พบผลลัพธ์ทั้งหมด 4,810 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1984/2524
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความประมาทเลินเล่อของทั้งสองฝ่ายในอุบัติเหตุทางรถไฟ ทำให้ไม่ต้องรับผิดในความเสียหาย
แม้คดีอาญาที่จำเลยที่ 1 ถูกพนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องในข้อหาผิดพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2477 จะปรากฏว่าศาลพิพากษายกฟ้องคดีถึงที่สุดแล้วก็ตาม แต่ก็ปรากฏว่า โจทก์ในคดีนี้มิได้เข้าเป็นคู่ความด้วย ทั้งมิใช่ ผู้เสียหายในคดีดังกล่าว คำพิพากษาในคดีอาญาดังกล่าวจึงไม่ ผูกพันโจทก์ในคดีนี้ ต้องฟังข้อเท็จจริงใหม่
ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า เหตุที่รถไฟของโจทก์ชนกับรถยนต์บรรทุกที่จำเลยที่ 1 ขับเป็นเพราะความประมาทเลินเล่อของทั้งสองฝ่ายไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน จำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องรับผิดในความเสียหาย จำเลยที่ 3 ในฐานะนายจ้างก็ไม่ต้องรับผิดด้วย (อ้างฎีกา 676/2524)
ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า เหตุที่รถไฟของโจทก์ชนกับรถยนต์บรรทุกที่จำเลยที่ 1 ขับเป็นเพราะความประมาทเลินเล่อของทั้งสองฝ่ายไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน จำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องรับผิดในความเสียหาย จำเลยที่ 3 ในฐานะนายจ้างก็ไม่ต้องรับผิดด้วย (อ้างฎีกา 676/2524)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1934/2524
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องขอคืนสิทธิการเช่าและการนำสืบพยานนอกฟ้อง ศาลฎีกาพิจารณาจากเจตนาที่แท้จริงของผู้ฟ้อง
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของสิทธิการเช่าตึกพิพาทของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ โจทก์ให้จำเลยทำการค้าในตึกนี้ ต่อมาจำเลยได้ปลอมแปลงหนังสือมอบอำนาจว่าโจทก์โอนสิทธิการเช่าให้จำเลยแล้วนำไปยื่นคำขอต่อสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ โอนสิทธิการเช่าเป็นของจำเลย แล้วจำเลยยื่นคำขอโอนสิทธิการเช่าให้แก่ผู้มีชื่อ ขอให้บังคับจำเลยถอนคำขอดังกล่าว ฟ้องของโจทก์เช่นนี้แปลความได้ว่า โจทก์ไม่มีเจตนาโอนสิทธิการเช่าให้จำเลยดังที่ปรากฏในหนังสือมอบอำนาจนั้น จำเลยให้การโต้แย้งว่า โจทก์มีเจตนาโอนสิทธิการเช่าให้แก่จำเลย และศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นว่าโจทก์มอบอำนาจให้จำเลยโอนสิทธิการเช่าตึกเป็นของจำเลยหรือไม่ ดังนี้ แม้ในชั้นพิจารณาโจทก์จะนำสืบว่า โจทก์ลงลายมือชื่อในหนังสือมอบอำนาจโดยสำคัญผิด ก็เป็นการสืบแสดงว่าโจทก์ไม่มีเจตนาจะโอนสิทธิการเช่าให้จำเลยตามฟ้องหาใช่นำสืบพยานนอกฟ้องนอกประเด็นไม่
คดีนี้โจทก์ฟ้องเรียกคืนสิทธิการเช่าที่โจทก์มีอยู่จากจำเลยผู้อาศัย แม้จะมีคำขอท้ายฟ้องให้จำเลยถอนคำขอที่จำเลยขอโอนสิทธิการเช่าแก่ผู้อื่น. ก็มิใช่เป็นการฟ้องเรียกค่าเสียหายฐานละเมิด จะนำอายุความ 1 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 มาบังคับแก่คดีไม่ได้
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรคสอง บัญญัติเพียงว่า คำฟ้องต้องมีคำขอบังคับ แต่มิได้บัญญัติถึงขนาดว่าคำขอบังคับจะต้องให้ปรากฏไว้เฉพาะในคำขอท้ายฟ้องเท่านั้น คดีนี้โจทก์มีคำขอไว้ในคำฟ้องชัดแจ้งว่าขอให้ศาลพิพากษาให้สิทธิการเช่ากลับคืนมาเป็นของโจทก์ ถือได้ว่ามีคำขอบังคับในข้อนี้ไว้โดยชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรคสองแล้ว
คดีนี้โจทก์ฟ้องเรียกคืนสิทธิการเช่าที่โจทก์มีอยู่จากจำเลยผู้อาศัย แม้จะมีคำขอท้ายฟ้องให้จำเลยถอนคำขอที่จำเลยขอโอนสิทธิการเช่าแก่ผู้อื่น. ก็มิใช่เป็นการฟ้องเรียกค่าเสียหายฐานละเมิด จะนำอายุความ 1 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 มาบังคับแก่คดีไม่ได้
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรคสอง บัญญัติเพียงว่า คำฟ้องต้องมีคำขอบังคับ แต่มิได้บัญญัติถึงขนาดว่าคำขอบังคับจะต้องให้ปรากฏไว้เฉพาะในคำขอท้ายฟ้องเท่านั้น คดีนี้โจทก์มีคำขอไว้ในคำฟ้องชัดแจ้งว่าขอให้ศาลพิพากษาให้สิทธิการเช่ากลับคืนมาเป็นของโจทก์ ถือได้ว่ามีคำขอบังคับในข้อนี้ไว้โดยชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรคสองแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1699/2524
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องเคลือบคลุม จำเลยไม่เข้าใจพฤติการณ์ขับรถ การบรรยายฟ้องต้องชัดเจนแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหา
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ได้ขับรถของจำเลยที่2ด้วยความประมาทปราศจากความระมัดระวังที่นักขับรถอาชีพจะต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์ และจำเลยที่ 1 อาจใช้ความระมัดระวังได้แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่ เป็นเหตุให้ชนรถโจทก์ตกถนนพลิกคว่ำได้รับความเสียหาย มิได้บรรยายเลยว่าจำเลยที่ 1 มีพฤติการณ์ในการขับรถอย่างไรจำเลยไม่อาจเข้าใจได้ว่าจำเลยที่ 1 ขับรถอย่างไร ซึ่งโจทก์ถือว่าเป็นการขับด้วยความประมาทปราศจากความระมัดระวังทั้งไม่อาจเข้าใจได้ว่าจำเลยที่ 1 จะใช้ความระมัดระวังอย่างไรจึงจะหลีกเลี่ยงหรือป้องกันมิให้รถชนกันฟ้องโจทก์จึงเป็นคำฟ้องที่มิได้แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา172 วรรคสอง เป็นฟ้องเคลือบคลุม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1635/2524
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดร่วมของเจ้าของรถและนายจ้างต่อการละเมิดของลูกจ้าง แม้ขับรถนอกเส้นทางสัมปทาน
การที่จำเลยที่ 3 ยอมรับเอาทั้งรถยนต์โดยสารและคนขับของจำเลยที่ 4 มาไว้และร่วมในกิจการเดินรถโดยสารประจำทางขนส่งผู้โดยสาร ด้วยการให้ใช้สีของรถ ตรา และชื่อในนามของบริษัทจำเลยที่ 3 ให้ปรากฏแก่คนทั้งหลายว่าใช้ในกิจการของตน ทั้งในนามและฐานะที่เป็นรถของบริษัทจำเลยที่ 3 โดยมีผลประโยชน์ร่วมกันระหว่างจำเลยที่ 3 และจำเลยที่ 4 ในการนี้พฤติการณ์ดังกล่าวย่อมถือได้ว่าจำเลยที่ 3มีฐานะร่วมเป็นเจ้าของรถคันเกิดเหตุและเป็นนายจ้างของจำเลยที่ 1ซึ่งเป็นคนขับรถประจำรถคันดังกล่าวด้วย การที่จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์โดยสารคันเกิดเหตุไปส่งผู้โดยสารแล้วเกิดเหตุขึ้น แม้จะเป็นการขับไปนอกเส้นทางสัมปทานก็ยังถือได้ว่าเป็นการปฏิบัติหน้าที่ขับรถในกิจการในทางการที่จ้างของนายจ้าง จำเลยที่ 3 จะต้องร่วมรับผิดในผลแห่งการละเมิดของลูกจ้าง ข้ออ้างของจำเลยที่ 3 ที่ว่าจำเลยที่ 1กับจำเลยที่ 4 นำรถไปใช้นอกเส้นทางสัมปทานโดยจำเลยที่ 3 ไม่มีส่วนรู้หรือได้รับอนุญาตจากขนส่งจังหวัดเป็นการฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับและขัดต่อพระราชบัญญัติการขนส่งนั้น เป็นเรื่องภายในและเฉพาะตัวระหว่างจำเลยด้วยกัน จะนำมาใช้ยันเพื่อปัดความรับผิดต่อบุคคลภายนอกโดยสิ้นเชิงไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1558/2524
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดจากละเลยระเบียบการตรวจสอบลายเซ็นสั่งจ่ายข้าวสารและการปฏิบัติหน้าที่ของพนักงาน
ระเบียบงานของโจทก์มีว่า จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นหัวหน้ากองข้าวสาร มีหน้าที่กำหนดตัวบุคคลผู้มีอำนาจเซ็นสั่งจ่ายข้าวสาร และส่งตัวอย่างลายเซ็นชื่อของผู้มีอำนาจสั่งจ่ายข้าวสารไปให้แผนกคลังสินค้าเพื่อตรวจสอบก่อนที่จะจ่ายข้าวสาร แต่จำเลยที่ 1 ไม่มีหน้าที่ควบคุมการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่แผนกคลังสินค้าที่มีหน้าที่จ่ายข้าวสารตามใบสั่ง จำเลยที่ 1 กำหนดตัวบุคคลซึ่งมีอำนาจเซ็นสั่งจ่ายข้าวสารแล้ว แต่ไม่ได้ส่งตัวอย่างลายเซ็นชื่อของผู้มีอำนาจเซ็นสั่งจ่ายไปให้แผนกคลังสินค้าได้มีผู้ปลอมลายเซ็นชื่อของผู้มีอำนาจสั่งจ่ายข้าวสารและเจ้าหน้าที่แผนกคลังสินค้าได้จ่ายข้าวสารไปตามใบสั่งซึ่งมีลายเซ็นปลอม ดังนี้การที่จำเลยที่ 1 ฝ่าฝืนระเบียบ ไม่ส่งตัวอย่างลายเซ็นของผู้ที่มีอำนาจสั่งจ่ายให้แผนกคลังสินค้าทราบ เพื่อตรวจสอบลายเซ็นนั้นไม่เป็นเหตุโดยตรงที่ทำให้มีบุคคลปลอมลายเซ็นของผู้มีอำนาจสั่งจ่าย จึงจะถือว่าจำเลยที่ 1 ประมาทเลินเล่อทำให้โจทก์เสียหายเพราะเหตุนี้ไม่ได้
จำเลยที่ 2 เป็นผู้ช่วยหัวหน้าคลังสินค้ากลาง มีหน้าที่จะต้องตรวจลายเซ็นชื่อผู้สั่งจ่ายในใบสั่งจ่ายข้าวสารตาม ระเบียบ การที่ไม่มีตัวอย่างลายเซ็นชื่อของผู้มีอำนาจสั่งจ่ายในใบสั่งจ่ายสินค้าที่แท้จริงไว้เพื่อตรวจสอบ โดยจำเลยที่ 2 มิได้เรียกร้องให้จำเลยที่ 1 ซึ่งมีหน้าที่ส่งตัวอย่างลายเซ็นให้ส่งตัวอย่างลายเซ็นมาให้ ย่อมถือได้ว่าจำเลยที่ 2 ได้ละเลยไม่ปฏิบัติตามระเบียบดังกล่าวอันเป็นการประมาทเลินเล่อมาตั้งแต่ต้น จำเลยที่ 2 มอบให้จำเลยที่ 4 ถึงที่ 7 ทำหน้าที่ตรวจสอบใบสั่งจ่ายสินค้าแทน. ผู้ทำแทนก็ไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ครบถ้วน เมื่อมีการปลอมลายมือผู้สั่งจ่ายแล้วนำมาเบิกสินค้าข้าวสาร จำเลยที่ 4 ถึงที่ 7 ตรวจดูลายเซ็นโดยเทียบกับลายเซ็นที่ผู้สั่งจ่ายเซ็นไว้ในใบสั่งจ่ายเก่าๆ ที่ยื่น เพราะไม่มีตัวอย่างลายเซ็นที่แท้จริงไว้ตรวจสอบ แล้วจ่ายข้าวสารไปตามใบสั่งจ่ายปลอมทำให้โจทก์เสียหาย ดังนี้ จำเลยที่ 2 จะปัดความรับผิดหาได้ไม่
จำเลยที่ 3 เป็นผู้ช่วยหัวหน้าคลังสินค้ากลาง ซึ่งเก็บเฉพาะข้าวสาร และเป็นผู้เก็บรักษากุญแจโกดังแต่ผู้เดียว มีหน้าที่ปฏิบัติการควบคุม ตรวจตราใบสั่งจ่ายสินค้าและรับจ่ายข้าวสารด้วย จึงปฏิเสธความรับผิดไม่ได้
ส่วนจำเลยที่ 4 มีหน้าที่ฝึกสอนจำเลยที่ 5 ถึงที่ 7 ในการจ่ายข้าวสารตามใบสั่งจ่าย แต่ไม่มีตัวอย่างลายเซ็นของผู้มีอำนาจสั่งจ่ายมาให้ตรวจสอบ จำเลยที่ 4 ถึงที่ 7 เป็นพนักงานชั้นผู้น้อย ไม่มีหน้าที่ทวงถามให้มีการส่งตัวอย่างลายเซ็นมา การฝึกสอนก็เพียงให้ดูว่าใบสั่งจ่ายที่ผู้มาขอรับมีรายการอะไรบ้างลายเซ็นชื่อผู้สั่งจ่ายครบถ้วนหรือไม่ โดยให้ดูจากลายเซ็นชื่อผู้สั่งจ่ายเก่าๆ จำเลยที่ 5 ถึงที่ 7ก็สั่งจ่ายข้าวสารไปตามระเบียบที่จำเลยที่ 4 ฝึกสอน เมื่อมีการปลอมลายเซ็นและมีการจ่ายข้าวสารไปตามลายเซ็นปลอมนั้น.โดยให้การจ่ายก็ปฏิบัติตามระเบียบดังกล่าวเช่นนี้ จะถือว่าจำเลยที่ 5 ถึงที่ 7 ไม่ปฏิบัติตามระเบียบเป็นการทำละเมิดต่อโจทก์มิได้ แต่จำเลยที่ 4 มีหน้าที่ต้องตรวจสอบรายการสินค้าที่จะจ่ายหรือขอดูหลักฐานเอกสารใบขายเงินสด หรือใบเสร็จรับเงินจากผู้ซื้อที่มารับของตามระเบียบว่าด้วยการรับจ่ายฯลฯ ให้ถูกต้องเสียก่อน เมื่อจำเลยที่ 4 ไม่ปฏิบัติตามจึงต้องรับผิดตามจำนวนเงินในใบจ่ายสินค้าฉบับที่จำเลยที่ 4เป็นผู้เขียนตามใบสั่งจ่ายสินค้าปลอมนั้น
จำเลยที่ 2 เป็นผู้ช่วยหัวหน้าคลังสินค้ากลาง มีหน้าที่จะต้องตรวจลายเซ็นชื่อผู้สั่งจ่ายในใบสั่งจ่ายข้าวสารตาม ระเบียบ การที่ไม่มีตัวอย่างลายเซ็นชื่อของผู้มีอำนาจสั่งจ่ายในใบสั่งจ่ายสินค้าที่แท้จริงไว้เพื่อตรวจสอบ โดยจำเลยที่ 2 มิได้เรียกร้องให้จำเลยที่ 1 ซึ่งมีหน้าที่ส่งตัวอย่างลายเซ็นให้ส่งตัวอย่างลายเซ็นมาให้ ย่อมถือได้ว่าจำเลยที่ 2 ได้ละเลยไม่ปฏิบัติตามระเบียบดังกล่าวอันเป็นการประมาทเลินเล่อมาตั้งแต่ต้น จำเลยที่ 2 มอบให้จำเลยที่ 4 ถึงที่ 7 ทำหน้าที่ตรวจสอบใบสั่งจ่ายสินค้าแทน. ผู้ทำแทนก็ไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ครบถ้วน เมื่อมีการปลอมลายมือผู้สั่งจ่ายแล้วนำมาเบิกสินค้าข้าวสาร จำเลยที่ 4 ถึงที่ 7 ตรวจดูลายเซ็นโดยเทียบกับลายเซ็นที่ผู้สั่งจ่ายเซ็นไว้ในใบสั่งจ่ายเก่าๆ ที่ยื่น เพราะไม่มีตัวอย่างลายเซ็นที่แท้จริงไว้ตรวจสอบ แล้วจ่ายข้าวสารไปตามใบสั่งจ่ายปลอมทำให้โจทก์เสียหาย ดังนี้ จำเลยที่ 2 จะปัดความรับผิดหาได้ไม่
จำเลยที่ 3 เป็นผู้ช่วยหัวหน้าคลังสินค้ากลาง ซึ่งเก็บเฉพาะข้าวสาร และเป็นผู้เก็บรักษากุญแจโกดังแต่ผู้เดียว มีหน้าที่ปฏิบัติการควบคุม ตรวจตราใบสั่งจ่ายสินค้าและรับจ่ายข้าวสารด้วย จึงปฏิเสธความรับผิดไม่ได้
ส่วนจำเลยที่ 4 มีหน้าที่ฝึกสอนจำเลยที่ 5 ถึงที่ 7 ในการจ่ายข้าวสารตามใบสั่งจ่าย แต่ไม่มีตัวอย่างลายเซ็นของผู้มีอำนาจสั่งจ่ายมาให้ตรวจสอบ จำเลยที่ 4 ถึงที่ 7 เป็นพนักงานชั้นผู้น้อย ไม่มีหน้าที่ทวงถามให้มีการส่งตัวอย่างลายเซ็นมา การฝึกสอนก็เพียงให้ดูว่าใบสั่งจ่ายที่ผู้มาขอรับมีรายการอะไรบ้างลายเซ็นชื่อผู้สั่งจ่ายครบถ้วนหรือไม่ โดยให้ดูจากลายเซ็นชื่อผู้สั่งจ่ายเก่าๆ จำเลยที่ 5 ถึงที่ 7ก็สั่งจ่ายข้าวสารไปตามระเบียบที่จำเลยที่ 4 ฝึกสอน เมื่อมีการปลอมลายเซ็นและมีการจ่ายข้าวสารไปตามลายเซ็นปลอมนั้น.โดยให้การจ่ายก็ปฏิบัติตามระเบียบดังกล่าวเช่นนี้ จะถือว่าจำเลยที่ 5 ถึงที่ 7 ไม่ปฏิบัติตามระเบียบเป็นการทำละเมิดต่อโจทก์มิได้ แต่จำเลยที่ 4 มีหน้าที่ต้องตรวจสอบรายการสินค้าที่จะจ่ายหรือขอดูหลักฐานเอกสารใบขายเงินสด หรือใบเสร็จรับเงินจากผู้ซื้อที่มารับของตามระเบียบว่าด้วยการรับจ่ายฯลฯ ให้ถูกต้องเสียก่อน เมื่อจำเลยที่ 4 ไม่ปฏิบัติตามจึงต้องรับผิดตามจำนวนเงินในใบจ่ายสินค้าฉบับที่จำเลยที่ 4เป็นผู้เขียนตามใบสั่งจ่ายสินค้าปลอมนั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1552/2524
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดทางแพ่งจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ การแบ่งความรับผิดตามส่วน และผลของคำพิพากษาคดีอาญา
ในคดีส่วนแพ่ง ปัญหาที่ว่าคนขับรถของฝ่ายใดประมาทนั้นคู่ความตกลงกันให้ถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา หากศาลสูงพิจารณาคดีถึงที่สุดว่า จำเลยที่ 1 คนขับรถของจำเลยที่ 2 เป็นฝ่ายผิด จำเลยที่ 2 ยอมใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ต่อมาศาลอุทธรณ์พิพากษาคดีถึงที่สุดว่าทั้งสองฝ่ายมีความผิดและลงโทษจำคุก แม้คดีส่วนอาญาศาลพิพากษาว่าเคยขับรถทั้งสองฝ่ายมีความผิด ก็ยังแสดงว่า จำเลยที่ 1 เป็นฝ่ายผิดด้วยอยู่นั่นเอง ในการพิพากษาคดีส่วนแพ่งจึงต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาตามที่คู่ความตกลงกันแต่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 424 และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 47 บัญญัติไว้ว่าในการพิพากษาคดีข้อความรับผิดเพื่อละเมิดและกำหนดค่าสินไหมทดแทนในคดีส่วนแพ่ง ต้องเป็นไปตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายว่าด้วย ความรับผิดของบุคคลในทางแพ่งโดยไม่จำต้องคำนึงถึงว่าจำเลยต้อง คำพิพากษาว่าได้กระทำความผิดทางอาญาหรือไม่ เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 และคนขับรถของโจทก์ที่ 2 ต่างมีส่วนกระทำความผิดกรณีต้องปรับด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 442 และ มาตรา 223 ซึ่งศาลมีอำนาจกำหนดค่าสินไหมทดแทนสูงต่ำตามส่วน แห่งความยิ่งหย่อนของผู้มีส่วนก่อให้เกิดความเสียหายโดยอาศัยพฤติการณ์เป็นประมาณ แม้ในคดีส่วนอาญาพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1และคนขับรถของโจทก์ที่ 2 เท่ากัน ก็เป็นการใช้ดุลพินิจกำหนดโทษในความผิดทางอาญา จะถือเป็นหลักในการวินิจฉัยความรับผิดทางแพ่งว่าทั้งสองประมาทเท่ากันหาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1539/2524
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การใช้อำนาจโดยมิชอบของนายทะเบียนและการเพิกถอนคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย คดีละเมิด
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้รับอนุญาตให้ปลูกสร้างอาคารเพื่อใช้เป็นโรงแรมได้แล้วต่อมาเมื่อขออนุญาตเปิดกิจการต่อจำเลยในฐานะนายทะเบียน จำเลยกลับใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบไม่อนุญาตให้เปิดกิจการโรงแรม ทั้งคำสั่งของกรมตำรวจและคำสั่งของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยที่ให้โจทก์จัดการแก้ไขเพิ่มเติมก็ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ดังนี้ ฟ้องของโจทก์เป็นการกล่าวหาจำเลยในมูลละเมิด สมควรที่จะต้องฟังพยานหลักฐานต่อไปเสียก่อนว่าข้อเท็จจริงเป็นประการใด ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานแล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์จึงเป็นการมิชอบ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1478/2524
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า: การเลียนแบบเครื่องหมายการค้าเดิมและการพิจารณาเจตนาของผู้ขอจดทะเบียน
เครื่องหมายการค้าของโจทก์ใช้คำว่า 'RICOPY' ส่วนของจำเลยใช้คำว่า 'RECOPY' มีลักษณะสำคัญบ่งเฉพาะเป็นอักษรโรมัน เมื่อออกสำเนียงชื่อก็คล้ายคลึงกัน คือ โจทก์ออกสำเนียงว่า 'ริโคปีย์' ส่วนจำเลยออกสำเนียงว่า'รีโคปีย์' แตกต่างกันเฉพาะตัวI และตัว E เท่านั้น เครื่องหมายการค้าของจำเลยจึงมีลักษณะเหมือนหรือคล้ายคลึงกับของโจทก์ และสินค้าของโจทก์จำเลยที่ขอจดทะเบียนเป็นสินค้าอย่างเดียวกัน เมื่อโจทก์ได้จดทะเบียนเครื่องหมายการค้าดังกล่าวในประเทศญี่ปุ่น และใช้เครื่องหมายการค้าดังกล่าวแพร่หลายโดยทั่วไปมาก่อน จำเลยเพิ่งคิดจะใช้คำว่า 'RECOPY' เป็นเครื่องหมายการค้าหลังจากทราบถึงเครื่องหมายการค้าดังกล่าวของโจทก์แล้ว ดังนี้ แม้จำเลยจะไปขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าก่อนก็ตาม โจทก์ย่อมมีสิทธิขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าของโจทก์ดีกว่าและให้จำเลยไปเพิกถอนคำขอจดทะเบียนการค้าของจำเลยดังกล่าวได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1295/2524
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้ำในมูลคดีเดียวกัน แม้เปลี่ยนฝ่ายฟ้อง ศาลยกฟ้องตามมาตรา 144
คดีก่อนจำเลยที่ 1 ฟ้องสิบตำรวจโท ส. กับโจทก์ให้ชดใช้ค่าเสียหายอันเกิดจากรถที่จำเลยที่ 1 ขับชนกับรถของโจทก์ ศาลชั้นต้นได้พิพากษายกฟ้องโดยวินิจฉัยในข้อที่โจทก์ยกขึ้นอ้างในคดีนั้นว่าจำเลยที่ 1 เป็นฝ่ายประมาทเลินเล่อ ขณะคดียังอยู่ในระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์โจทก์ได้ฟ้องคดีนี้เรียกค่าเสียหายอันเกิดจากรถชนกันในกรณีรายเดียวกันนี้ ประเด็นแห่งคดีทั้งสองคดีจึงมีประเด็นอย่างเดียวกันว่า เหตุที่รถชนกันนั้นเป็นความผิดของฝ่ายใด ฟ้องของโจทก์คดีนี้จึงต้องห้ามมิให้ดำเนิน กระบวนพิจารณาซ้ำตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 144
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1292/2524
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ละเมิดจากรถบรรทุกหนัก: การสั่นสะเทือนสร้างความเสียหายบ้านพักอาศัย ศาลคำนวณค่าเสียหายได้ตามควร
จำเลยนำรถบรรทุกดินน้ำหนักมากผ่านหน้าบ้านโจทก์หลายเที่ยวเป็นเหตุให้บ้านโจทก์สั่นสะเทือนร้าว เป็นละเมิด ต้องใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ แม้จะนำสืบจำนวนไม่ได้ชัดแจ้ง ศาลก็คำนวณให้ได้ตาม มาตรา 438