้เอาประกันภัยในการเลือกซ่อมรถยนต์ และการใช้สิทธิทางกฎหมายควบคู่กับการเรียกร้องตามสัญญา
ตามสัญญาประกันภัยมีเงื่อนไขระบุว่า เมื่อรถยนต์ที่เอาประกันภัยไว้เกิดความเสียหาย ผู้รับประกันภัยมีสิทธิซ่อมเปลี่ยนหรือใช้รถยนต์สภาพเดียวกันนั้น ผู้รับประกันภัยจะต้องเลือกซ่อมโดยช่างซ่อมที่มีฝีมือด้วย การที่ผู้เอาประกันภัยไม่ยอมส่งมอบรถยนต์ให้ซ่อมเพราะยังไม่พอใจว่าช่างซ่อมของผู้รับประกันภัยจะซ่อมรถได้ดีหรือไม่ และไม่ปรากฏว่าผู้เอาประกันภัยจะไม่ส่งมอบรถยนต์ให้ผู้รับประกันภัยโดยเด็ดขาด จึงถือไม่ได้ว่าผู้เอาประกันภัยผิดเงื่อนไขในสัญญา
การที่ผู้เอาประกันภัยฟ้องเรียกค่าเสียหายจากผู้ที่อ้างว่าทำละเมิดนั้น เป็นการใช้สิทธิตามกฎหมายของผู้เอาประกันภัย จะถือว่าผู้เอาประกันภัยสละสิทธิที่จะให้ผู้รับประกันภัยปฏิบัติตามสัญญาหาได้ไม่
การที่ผู้เอาประกันภัยฟ้องเรียกค่าเสียหายจากผู้ที่อ้างว่าทำละเมิดนั้น เป็นการใช้สิทธิตามกฎหมายของผู้เอาประกันภัย จะถือว่าผู้เอาประกันภัยสละสิทธิที่จะให้ผู้รับประกันภัยปฏิบัติตามสัญญาหาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1552/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรุกล้ำทางเดินเท้าและการสร้างสะพานลอยที่ไม่ก่อให้เกิดความเดือดร้อนรำคาญเป็นพิเศษ เจ้าของที่ดินไม่มีสิทธิเรียกร้อง
การที่จำเลยที่1สร้างสะพานลอยลงบนทางเดินเท้าหน้าที่ดินของโจทก์ซึ่งตั้งอยู่ริมถนนเพชรบุรีตัดใหม่โดยที่ดินแปลงนี้โจทก์ซื้อมาเป็นเวลาเกือบ20ปีและไม่ได้ปรับปรุงพัฒนาใช้ประโยชน์แต่อย่างใดคงปล่อยให้มีสภาพเป็นที่ว่างเปล่ามีต้นไม้และวัชชพืชขึ้นปกคลุมโครงสร้างอาคารตึกแถวที่ทิ้งร้างไว้ตั้งแต่ตอนโจทก์ซื้อมาทั้งๆที่บริเวณดังกล่าวเป็นย่านธุรกิจการค้าแวดล้อมไปด้วยอาคารพาณิชย์นอกจากนี้จำเลยที่1ยังได้กำหนดโครงสร้างของบันไดสะพานในหน้าที่ดินของโจทก์เป็นบันไดพับเพื่อมิให้ติดขัดในการเข้าออกที่ดินของโจทก์อันเป็นการแสดงว่าจำเลยที่1ได้พยายามให้เกิดความเดือดร้อนเสียหายแก่โจทก์น้อยที่สุดจึงถือว่าโจทก์มิได้รับความเดือดร้อนรำคาญเป็นพิเศษอันที่จะห้ามมิให้จำเลยที่1กับพวกงดเว้นการก่อสร้างสะพานดังกล่าวได้.(ที่มา-ส่งเสริมฯ)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1552/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรุกล้ำทางเดินเท้าและผลกระทบต่อเจ้าของที่ดิน การสร้างสะพานต้องพิจารณาความเดือดร้อนที่สมเหตุสมผล
การที่จำเลยที่1สร้างสะพานลอยลงบนทางเดินเท้าหน้าที่ดินของโจทก์ซึ่งตั้งอยู่ริมถนนเพชรบุรีตัดใหม่โดยที่ดินแปลงนี้โจทก์ซื้อมาเป็นเวลาเกือบ20ปีและไม่ได้ปรับปรุงพัฒนาใช้ประโยชน์แต่อย่างใดคงปล่อยให้มีสภาพเป็นที่ว่างเปล่ามีต้นไม้และวัชชพืชขึ้นปกคลุมโครงสร้างอาคารตึกแถวที่ทิ้งร้างไว้ตั้งแต่ตอนโจทก์ซื้อมาทั้งๆที่บริเวณดังกล่าวเป็นย่านธุรกิจการค้าแวดล้อมไปด้วยอาคารพาณิชย์นอกจากนี้จำเลยที่1ยังได้กำหนดโครงสร้างของบันไดสะพานในหน้าที่ดินของโจทก์เป็นบันไดพับ เพื่อมิให้ติดขัดในการเข้าออกที่ดินของโจทก์อันเป็นการแสดงว่าจำเลยที่1ได้พยายามให้เกิดความเดือดร้อนเสียหายแก่โจทก์น้อยที่สุดจึงถือว่าโจทก์มิได้รับความเดือดร้อนรำคาญเป็นพิเศษอันที่จะห้ามมิให้จำเลยที่1กับพวกงดเว้นการก่อสร้างสะพานดังกล่าวได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1498-1499/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอุทิศที่ดินให้เป็นทางสาธารณะโดยปริยาย การปิดกั้นทางสาธารณะ และสิทธิในการป้องกันความเสียหาย
การที่เจ้าของที่ดินยอมให้โจทก์และประชาชนทั่วไปใช้ทางพิพาทสัญจรไปมาเป็นเวลาช้านานหลายสิบปีเช่นนี้ ย่อมถือได้ว่าเจ้าของที่ดินได้อุทิศที่ดินดังกล่าวให้เป็นทางสาธารณะโดยปริยายแล้ว
ทางพิพาทเป็นทางสาธารณะ จำเลยปิดกั้น โจทก์ที่ 1 ที่ 2 ที่ ใช้รถยนต์ผ่านเข้าออกไม่ได้ โจทก์ที่ 1 ที่ 2 ที่ 4 ย่อมได้รับความเสียหาย
เมื่อจำเลยที่ 6 ทำรั้วปิดกั้นทางพิพาทซึ่งเป็นทางสาธารณะเป็นเหตุให้โจทก์ที่ 2 ใช้ทางพิพาทเข้าออกบ้านของโจทก์ที่ 2 ไม่ได้ ก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ที่ 2 ใช้ทางพิพาทเข้าออกบ้านของโจทก์ที่ 2 ไม่ได้ ก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ที่ 2 การที่โจทก์ที่ 2 รื้อรั้วที่จำเลยที่ 6 ปิดกั้นออก เพื่อจะได้ใช้ทางพิพาทต่อไป จึงเป็นการกระทำเพื่อป้องกันความเสียหายโดยชอบด้วยกฎหมายแม้จะก่อให้เกิดความเสียหายแก่จำเลยที่ 6 โจทก์ที่ 2 ก็ไม่ต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทน
ทางพิพาทเป็นทางสาธารณะ จำเลยปิดกั้น โจทก์ที่ 1 ที่ 2 ที่ ใช้รถยนต์ผ่านเข้าออกไม่ได้ โจทก์ที่ 1 ที่ 2 ที่ 4 ย่อมได้รับความเสียหาย
เมื่อจำเลยที่ 6 ทำรั้วปิดกั้นทางพิพาทซึ่งเป็นทางสาธารณะเป็นเหตุให้โจทก์ที่ 2 ใช้ทางพิพาทเข้าออกบ้านของโจทก์ที่ 2 ไม่ได้ ก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ที่ 2 ใช้ทางพิพาทเข้าออกบ้านของโจทก์ที่ 2 ไม่ได้ ก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ที่ 2 การที่โจทก์ที่ 2 รื้อรั้วที่จำเลยที่ 6 ปิดกั้นออก เพื่อจะได้ใช้ทางพิพาทต่อไป จึงเป็นการกระทำเพื่อป้องกันความเสียหายโดยชอบด้วยกฎหมายแม้จะก่อให้เกิดความเสียหายแก่จำเลยที่ 6 โจทก์ที่ 2 ก็ไม่ต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1459/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิคัดค้านการรังวัดที่ดิน: การคัดค้านโดยมีเหตุผลสมควร ไม่ถือเป็นการละเมิด
โจทก์บรรยายฟ้องว่า โจทก์นำเจ้าพนักงานที่ดินไปรังวัดสอบเขตที่ดินของโจทก์ จำเลยซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินข้างเคียงคัดค้านการรังวัดสอบเขตเป็นเหตุให้เจ้าพนักงานที่ดินงดการรังวัด การกระทำของจำเลยเป็นการละเมิดและทำให้โจทก์เสียหาย เช่นนี้ การคัดค้านรังวัดที่ดินของจำเลยซึ่งเป็นเจ้าของที่ดิน ข้างเคียงนั้น เป็นสิทธิที่อาจคัดค้าน ได้หากมีเหตุผลตามสมควรที่จะคิดว่าแนวเขตที่รังวัดไม่ถูกต้อง การคัดค้านของจำเลยเพียงเท่านี้จึงยังไม่เป็นการละเมิดสิทธิของโจทก์อันจะมาฟ้องขอให้ห้ามจำเลยได้ ศาลชั้นต้นงดสืบพยานโจทก์จำเลยจึงชอบแล้ว
(อ้างฎีกาคำพิพากษาฎีกาที่ 1618/2512)
(อ้างฎีกาคำพิพากษาฎีกาที่ 1618/2512)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1441/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
จำกัดสิทธิอุทธรณ์คดีทุนทรัพย์น้อยกว่า 20,000 บาท และการพิสูจน์การกระทำละเมิดในทางการจ้าง
โจทก์ที่2ใช้สิทธิเฉพาะตัวฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยเพียง17,817.27บาทจึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงการที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงของจำเลยที่2ในส่วนซึ่งอาจเป็นผลถึงโจทก์ที่2ด้วยจึงเป็นการมิชอบ การที่จำเลยที่1ลูกจ้างผู้ทำหน้าที่ธุรการในกองแก๊สของจำเลยที่2ซึ่งเป็นหน่วยงานรัฐวิสาหกิจขับรถยนต์ของจำเลยที่2ซึ่งเป็นรถที่มีไว้เพื่อใช้งานรับส่งหนังสือและติดต่อภายนอกอันเป็นงานที่อยู่ในขอบข่ายหน้าที่การงานของพนักงานธุรการไปในเวลาทำงานของจำเลยที่2แล้วไปชนกับรถยนต์ของโจทก์นั้นเป็นพฤติการณ์ที่เชื่อได้ว่าจำเลยที่1ขับรถยนต์คันเกิดเหตุในทางการที่จ้างของจำเลยที่2ในขณะเกิดเหตุ.