คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.พ.พ. ม. 420

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 4,810 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1528/2552 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดทางละเมิดจากการตกรางของรถไฟ การรถไฟต้องรับผิดแม้สินค้าไม่ตกจากรถโดยตรง
รถพ่วงบรรทุกตู้สินค้าตกรางทำให้ตู้บรรจุสินค้าเลื่อนไหลไปกระแทกกับตู้บรรจุสินค้าที่อยู่ด้านหน้าอันเป็นผลให้ม้วนกระดาษพิมพ์เขียนของโจทก์ที่อยู่ในตู้บรรจุสินค้าได้รับความเสียหาย เกิดจากการรถไฟแห่งประเทศไทยจำเลยเป็นผู้ประมาทเลินเล่อ จึงต้องรับผิดต่อโจทก์ในผลแห่งละเมิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420 แม้ตู้บรรจุสินค้าไม่ได้ตกจากรถพ่วงบรรทุกตู้บรรจุสินค้ามากระแทกพื้น ก็มิใช่ข้อสาระสำคัญที่จะทำให้จำเลยหลุดพ้นความรับผิด
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 609 บัญญัติว่า "การรับขนของหรือคนโดยสารในหน้าที่ของกรมรถไฟหลวงแห่งกรุงสยาม... ท่านให้บังคับตามกฎหมายและกฎข้อบังคับสำหรับทบวงการนั้นๆ" แต่พระราชบัญญัติจัดวางการรถไฟและทางหลวง พ.ศ.2464 มาตรา 50 และมาตรา 51 ให้ความคุ้มครองแก่จำเลยเฉพาะความรับผิดทางสัญญาไม่รวมถึงกรณีละเมิด เมื่อโจทก์ฟ้องขอให้จำเลยรับผิดฐานละเมิด จำเลยจะยกกฎหมายดังกล่าวมาปฏิเสธความรับผิดไม่ได้ ดังนั้น แม้โจทก์มิได้ประกันค่าระวางสินค้าไว้กับจำเลย โจทก์ก็มีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายจากจำเลย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1528/2552

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดของรถไฟในกรณีสินค้าเสียหาย: ละเมิด vs. สัญญา
บทบัญญัติมาตรา 609 แห่ง ป.พ.พ. กับบทบัญญัติมาตรา 50 และมาตรา 51 แห่ง พ.ร.บ.จัดวางการรถไฟและทางหลวง พ.ศ.2464 ให้ความคุ้มครองแก่จำเลยเฉพาะความรับผิดทางสัญญาไม่รวมถึงกรณีละเมิด เมื่อโจทก์ฟ้องขอให้จำเลยรับผิดฐานละเมิด จำเลยจะยกกฎหมายดังกล่าวมาปฏิเสธความรับผิดหาได้ไม่ ดังนั้น แม้โจทก์มิได้ประกันค่าระวางสินค้าก็ตาม โจทก์ก็มีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายจากจำเลยได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 796/2552 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กรรมสิทธิ์ในที่ดินจากการขายทอดตลาด & สิทธิรื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง กรณีจำเลยปลูกสร้างก่อนการขายทอดตลาด
ขณะจำเลยปลูกสร้างบ้านลงบนที่ดินพิพาทและบนที่ดินของจำเลยอีกแปลงหนึ่งที่อยู่ติดกันนั้น จำเลยเป็นเจ้าของที่ดินทั้งสองแปลง จำเลยย่อมมีสิทธิที่จะปลูกสร้างได้ในฐานะเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ กรณีจึงมิใช่การปลูกโรงเรือนรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของผู้อื่นโดยสุจริตตาม ป.พ.พ. มาตรา 1312 ครั้นต่อมาเมื่อที่ดินพิพาทถูกบังคับคดีนำออกขายทอดตลาดโจทก์เป็นผู้ซื้อที่ดินพิพาทได้จากการขายทอดตลาดแม้โจทก์จะรู้หรือไม่รู้ว่ามีบ้านหรือสิ่งปลูกสร้างอยู่ในที่ดินพิพาท แต่ที่ดินพิพาทก็เป็นของจำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษา จึงถือว่าโจทก์ซื้อที่ดินพิพาทมาโดยสุจริต สิทธิของโจกท์ที่ได้ที่ดินพิพาทจากการขายทอดตลาดย่อมไม่เสียไปตาม ป.พ.พ. มาตรา 1330 โจทก์จึงมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท และหลังจากโจทก์ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทมาจากการขายทอดตลาดแล้วไม่ปรากฏว่า โจทก์ซึ่งมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทได้ก่อให้เกิดสิทธิเหนือพื้นดินเป็นคุณแก่จำเลย โดยยอมให้จำเลยเป็นเจ้าของบ้านและสิ่งปลูกสร้างบนที่ดินของโจทก์ต่อไป และโจทก์ในฐานะมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทย่อมมีแดนแห่งกรรมสิทธิ์ที่ดินและมีสิทธิใช้สอย จำหน่าย ได้ดอกผลกับมีสิทธิติดตามเอาคืนทรัพย์สินของตนจากบุคคลผู้ไม่มีสิทธิจะยึดถือไว้และมีสิทธิขัดขวางมิให้ผู้อื่นสอดเข้าเกี่ยวข้องกับทรัพย์สินนั้นโดยมิชอบได้ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1335 และมาตรา 1336 เมื่อโจทก์ผู้มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินไม่ประสงค์จะให้จำเลยปลูกบ้านและสิ่งปลูกสร้างอยู่บนที่ดินโจทก์อีกต่อไป และบอกกล่าวให้จำเลยรื้อถอนออกจากที่ดินพิพาทแล้วจำเลยเพิกเฉย จึงเป็นการละเมิดทำให้โจทก์ไม่อาจใช้ประโยชน์ในที่ดินพิพาทได้ โจทก์ในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์ย่อมมีอำนาจขอให้บังคับจำเลยรื้อถอนบ้านและสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินพิพาทของโจทก์ได้ หาใช่เป็นการใช้สิทธิไม่สุจริตอย่างใด และกรณีมิใช่ไม่มีบทกฎหมายที่จะยกขึ้นปรับแก่คดีอันจะต้องอาศัยเพียงบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่งมาวินิจฉัยคดีตามมาตรา 4 แห่ง ป.พ.พ.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 748/2552

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดร่วมกันของเจ้าหน้าที่ควบคุม/ตรวจรับงานก่อสร้างที่ประมาทเลินเล่อ ทำให้เกิดความเสียหาย
เหตุละเมิดเกิดขึ้นก่อนที่ พ.ร.บ.ความทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ.2539 มีผลใช้บังคับ แม้โจทก์จะฟ้องคดีนี้ในวันที่ 18 มกราคม 2544 ซึ่งพระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับแล้ว แต่เมื่อ พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ.2539 มิได้มีบทบัญญัติให้ใช้บังคับแก่คดีละเมิดที่เกิดขึ้นก่อนพระราชบัญญัติฉบับนี้มีผลใช้บังคับ ความรับผิดทางละเมิดของผู้ทำละเมิดที่เกิดขึ้นก่อนพระราชบัญญัติฉบับนี้ใช้บังคับจึงต้องอยู่ภายในบทบัญญัติแห่ง ป.พ.พ.
จำเลยที่ 1 เป็นผู้ควบคุมงานจ้างก่อสร้างถนน จำเลยที่ 2 ถึงที่ 6 เป็นคณะกรรมการตรวจการจ้าง แต่ผู้รับจ้างก่อสร้างถนนไม่ถูกต้องตามแบบทำให้ถนนชำรุด การที่จำเลยที่ 1 ไม่ทำหน้าที่ควบคุมการก่อสร้างถนน ส่วนจำเลยที่ 2 ถึงที่ 6 มิได้ไปตรวจรับงานจ้างพร้อมกันไม่ชอบด้วยระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ.2535 ถือว่าจำเลยทั้งหกประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงในการปฏิบัติหน้าที่ตามที่ได้รับมอบหมายจากนายอำเภอสรรคบุรีเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหาย จำเลยทั้งหกจึงต้องร่วมกันรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายนั้นตาม ป.พ.พ. มาตรา 432 วรรคแรก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 202/2552

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การติดตั้งเสาไฟฟ้าบนที่ดินของผู้อื่นโดยไม่สำรวจสิทธิและไม่ขออนุญาต ถือเป็นการละเมิด
โจทก์ทั้งสามฟ้องขอให้บังคับการไฟฟ้านครหลวงจำเลยและบริวารระงับการกระทำละเมิดต่างๆ บนที่ดินของโจทก์ทั้งสาม พร้อมทั้งให้รื้อถอนเสาไฟฟ้า สายไฟฟ้า และสิ่งปลูกสร้างอื่นๆ ซึ่งได้กระทำลงบนที่ดินของโจทก์ทั้งสาม จำเลยให้การว่า จำเลยดำเนินการปักเสาไฟฟ้าและพาดสายไฟฟ้าตามคำขอของการเคหะแห่งชาติ ชาวบ้านผู้ใหญ่บ้านซอยชุมชนวัดพรพระร่วงประสิทธิ์ ซึ่งจำเลยตรวจสอบและเห็นว่าถูกต้องตามระเบียบแล้วจึงดำเนินการให้ตามขอ โดยไม่ได้จงใจหรือประมาทเลินเล่อ ทั้งได้รับคำยืนยันจากกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ชาวบ้านและสำนักงานเขตบางเขนว่า ที่ดินในซอยวัดพรพระร่วงประสิทธิ์เป็นทางสาธารณะ จำเลยไม่ได้ให้การว่าที่ดินพิพาทตกเป็นทางภาระจำยอม คดีจึงไม่มีประเด็นข้อพิพาทว่า ที่ดินพิพาทเป็นทางภาระจำยอมหรือไม่ แม้จำเลยจะนำสืบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเรื่องภาระจำยอมก็เป็นข้อเท็จจริงที่เกิดจากพยานนอกประเด็นข้อพิพาท และเป็นข้อเท็จจริงที่ได้มาโดยไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา ต้องห้ามมิให้ศาลรับฟังตามป.วิ.พ. มาตรา 87 (1) ที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ที่ดินพิพาทเป็นทางภาระจำยอม การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์ทั้งสาม จึงเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นและไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ที่ดินพิพาทมิใช่เป็นทางสาธารณะ การที่การไฟฟ้านครหลวงจำเลยทำการปักเสาไฟฟ้าและพาดสายไฟฟ้าในที่ดินพิพาทโดยมิได้สำรวจตรวจสอบถึงสิทธิในที่ดินให้ได้ความแน่ชัดเสียก่อน และมิได้รับความยินยอมจากโจทก์ทั้งสาม จึงเป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่อทำให้โจทก์ทั้งสามซึ่งเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินได้รับความเสียหายย่อมเป็นการละเมิด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 18/2552

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิเบิกค่าเช่าบ้านข้าราชการส่วนท้องถิ่น การย้ายไปประจำสำนักงานต่างท้องที่ และการเช่าซื้อบ้าน
ตามระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยค่าเช่าบ้านของข้าราชการส่วนท้องถิ่น พ.ศ.2528 คำว่า "ท้องที่" จำกัดเฉพาะอำเภอ กิ่งอำเภอหรือท้องที่ของอำเภอและหรือกิ่งอำเภอที่กระทรวงมหาดไทยกำหนดให้เป็นท้องที่เดียวกันเท่านั้น ไม่รวมถึงจังหวัด หากข้าราชการส่วนท้องถิ่นซึ่งมีสิทธิได้รับค่าเช่าบ้านตามระเบียบนี้ได้เช่าบ้านในท้องที่ที่ไปประจำสำนักงานใหม่เพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัยหรือได้อาศัยอยู่จริงในบ้านนั้น มีสิทธินำหลักฐานในการชำระค่าเช่าซื้อมาเบิกค่าเช่าบ้านได้หากตนเองได้ทำการผ่อนชำระค่าเช่าซื้อบ้านอยู่เพียงหลังเดียวในท้องที่นั้น และต่อมาหากได้รับแต่งตั้งให้รับราชการในท้องที่อื่นซึ่งตนมีสิทธิได้รับค่าเช่าบ้าน ก็ยังนำหลักฐานการชำระค่าเช่าซื้อในท้องที่เดิมมาเบิกค่าเช่าบ้านในท้องที่ใหม่ได้เช่นกัน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 16/2552

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดทางละเมิดจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ การประเมินค่าเสียหาย และอายุความฟ้อง
จำเลยร่วมที่ 1 ขับรถแซงรถยนต์บรรทุกหกล้อซึ่งแล่นอยู่ข้างหน้าเข้าไปในช่องเดินรถสวนในขณะที่ บ. ขับรถยนต์ยี่ห้อเบนซ์และ ล. ขับรถยนต์กระบะแล่นสวนทางมาในระยะใกล้ โดยไม่รอให้รถยนต์ยี่ห้อเบนซ์และรถคันที่จำเลยร่วมที่ 1 และ ล. ขับแล่นผ่านไปก่อนถึงแม้รถคันที่จำเลยร่วมที่ 1 ขับไม่ได้ชนกับรถยนต์ยี่ห้อเบนซ์ แต่หากจำเลยร่วมที่ 1 ไม่ขับรถแซงเข้าไปในช่องเดินรถสวนในระยะใกล้เช่นนั้นก็ไม่มีเหตุที่ทำให้ บ. จำต้องขับรถหลบไปด้านซ้ายของถนนเพื่อไม่ให้รถยนต์ยี่ห้อเบนซ์ถูกชน การที่รถยนต์ยี่ห้อเบนซ์หลบรถจำเลยร่วมที่ 1 แล้วพลิกคว่ำ จึงเป็นผลมาจากการที่จำเลยร่วมที่ 1 ขับรถแซงเข้ามาในช่องเดินรถสวนโดยตรง จำเลยร่วมที่ 1 จึงเป็นฝ่ายขับรถโดยประมาท
รถยนต์ยี่ห้อเบนซ์สามารถซ่อมแซมให้กลับคืนสภาพเดิมได้ในวงเงิน 1,200,000 บาท โจทก์จึงมีหน้าที่จัดการซ่อมรถยนต์ยี่ห้อเบนซ์ให้ผู้เอาประกันภัยแล้วรับช่วงสิทธิมาเรียกร้องค่าซ่อมจำนวนดังกล่าวจากจำเลยร่วมที่ 1 การที่โจทก์พิจารณาจ่ายค่าเสียหายตามทุนประกัน 2,200,000 บาท ให้แก่ผู้เอาประกันแทนการซ่อมรถให้ผู้เอาประกันเป็นเรื่องที่โจทก์และผู้เอาประกันตกลงกันเองที่ขัดกับหลักปฏิบัติของโจทก์ในกรณีที่รถเอาประกันสามารถซ่อมได้ทางโจทก์จะไม่คืนทุนประกันให้ลูกค้า จึงไม่อาจนำมาเรียกร้องให้จำเลยร่วมที่ 1 รับผิดต่อโจทก์ได้ จำเลยร่วมที่ 1 คงรับผิดต่อโจทก์ตามความเสียหายที่แท้จริงที่โจทก์จะต้องจ่ายไปในการซ่อมรถให้ผู้เอาประกันภัยในวงเงิน 1,200,000 บาท
โจทก์นำรถยนต์ยี่ห้อเบนซ์ซึ่งได้รับโอนกรรมสิทธิ์มาจากบริษัท ก. ออกขายเพื่อให้ได้เงินมาชดเชยค่าเสียหายตามทุนประกันที่โจทก์ได้จ่ายไปในส่วนที่ยังขาดอยู่ย่อมเป็นสิทธิของโจทก์ที่จะกระทำได้ ไม่เกี่ยวกับความรับผิดของจำเลยร่วมที่ 1 ที่มีต่อโจทก์จะนำมาหักออกจากค่าซ่อมที่จำเลยร่วมที่ 1 มีหน้าที่ต้องจ่ายให้โจทก์ไม่ได้ จำเลยร่วมที่ 1 จึงยังคงต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 14818/2551

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความฟ้องละเมิดลิขสิทธิ์, การแจ้งความร้องทุกข์เพื่อปกป้องสิทธิ, เจ้าของลิขสิทธิ์งานดนตรีกรรม
คำฟ้องของโจทก์เป็นการกล่าวอ้างว่า จำเลยกระทำละเมิดต่อโจทก์ด้วยการแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน อายุความ 1 ปี ในการเรียกค่าเสียหายอันเกิดแต่มูลละเมิดนับแต่วันที่โจทก์รู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนตาม ป.พ.พ. มาตรา 448 วรรคหนึ่ง คือวันที่โจทก์ทราบเรื่องการแจ้งความร้องทุกข์ของจำเลย โจทก์เพิ่งทราบเรื่องการแจ้งความร้องทุกข์ของจำเลยเมื่อวันที่ 15 กันยายน 2546 อายุความ 1 ปี เริ่มต้นนับจากวันดังกล่าว เมื่อโจทก์ฟ้องคดีนี้ในวันที่ 9 กันยายน 2547 คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ และกรณีไม่ต้องนำ ป.พ.พ. มาตรา 193/17 มาใช้บังคับ เพราะขณะที่ศาลแพ่งมีคำสั่งจำหน่ายคดีของโจทก์นั้น คดีของโจทก์ยังไม่ขาดอายุความ หรือจะครบกำหนดภายในหกสิบวันนับแต่วันที่คำสั่งนั้นถึงที่สุดแต่อย่างใด
ลิขสิทธิ์ในงานดนตรีกรรมรวมถึงงานเรียบเรียงเสียงประสานด้วย เมื่อจำเลยกล่าวอ้างว่า จำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์งานดนตรีกรรมเพลง "น้ำตาฟ้า" ในส่วนของงานเรียบเรียงเสียงประสาน และปกในของเทปเพลงที่วางจำหน่ายทั่วไปโดยมีงานดังกล่าวอยู่ด้วยระบุรายละเอียดของเพลงนี้ว่า ส. เป็นผู้ประพันธ์คำร้องและทำนองส่วนจำเลยเป็นผู้เรียบเรียงเสียงประสาน จึงต้องด้วยข้อสันนิษฐานของ พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ฯ มาตรา 62 วรรคสอง โจทก์จึงมีภาระการพิสูจน์โต้แย้งว่า จำเลยไม่มีลิขสิทธิ์ในงานเรียบเรียงเสียงประสานของงานดนตรีกรรมเพลง "น้ำตาฟ้า"
กรณีมีเหตุทำให้จำเลยเข้าใจว่า จำเลยถูกละเมิดลิขสิทธิ์ ทั้งปรากฏว่าจำเลยเคยแจ้งให้มีการระงับการกระทำละเมิดลิขสิทธิ์ของจำเลยแล้ว จำเลยจึงชอบที่จะแจ้งความร้องทุกข์เพื่อปกป้องสิทธิประโยชน์ของตนตามกฎหมายได้ ไม่ถือว่าเป็นการจงใจหรือประมาทเลินเล่อกระทำต่อโจทก์โดยผิดกฎหมาย หรือเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตซึ่งมีแต่จะทำให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์แต่อย่างใด การที่จำเลยแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนไม่ถือว่าเป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9698/2551

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ภาระจำยอมในที่ดินจัดสรร: การใช้ถนนสาธารณะเพื่อเข้าถึงโครงการและการรับโอนกรรมสิทธิ์
จำเลยที่ 1 กับ ก. เป็นหุ้นส่วนในการจัดสรรที่ดินขายโดยใช้ที่ดินพิพาทเป็นถนนเข้าสู่โครงการ การที่จำเลยที่ 1 กับ ก. ใช้ถนนเป็นทางเข้าออกของหมู่บ้านจัดสรรถือเป็นสาธารณูปโภคซึ่งตามประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 286 ข้อ 30 ให้ถือว่าตกอยู่ในภาระจำยอมเพื่อประโยชน์แก่ที่ดินจัดสรร และให้เป็นหน้าที่ของผู้จัดสรรที่ดินหรือผู้รับโอนกรรมสิทธิ์คนต่อไปที่จะบำรุงรักษาให้คงสภาพดังที่ได้จัดทำขึ้นโดยตลอดไป แม้ต่อมาจะได้มีพระราชบัญญัติจัดสรรที่ดิน พ.ศ.2543 มาตรา 3 ให้ยกเลิกประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 286 แต่พระราชบัญญัติจัดสรรที่ดิน พ.ศ.2543 มาตรา 43 ก็ยังคงมีบทบัญญัติเช่นเดิม จึงต้องถือว่าถนนดังกล่าวเป็นสาธารณูปโภคที่ผู้จัดสรรที่ดินได้จัดให้มีขึ้นเพื่อการจัดสรรที่ดิน จึงตกอยู่ในภาระจำยอมเพื่อประโยชน์แก่ที่ดินจัดสรร ซึ่งมิอาจทำให้ภาระจำยอมลดไปหรือเสื่อมความสะดวกได้ การที่โจทก์รับซื้อฝากที่ดินจาก ก. แม้จะได้กรรมสิทธิ์จากการรับซื้อฝาก ภาระจำยอมดังกล่าวก็ย่อมตกติดไปด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9173/2551

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิเรียกร้องค่าเสียหายของผู้ครอบครองทรัพย์สิน: ผู้ครอบครองมีสิทธิฟ้องหากได้รับความเสียหายจากการละเมิด แม้ไม่ใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์
การเรียกค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอันเกิดจากการละเมิด มิใช่มีแต่เพียงเจ้าของกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่จะเป็นผู้เสียหายได้เท่านั้น ผู้ครอบครองใช้ประโยชน์ในทรัพย์สินก็เป็นผู้ถูกโต้แย้งสิทธิ และสามารถใช้สิทธิทางศาลได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 55 เมื่อสัญญาร่วมการงานและร่วมทุนระบุให้โจทก์มีสิทธิใช้ครอบครอง และได้ผลประโยชน์จากอุปกรณ์ในระบบ ทั้งสัญญาดังกล่าวยังกำหนดให้โจทก์มีหน้าที่บำรุงรักษาอุปกรณ์ในระบบให้อยู่ในสภาพใช้งานได้ดีตลอดเวลาด้วย ค่าใช้จ่ายของโจทก์หากอุปกรณ์สูญหายหรือเสียหายจนใช้การไม่ได้ ดังนี้ โจทก์ในฐานะผู้ครอบครองใช้ประโยชน์ และดูแลรักษาอุปกรณ์ที่ได้รับความเสียหายจากการละเมิดในทางการที่จ้างของลูกจ้างจำเลย โจทก์จึงเป็นผู้เสียหายและมีอำนาจฟ้องเรียกค่าเสียหายคดีนี้
of 481