พบผลลัพธ์ทั้งหมด 4,810 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 560/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจ้าหน้าที่ตรวจสอบเอกสารมอบอำนาจโดยสุจริต แม้ลายมือชื่อและตราประทับจะคล้ายคลึงกับของจริง ไม่ถือเป็นความประมาทเลินเละ
คดีก่อนจำเลยที่5ได้เป็นโจทก์ฟ้องโจทก์ในคดีนี้เป็นจำเลยที่3ขอให้เพิกถอนนิติกรรมซื้อขายที่พิพาทและศาลฎีกาได้วินิจฉัยชี้ขาดในคดีดังกล่าวว่าจำเลยที่5ไม่มีส่วนร่วมหรือรู้เห็นในการปลอมใบมอบอำนาจคำพิพากษาของศาลฎีกาดังกล่าวจึงผูกพันโจทก์คดีนี้ตามป.วิ.พ.มาตรา145โจทก์จะมาอ้างในคดีนี้อีกว่าจำเลยที่5ได้มีส่วนร่วมหรือรู้เห็นเกี่ยวกับการกระทำปลอมหนังสือมอบอำนาจที่ใช้ในการขายที่ดินพิพาทให้กับโจทก์หาได้ไม่ กรมที่ดินได้วางระเบียบเพื่อป้องกันการทุจริตที่เกิดขึ้นเกี่ยวแก่การมอบอำนาจไว้ว่า"ฯโดยที่เจ้าหน้าที่ผู้ตรวจสอบลายมือชื่อมิใช่ผู้ชำนาญการพิเศษโดยเฉพาะการตรวจสอบจึงต้องใช้ความระมัดระวังอย่างวิญญูชนจะพึงกระทำได้...ฯลฯ...การตรวจสอบลายมือชื่อของผู้มอบอำนาจ...ให้ตรวจสอบว่ามีลักษณะคล้ายคลึงกับของเดิมพอที่จะเชื่อถือได้หรือไม่...ฯลฯ..."ดังนี้เมื่อลายมือชื่อปลอมของผู้มอบอำนาจในหนังสือมอบอำนาจปลอมกับลายมือชื่อที่แท้จริงของผู้มอบอำนาจมีลักษณะตัวอักษรช่องไฟและลีลาในการเขียนคล้ายคลึงกันมากในสายตาของวิญญูชนย่อมถือได้ว่าเป็นลายมือชื่อของบุคคลคนเดียวกันการที่เจ้าพนักงานที่ดินเชื่อว่าลายมือชื่อของผู้มอบอำนาจในหนังสือมอบอำนาจปลอมเป็นลายมือชื่อที่แท้จริงจึงถือไม่ได้ว่าเจ้าพนักงานที่ดินกระทำโดยประมาทเลินเล่อ กรมที่ดินวางระเบียบว่า"หนังสือมอบอำนาจควรมีพยานอย่างน้อย1คนถ้าผู้มอบอำนาจพิมพ์ลายมือต้องมีพยาน2คน...ฯลฯ..."เมื่อปรากฏว่าหนังสือมอบอำนาจนอกจากจะมีผู้รับมอบอำนาจลงชื่อเป็นพยานคนหนึ่งแล้วยังมีลายมือชื่อพยานอื่นอีกเช่นนี้แม้จะตัดลายมือชื่อพยานที่เป็นผู้รับมอบอำนาจออกไปใบมอบอำนาจนั้นก็ยังสมบูรณ์อยู่เมื่อไม่มีระเบียบให้เจ้าพนักงานผู้ตรวจสอบใบมอบอำนาจถ่ายบัตรประจำตัวของผู้มอบอำนาจติดเรื่องไว้การที่เจ้าพนักงานไม่ได้กระทำเช่นนั้นจึงยังไม่อาจถือได้ว่าเป็นคนประมาทเลินเล่อถึงกับเป็นเหตุให้โจทก์ต้องเสียหาย โจทก์เบิกความเพียงว่าหากจำเลยที่3ตรวจดวงตราเขตบางรักที่ประทับก็จะรู้ว่าเป็นตราปลอมส่วนจำเลยที่4ก็เคยเห็นดวงตราเขตบางรักเสมอๆแต่มิได้นำสืบให้เห็นว่าดวงตราที่แท้จริงของเขตบางรักเป็นอย่างไรคำเบิกความของโจทก์จึงเป็นเพียงความเข้าใจหรือการคาดคะเนของโจทก์เองเป็นการเลื่อนลอยกรณียังฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่3ที่4กระทำละเมิดต่อโจทก์.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 560/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความประมาทเลินเล่อของเจ้าพนักงานที่ดินในการตรวจสอบหนังสือมอบอำนาจ – พยานหลักฐานต้องชัดเจนและมีน้ำหนัก
คดีก่อนจำเลยที่5ได้เป็นโจทก์ฟ้องโจทก์ในคดีนี้เป็นจำเลยที่3ขอให้เพิกถอนนิติกรรมซื้อขายที่พิพาทและศาลฎีกาได้วินิจฉัยชี้ขาดในคดีดังกล่าวว่าจำเลยที่5ไม่มีส่วนร่วมหรือรู้เห็นในการปลอมใบมอบอำนาจคำพิพากษาของศาลฎีกาดังกล่าวจึงผูกพันโจทก์คดีนี้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา145โจทก์จะมาอ้างในคดีนี้อีกว่าจำเลยที่5ได้มีส่วนร่วมหรือรู้เห็นเกี่ยวกับการกระทำปลอมหนังสือมอบอำนาจที่ใช้ในการขายที่ดินพิพาทให้กับโจทก์หาได้ไม่. กรมที่ดินได้วางระเบียบเพื่อป้องกันการทุจริตที่เกิดขึ้นเกี่ยวแก่การมอบอำนาจไว้ว่า'ฯโดยเจ้าหน้าที่ผู้ตรวจสอบลายมือชื่อมิใช่ผู้ชำนาญการพิเศษโดยเฉพาะการตรวจสอบจึงต้องใช้ความระมัดระวังอย่างวิญญูชนจะพึงกระทำได้.....ฯลฯ.....การตรวจสอบลายมือชื่อของผู้มอบอำนาจ....ให้ตรวจสอบว่ามีลักษณะคล้ายคลึงกับของเดิมพอที่จะเชื่อถือได้หรือไม่....ฯลฯ....'ดังนี้เมื่อลายมือชื่อปลอมของผู้มอบอำนาจในหนังสือมอบอำนาจปลอมกับลายมือชื่อที่แท้จริงของผู้มอบอำนาจมีลักษณะตัวอักษรช่องไฟและลีลาในการเขียนคล้ายคลึงกันมากในสายตาของวิญญูชนย่อมถือได้ว่าเป็นลายมือชื่อของบุคคลคนเดียวกันการที่เจ้าพนักงานที่ดินเชื่อว่าลายมือชื่อของผู้มอบอำนาจในหนังสือมอบอำนาจปลอมเป็นลายมือชื่อที่แท้จริงจึงถือไม่ได้ว่าเจ้าพนักงานที่ดินกระทำโดยประมาทเลินเล่อ. กรมที่ดินวางระเบียบว่า'หนังสือมอบอำนาจควรมีพยานอย่างน้อย1คนถ้าผู้มอบอำนาจพิมพ์ลายมือต้องมีพยาน2คน...ฯลฯ...'เมื่อปรากฏว่าหนังสือมอบอำนาจนอกจากจะมีผู้รับมอบอำนาจลงชื่อเป็นพยานคนหนึ่งแล้วยังมีลายมือชื่อพยานอื่นอีกเช่นนี้แม้จะตัดลายมือชื่อพยานที่เป็นผู้รับมอบอำนาจออกไปใบมอบอำนาจนั้นก็ยังสมบูรณ์อยู่เมื่อไม่มีระเบียบให้เจ้าพนักงานผู้ตรวจสอบใบมอบอำนาจถ่ายบัตรประจำตัวของผู้มอบอำนาจติดเรื่องไว้การที่เจ้าพนักงานไม่ได้กระทำเช่นนั้นจึงยังไม่อาจถือได้ว่าเป็นความประมาทเลินเล่อถึงกับเป็นเหตุให้โจทก์ต้องเสียหาย. โจทก์เบิกความเพียงว่าหากจำเลยที่3ตรวจดวงตราเขตบางรักที่ประทับก็จะรู้ว่าเป็นตราปลอมส่วนจำเลยที่4ก็เคยเห็นดวงตราเขตบางรักเสมอๆแต่มิได้นำสืบให้เห็นว่าดวงตราที่แท้จริงของเขตบางรักเป็นอย่างไรคำเบิกความของโจทก์จึงเป็นเพียงความเข้าใจหรือการคาดคะเนของโจทก์เองเป็นการเลื่อนลอยกรณียังฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่3ที่4กระทำละเมิดต่อโจทก์.(ที่มา-ส่งเสริมฯ)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 512/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกระทำของเจ้าหน้าที่ตามอำนาจหน้าที่ ไม่เป็นการละเมิด แม้จะส่งผลเสียต่อโรงเรียน
โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยที่1เป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่2ตามพระราชบัญญัติโรงเรียนราษฏร์แล้วจำเลยที่1ได้มีความเห็นว่าโรงเรียนโจทก์ที่1ได้รับอนุญาตให้เปิดทำการสอนในปี2524ได้เฉพาะชั้นปีที่1นักเรียนที่จบชั้นม.ศ.5ไม่มีสิทธิโอนผลการเรียนตามหลักสูตรอื่นฯโดยโจทก์ไม่ได้กล่าวว่าเป็นความเห็นที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือระเบียบข้อบังคับประการใดทั้งไม่ปรากฏในคำฟ้องว่าจำเลยที่1จงใจหรือประมาทเลินเล่อทำต่อโจทก์โดยผิดกฎหมายให้โจทก์เสียหายแต่อย่างใดเมื่อการกระทำของจำเลยที่1ตามที่กล่าวในฟ้องไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์จึงไม่มีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยว่าการกระทำของจำเลยที่1ตามที่โจทก์ทั้งสองนำสืบเป็นการละเมิดต่อโจทก์หรือไม่.(ที่มา-ส่งเสริมฯ)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 512/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจ้าหน้าที่ปฏิบัติตามอำนาจหน้าที่โดยสุจริต แม้ผู้ฟ้องร้องเสียหาย ก็ไม่ถือเป็นการละเมิด
โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยที่1เป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่2ตามพ.ร.บ.โรงเรียนราษฎร์แล้วจำเลยที่1ได้มีความเห็นว่าโรงเรียนโจทก์ที่1ได้รับอนุญาตให้เปิดทำการสอนในปี2524ได้เฉพาะชั้นปีที่1นักเรียนที่จบชั้นม.ศ.5ไม่มีสิทธิโอนผลการเรียนตามหลักสูตรอื่นๆโดยโจทก์ไม่ได้กล่าวว่าเป็นความเห็นที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือระเบียบข้อบังคับประการใดทั้งไม่ปรากฏในคำฟ้องว่าจำเลยที่1จงใจหรือประมาทเลินเล่อทำต่อโจทก์โดยผิดกฎหมายให้โจทก์เสียหายแต่อย่างใดเมื่อการกระทำของจำเลยที่1ตามที่กล่าวในฟ้องไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์จึงไม่มีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยว่าการกระทำของจำเลยที่1ตามที่โจทก์ทั้งสองนำสืบเป็นการละเมิดต่อโจทก์หรือไม่.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 382/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดร่วมของคนขับรถและนายจ้างต่อความเสียหายจากอุบัติเหตุ แม้ผู้เสียหายไม่มีส่วนประมาท ศาลมีอำนาจแบ่งจำนวนค่าเสียหายให้เหมาะสม
โจทก์ฟ้องให้จำเลยซึ่งเป็นคนขับรถฝ่ายหนึ่งกับนายจ้างร่วมรับผิดฐานละเมิดแม้เหตุที่รถชนกันจะเกิดจากความประมาทร่วมของคนขับรถทั้งสองฝ่ายเมื่อโจทก์มิได้มีส่วนร่วมในความประมาทด้วยโดยเพียงนั่งมาในรถยนต์สามล้อเท่านั้นผู้ทำละเมิดทุกคนต้องร่วมกันรับผิดในความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการละเมิดนั้นต่อโจทก์เต็มจำนวนมิใช่รับผิดเพียงกึ่งหนึ่งการที่ผู้ทำละเมิดแต่ละคนจะรับผิดมากน้อยเพียงใดเป็นเรื่องระหว่างผู้ทำละเมิด. ศาลชั้นต้นกำหนดให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าอุปการะเลี้ยงดูให้โจทก์ทั้งสามจำนวนเดียวโดยมิได้แยกเป็นของแต่ละคนทั้งที่โจทก์ทั้งสามขอค่าอุปการะเลี้ยงดูมาแต่ละคนไม่เท่ากันศาลฎีกามีอำนาจกำหนดให้มากน้อยตามส่วนของแต่ละคนที่ขอมาได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 382/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดร่วมกันของผู้อยู่ในเหตุการณ์ละเมิด และการแบ่งค่าเสียหายตามส่วนของโจทก์
โจทก์ฟ้องให้จำเลยซึ่งเป็นคนขับรถฝ่ายหนึ่งกับนายจ้างร่วมรับผิดฐานละเมิด แม้เหตุที่รถชนกันจะเกิดจากความประมาทร่วมของคนขับรถทั้งสองฝ่าย เมื่อโจทก์มิได้มีส่วนร่วมในความประมาทด้วยโดยเพียงนั่งมาในรถยนต์สามล้อเท่านั้น ผู้ทำละเมิดทุกคนต้องร่วมกันรับผิดในความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการละเมิดนั้นต่อโจทก์เต็มจำนวน มิใช่รับผิดเพียงกึ่งหนึ่ง การที่ผู้ทำละเมิดแต่ละคนจะรับผิดมากน้อยเพียงใดเป็นเรื่องระหว่างผู้ทำละเมิด
ศาลชั้นต้นกำหนดให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าอุปการะเลี้ยงดูให้โจทก์ทั้งสามจำนวนเดียว โดยมิได้แยกเป็นของแต่ละคนทั้งที่โจทก์ทั้งสามขอค่าอุปการะเลี้ยงดูมาแต่ละคนไม่เท่ากัน ศาลฎีกามีอำนาจกำหนดให้มากน้อยตามส่วนของแต่ละคนที่ขอมาได้
ศาลชั้นต้นกำหนดให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าอุปการะเลี้ยงดูให้โจทก์ทั้งสามจำนวนเดียว โดยมิได้แยกเป็นของแต่ละคนทั้งที่โจทก์ทั้งสามขอค่าอุปการะเลี้ยงดูมาแต่ละคนไม่เท่ากัน ศาลฎีกามีอำนาจกำหนดให้มากน้อยตามส่วนของแต่ละคนที่ขอมาได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 246/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิจารณาร่างเทศบัญญัติงบประมาณที่สภาไม่รับหลักการ ผู้ว่าฯ มีอำนาจสั่งให้ร่างนั้นตกไปได้
เมื่อพระราชบัญญัติเทศบาล ฯ มาตรา 62 ทวิ ได้บัญญัติถึงกรณีที่สภาเทศบาลไม่รับหลักการแห่งร่างเทศบัญญัติงบประมาณไว้โดยเฉพาะแล้ว ย่อมต้องปฏิบัติตามนั้น จะนำระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยข้อบังคับการประชุมสภาเทศบาล พ.ศ. 2496 ข้อ 49 ซึ่งใช้แก่ญัตติร่างเทศบัญญัติทั่ว ๆ ไปมาใช้บังคับไม่ได้
โจทก์ที่ 1 เป็นนายกเทศมนตรี โจทก์ที่ 2 เป็นเทศมนตรี ในการประชุมสภาเทศบาลสมัยที่ 1 ครั้งแรก สภาเทศบาลได้มีมติไม่รับหลักการแห่งร่างเทศบัญญัติงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2526 แต่ประธานสภาเทศบาลมิได้ส่งร่างเทศบัญญัตินั้นไปยังผู้ว่าราชการจังหวัด กลับอนุญาตให้นำร่างเทศบัญญัติงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม ซึ่งมีข้อความเหมือนกับร่างเทศบัญญัติงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมที่สภาลงมติไม่รับหลักการดังกล่าว (ยกเว้นข้อความในรายละเอียดบางประการที่ไม่เหมือนกัน) เข้าพิจารณาในการประชุมสมัยที่ 1 ครั้งที่ 2 เพื่อจะเอามติในการประชุมครั้งหลังนี้ไปลบล้างมติครั้งแรก อันเป็นการไม่ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติเทศบาล ฯ มาตรา 62 ทวิ ดังนั้นแม้สภาเทศบาลจะลงมติรับหลักการร่างเทศบัญญัติงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมดังกล่าวในการประชุมครั้งที่ 2 จำเลยในฐานะผู้ว่าราชการจังหวัดซึ่งมีอำนาจควบคุมดูแลเทศบาลในจังหวัดให้ปฏิบัติตามอำนาจหน้าที่โดยถูกต้องตามกฎหมายตาม มาตรา 71 ย่อมมีอำนาจเรียกรายงานการประชุมสภาเทศบาลและร่างเทศบัญญัติงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมที่สภาเทศบาลไม่รับหลักการจากประธานสภาเทศบาลได้และเมื่อจำเลยได้พิจารณาร่างเทศบัญญัติดังกล่าวแล้วเห็นชอบด้วยกับสภาเทศบาลที่ไม่รับหลักการแห่งร่างเทศบัญญัตินั้น ร่างเทศบัญญัตินั้นก็ตกไปตามที่ มาตรา 62 ทวิ บัญญัติไว้เทศมนตรีทั้งคณะต้องออกจากตำแหน่ง และจำเลยในฐานะผู้ว่าราชการจังหวัดมีอำนาจแต่งตั้งคณะเทศมนตรีชั่วคราวได้ ตาม มาตรา 45 การที่จำเลยมีคำสั่งเกี่ยวกับเรื่องนี้จึงเป็นการกระทำตามอำนาจหน้าที่โดยชอบด้วยกฎหมาย และไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์
โจทก์ที่ 1 เป็นนายกเทศมนตรี โจทก์ที่ 2 เป็นเทศมนตรี ในการประชุมสภาเทศบาลสมัยที่ 1 ครั้งแรก สภาเทศบาลได้มีมติไม่รับหลักการแห่งร่างเทศบัญญัติงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2526 แต่ประธานสภาเทศบาลมิได้ส่งร่างเทศบัญญัตินั้นไปยังผู้ว่าราชการจังหวัด กลับอนุญาตให้นำร่างเทศบัญญัติงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม ซึ่งมีข้อความเหมือนกับร่างเทศบัญญัติงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมที่สภาลงมติไม่รับหลักการดังกล่าว (ยกเว้นข้อความในรายละเอียดบางประการที่ไม่เหมือนกัน) เข้าพิจารณาในการประชุมสมัยที่ 1 ครั้งที่ 2 เพื่อจะเอามติในการประชุมครั้งหลังนี้ไปลบล้างมติครั้งแรก อันเป็นการไม่ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติเทศบาล ฯ มาตรา 62 ทวิ ดังนั้นแม้สภาเทศบาลจะลงมติรับหลักการร่างเทศบัญญัติงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมดังกล่าวในการประชุมครั้งที่ 2 จำเลยในฐานะผู้ว่าราชการจังหวัดซึ่งมีอำนาจควบคุมดูแลเทศบาลในจังหวัดให้ปฏิบัติตามอำนาจหน้าที่โดยถูกต้องตามกฎหมายตาม มาตรา 71 ย่อมมีอำนาจเรียกรายงานการประชุมสภาเทศบาลและร่างเทศบัญญัติงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมที่สภาเทศบาลไม่รับหลักการจากประธานสภาเทศบาลได้และเมื่อจำเลยได้พิจารณาร่างเทศบัญญัติดังกล่าวแล้วเห็นชอบด้วยกับสภาเทศบาลที่ไม่รับหลักการแห่งร่างเทศบัญญัตินั้น ร่างเทศบัญญัตินั้นก็ตกไปตามที่ มาตรา 62 ทวิ บัญญัติไว้เทศมนตรีทั้งคณะต้องออกจากตำแหน่ง และจำเลยในฐานะผู้ว่าราชการจังหวัดมีอำนาจแต่งตั้งคณะเทศมนตรีชั่วคราวได้ ตาม มาตรา 45 การที่จำเลยมีคำสั่งเกี่ยวกับเรื่องนี้จึงเป็นการกระทำตามอำนาจหน้าที่โดยชอบด้วยกฎหมาย และไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 246/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สภาเทศบาลไม่รับหลักการร่างเทศบัญญัติงบประมาณ ผู้ว่าฯ มีอำนาจพิจารณาและสั่งให้ร่างตกได้
เมื่อพระราชบัญญัติเทศบาลฯมาตรา62ทวิได้บัญญัติถึงกรณีที่สภาเทศบาลไม่รับหลักการแห่งร่างเทศบัญญัติงบประมาณไว้โดยเฉพาะแล้วย่อมต้องปฏิบัติตามนั้นจะนำระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยข้อบังคับการประชุมสภาเทศบาลพ.ศ.2496ข้อ49ซึ่งใช้แก่ญัตติร่างเทศบัญญัติทั่วๆไปมาใช้บังคับไม่ได้ โจทก์ที่1เป็นนายกเทศมนตรีโจทก์ที่2เป็นเทศมนตรีในการประชุมสภาเทศบาลสมัยที่1ครั้งแรกสภาเทศบาลได้มีมติไม่รับหลักการแห่งร่างเทศบัญญัติงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณพ.ศ.2526แต่ประธานสภาเทศบาลมิได้ส่งร่างเทศบัญญัตินั้นไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดกลับอนุญาตให้นำร่างเทศบัญญัติงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมซึ่งมีข้อความเหมือนกับร่างเทศบัญญัติงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมที่สภาลงมติไม่รับหลักการดังกล่าว(ยกเว้นข้อความในรายละเอียดบางประการที่ไม่เหมือนกัน)เข้าพิจารณาในการประชุมสมัยที่1ครั้งที่2เพื่อจะเอามติในการประชุมครั้งหลังนี้ไปลบล้างมติครั้งแรกอันเป็นการไม่ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติเทศบาลฯมาตรา62ทวิดังนั้นแม้สภาเทศบาลจะลงมติรับหลักการร่างเทศบัญญัติงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมดังกล่าวในการประชุมครั้งที่2จำเลยในฐานะผู้ว่าราชการจังหวัดซึ่งมีอำนาจควบคุมดูแลเทศบาลในจังหวัดให้ปฏิบัติตามอำนาจหน้าที่โดยถูกต้องตามกฎหมายตามมาตรา71ย่อมมีอำนาจเรียกรายงานการประชุมสภาเทศบาลและร่างเทศบัญญัติงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมที่สภาเทศบาลไม่รับหลักการจากประธานสภาเทศบาลได้และเมื่อจำเลยได้พิจารณาร่างเทศบัญญัติดังกล่าวแล้วเห็นชอบด้วยกับสภาเทศบาลที่ไม่รับหลักการแห่งร่างเทศบัญญัตินั้นร่างเทศบัญญัตินั้นก็ตกไปตามที่มาตรา62ทวิบัญญัติไว้เทศมนตรีทั้งคณะต้องออกจากตำแหน่งและจำเลยในฐานะผู้ว่าราชการจังหวัดมีอำนาจแต่งตั้งคณะเทศมนตรีชั่วคราวได้ตามมาตรา45การที่จำเลยมีคำสั่งเกี่ยวกับเรื่องนี้จึงเป็นการกระทำตามอำนาจหน้าที่โดยชอบด้วยกฎหมายและไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 192-193/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ลูกจ้างละเมิด/ผิดสัญญา นายจ้างฟ้องได้ทั้งสองทาง อายุความ 10 ปี (สัญญา) หรือ 1 ปี (ละเมิด) ศาลวินิจฉัยชอบแล้ว
เมื่อการกระทำของลูกจ้างเป็นทั้งละเมิดและผิดสัญญาจ้างแรงงานนายจ้างย่อมมีสิทธิฟ้องได้ทั้งสองทางสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายอันเกิดจากการผิดสัญญาจ้างแรงงานไม่มีกฎหมายกำหนดอายุความไว้เป็นอย่างอื่นจึงมีอายุความ10ปีนายจ้างฟ้องคดีภายในกำหนดเวลาดังกล่าวจึงยังไม่ขาดอายุความ.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 60/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ภารจำยอม: สิทธิการบำรุงรักษาทางภารจำยอม และขอบเขตการกระทำที่ไม่เกินภาระ
โจทก์จำเลยยอมรับกันว่าถนนพิพาทเป็นของโจทก์แต่ตกเป็นภารจำยอมสำหรับที่ดินและบ้านของจำเลยและมารดาจำเลยจำเลยทำทางระบายน้ำในถนนพิพาทเพื่อมิให้น้ำท่วมถนนและไม่ให้น้ำบนถนนไหลเข้าบ้านจำเลยคงต่อสู้กันเพียงประเด็นเดียวว่าจำเลยมีสิทธิทำท่อระบายน้ำบนถนนพิพาทหรือไม่เช่นนี้คงมีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยเพียงว่าการกระทำของจำเลยเป็นการกระทำเพื่อรักษาและใช้ภารจำยอมหรือไม่เท่านั้นส่วนปัญหาที่ว่าการกระทำของจำเลยเป็นการทำให้เกิดภาระเพิ่มขึ้นแก่ภารยทรัพย์หรือไม่นั้นเป็นการนอกเหนือไปจากที่คู่ความตกลงต่อสู้กันไว้.