คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.พ.พ. ม. 420

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 4,810 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 396/2544 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การชนกันระหว่างรถยนต์: ผู้ขับขี่ต้องพิสูจน์ความประมาทของอีกฝ่าย
เหตุรถชนเกิดขึ้นจากรถยนต์ของโจทก์และจำเลยซึ่งเป็นยานพาหนะอันเดินด้วยกำลังเครื่องจักรกลทั้งสองฝ่ายแล่นชนกัน จึงมิใช่กรณีตาม ป.พ.พ. มาตรา 437 โจทก์จึงมีหน้าที่นำสืบว่าจำเลยเป็นฝ่ายประมาท เพราะโจทก์เป็นผู้กล่าวอ้างข้อเท็จจริงนี้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 84

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 386/2544

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดจากอุบัติเหตุทางรถยนต์: จำเลยประมาทแต่เพียงฝ่ายเดียว ผู้ตายไม่มีส่วนประมาท
แม้ขณะก่อนเกิดเหตุ ผู้ตายขับรถด้วยความเร็ว 70-80 กิโลเมตรต่อชั่วโมงก็ตาม หากรถที่จำเลยขับไม่เสียหลักมาขวางถนนในช่องทางเดินรถของผู้ตายในระยะกระชั้นชิด เหตุเฉี่ยวชนคงจะไม่เกิดขึ้นดังปรากฏตามแผนที่เกิดเหตุแสดงให้เห็นว่าผู้ตายขับรถด้วยความระมัดระวังอย่างดีแล้วและได้พยายามหักหลบไปทางซ้าย แต่ไม่สามารถหลบได้พ้นรถเทรลเลอร์ที่จำเลยขับ พร้อมส่วนพ่วงมีความยาวทั้งหมด 11 ถึง 12 เมตร มีน้ำหนักมากทั้งสภาพเป็นทางขึ้นเนินหากจำเลยขับรถด้วยความเร็วประมาณ 30 ถึง 40กิโลเมตรต่อชั่วโมงอาจจะไม่สามารถขึ้นเนินได้ เชื่อได้ว่าจำเลยขับรถมาด้วยความเร็วสูง เมื่อห้ามล้อกะทันหันจึงเสียหลักขวางถนนเข้าไปในช่องทางเดินรถของผู้ตาย เหตุที่รถยนต์ทั้งสองคันเฉี่ยวชนกันเกิดจากความประมาทของจำเลยแต่เพียงฝ่ายเดียว ผู้ตายมิได้มีส่วนร่วมประมาทด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9036/2543

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อตกลงการวินิจฉัยข้อพิพาทโดยจำกัดประเด็น ทำให้สละสิทธิในการอ้างเหตุอื่นนอกเหนือจากที่ตกลงไว้
คดีก่อนศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า การที่จำเลยที่ 1 ปิดกั้นทางเข้าออกและเรียกเก็บเงินค่าผ่านถนนพิพาทเป็นการทำตามมติเสียงข้างมากของที่ประชุมชาวบ้านที่อยู่อาศัยในศูนย์การค้า โจทก์คดีดังกล่าวแม้ไม่เห็นด้วยก็ต้องปฏิบัติตาม การปิดกั้นทางเข้าออกและเรียกเก็บเงินของจำเลยที่ 1 เป็นการกระทำโดยชอบ ไม่เป็นการละเมิด เมื่อโจทก์กับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ท้ากันให้ถือเอาคำพิพากษาคดีดังกล่าวมาเป็นข้อวินิจฉัยคดีนี้ จึงต้องฟังว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 สามารถปิดกั้นทางเข้าออกและเรียกเก็บเงินค่าผ่านถนนพิพาทตามข้อบังคับของจำเลยที่ 2 ซึ่งออกตามมติของที่ประชุมดังกล่าวได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8976/2543

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ละเมิดจากรถบรรทุก, ประมาทเลินเล่อ, กรมธรรม์ประกันภัย, ความรับผิดร่วมกัน, เหตุยกเว้น
จำเลยที่ 1 ลูกจ้างของจำเลยที่ 2 ขับรถยนต์บรรทุกสิบล้อซึ่งบรรทุกทรายเต็มคันรถในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2ถอยหลังไปตามถนนคอนกรีตกว้างประมาณ 4 เมตร ล้อหลังขวาปีนขอบถนนซึ่งเป็นคอนกรีตสูงจากพื้นถนนประมาณ 15 เซนติเมตร ขึ้นบนบริเวณประตูทางเข้าลานไกที่มีฝาตะแกรงเหล็กปิดอยู่ ทำให้ฝาตะแกรงเหล็กยุบลงไปโดนสายเคเบิล ซึ่งอยู่ด้านล่างแตกฉีกขาด ไฟฟ้าลัดวงจรและเกิดไฟลุกไหม้สายเคเบิล แสดงว่าการถอยรถยนต์ดังกล่าว จำเลยที่ 1 มิได้ใช้ความระมัดระวังควบคุมให้รถยนต์แล่นอยู่บนพื้นผิวถนน จึงเป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่อและละเมิดแก่โจทก์ จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นนายจ้าง จึงต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ต่อโจทก์
จำเลยที่ 1 มิได้ขับรถยนต์บรรทุกคันเกิดเหตุไปบนถนน ทางเดิน หรือทางวิ่งสำหรับรถยนต์ แต่ขับโดยล้อหลังด้านขวาปีนข้ามขอบถนนเข้าไปในบริเวณที่เกิดเหตุซึ่งไม่ใช่พื้นที่ของถนน เมื่อน้ำหนักบรรทุกของรถยนต์ทำให้ฝาตะแกรงเหล็กปิดรางสายเคเบิลในบริเวณลานไกยุบลงไปทับสายเคเบิลอันเป็นทรัพย์สินของโจทก์เสียหาย จึงไม่เข้าข้อยกเว้นความรับผิดตามกรมธรรม์ประกันภัยข้อ 2.12.2 ที่ระบุว่า จำเลยที่ 3 ผู้รับประกันภัยค้ำจุนรถยนต์บรรทุกสิบล้อของจำเลยที่ 2 ไม่ต้องรับผิดเนื่องจากความเสียหายที่เกิดใต้ถนน ทางเดิน ทางวิ่ง หรือสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่อยู่ใต้สิ่งดังกล่าว อันเกิดจากการสั่นสะเทือนหรือจากน้ำหนักรถยนต์หรือน้ำหนักบรรทุกของรถยนต์ จำเลยที่ 3 จึงต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ต่อโจทก์
ที่จำเลยทั้งสามฎีกาว่า พนักงานของโจทก์ปล่อยปละละเลยให้เครื่องปรับกำลังดันกระแสไฟฟ้าหมุนโดยขาดน้ำมันหล่อลื่นถึง 2 วัน จนทำให้ลูกปืน (แบริ่ง) หลอมละลายจนใช้การไม่ได้ ถือว่าความเสียหายเกิดจากการกระทำของโจทก์ ความข้อนี้จำเลยทั้งสามเพิ่งยกขึ้นกล่าวอ้างในชั้นฎีกาโดยมิได้ถามค้านพยานโจทก์และนำสืบต่อสู้คดีไว้ จึงเป็นข้อเท็จจริงที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 2 ต้องห้ามมิให้ฎีกาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7589/2543

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความประมาทเลินเล่อของธนาคารในการเรียกเก็บเช็คพิพาท ทำให้โจทก์เสียหาย
พนักงานของจำเลยได้มีหนังสือชี้แจงโจทก์ มีข้อความตอนหนึ่งระบุว่า การเรียกเก็บเงินตามเช็คพิพาทต้องใช้เวลาเรียกเก็บประมาณ 1 เดือน ถึง 3 เดือน ซึ่งจำเลยมิได้ปฏิเสธว่าหนังสือดังกล่าวมิใช่เอกสารของพนักงานของจำเลยมีถึงโจทก์และมิได้ปฏิเสธว่าข้อความดังกล่าวไม่ถูกต้องแต่ประการใด แสดงว่า การเรียกเก็บเงินในลักษณะเดียวกันกับเช็คพิพาทตามปกติจะต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จว่าเรียกเก็บเงินได้หรือไม่ได้ภายในเวลาไม่เกิน 3 เดือน หรือไม่เกินวันที่ 20 สิงหาคม 2537 และจำเลยต้องแจ้งผลการเรียกเก็บเงินตามเช็คพิพาทไม่ได้ให้โจทก์ทราบภายในเวลาอันสมควร การที่จำเลยไม่แจ้งผลการเรียกเก็บเงินตามเช็คพิพาทไม่ได้ให้โจทก์ทราบภายในระยะเวลาอันสมควรโดยปล่อยให้เวลาล่วงเลยจากวันที่ 20 สิงหาคม 2537 ออกไปอีกประมาณ 6 เดือน ถือได้ว่าจำเลยในฐานะผู้มีวิชาชีพเรียกเก็บเงินตามเช็คพิพาทแทนโจทก์กระทำการโดยประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหายตาม ป.พ.พ. มาตรา 420

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7561/2543

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความประมาทเลินเล่อของผู้ให้บริการโทรคมนาคมในการตรวจสอบเอกสารผู้ใช้บริการ ทำให้โจทก์เสียหาย
จำเลยได้รับอนุญาตจากโจทก์ให้เป็นผู้ดำเนินการจัดให้มีการขยายเครือข่ายการให้บริการและดำเนินการให้บริการวิทยุคมนาคมระบบเซลลูล่าเป็นการให้สัมปทานไปตามข้อสัญญาซึ่งกำหนดว่าผู้ขอเช่าใช้บริการจะต้องมาทำสัญญาเช่าใช้บริการกับจำเลย จำเลยจะให้ผู้เช่าใช้บริการทำสัญญาตามแบบพิมพ์ที่โจทก์กำหนดและจะต้องส่งสัญญาพร้อมสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนและสำเนาทะเบียนบ้านซึ่งเป็นบัญชีรายชื่อของผู้ขอใช้บริการทั้งหลายเสนอต่อโจทก์ จำเลยมีหน้าที่เรียกเก็บเงินค่าเช่าใช้บริการจากผู้ขอเอง ส่วนกรณีการให้บริการโทรศัพท์ระหว่างประเทศเป็นบริการสาธารณะของโจทก์เองตามนโยบายของรัฐบาล โจทก์เป็นผู้เรียกเก็บเงินค่าเช่าใช้บริการเอง แต่ผู้ขอเช่าใช้บริการระหว่างประเทศจะต้องมาทำสัญญากับจำเลยผ่านเครือข่ายวิทยุคมนาคมระบบเซลลูล่าของจำเลย ซึ่งจำเลยจะจัดส่งสัญญาพร้อมหลักฐานของผู้ขอใช้บริการในลักษณะเช่นเดียวกันกับผู้ขอใช้บริการโทรศัพท์ภายในประเทศ ในการที่โจทก์จะเป็นผู้เรียกเก็บค่าเช่าใช้บริการเอง เพื่อความรอบคอบจำเลยควรที่จะตรวจสอบความถูกต้องก่อนที่จำเลยจะขอให้โจทก์เปิดใช้บริการทางไกลระหว่างประเทศ ทั้งนี้จะต้องตรวจสอบสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนและสำเนาทะเบียนบ้านของผู้ขอที่นำมาประกอบสัญญาเป็นสำคัญ จำเลยจะต้องใช้ความละเอียดรอบคอบตรวจสอบหลักฐานได้โดยไม่ยากนัก จะอ้างแต่เพียงว่าได้กรอกข้อความตามที่ผู้ขอเช่าใช้บริการแจ้งมาและมีเอกสารต่าง ๆ ครบถ้วน โดยไม่จำต้องตรวจสอบความถูกต้องแท้จริงของเอกสารหาได้ไม่ เพราะจำเลยจะต้องเป็นผู้ตรวจสอบคนสุดท้ายก่อนที่จะเสนอโจทก์พิจารณาอนุมัติ ในเมื่อจำเลยเห็นโดยชัดแจ้งอยู่แล้วว่าภาพถ่ายบัตรประจำตัวประชาชนของผู้ขอรายนี้เลอะเลือนไม่ชัดเจนและไม่มีลายมือชื่อผู้ถือบัตร จำเลยย่อมสามารถระงับหรือขอให้แก้ไขให้ถูกต้องได้ แต่กลับไม่กระทำ จึงเป็นเหตุให้โจทก์พิจารณาอนุมัติให้ผู้ขอใช้บริการทางไกลระหว่างประเทศ และในที่สุดไม่สามารถเรียกเก็บค่าใช้บริการรายนี้ได้ ถือว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นเพราะความประมาทเลินเล่อของจำเลย จำเลยจึงต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7292/2543

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าของสระว่ายน้ำต่อผู้ใช้บริการ กรณีขาดอุปกรณ์ช่วยชีวิตและเจ้าหน้าที่ดูแลความปลอดภัย
มาตรฐานของความปลอดภัยในการจัดตั้งสระว่ายน้ำจะต้องมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยและอุปกรณ์ในการช่วยชีวิต จำเลยเป็นเจ้าของสระว่ายน้ำเปิดให้บริการแก่บุคคลทั่วไปโดยเก็บค่าบริการจากผู้มาใช้บริการก็ต้องยึดถือตามมาตรฐานนั้นด้วย ยิ่งก่อนหน้านี้ก็มีผู้มาใช้บริการจมน้ำในสระว่ายน้ำของจำเลยมาแล้ว จำเลยยิ่งควรต้องเพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัยให้มากขึ้น แต่จำเลยมิได้ปรับปรุงแก้ไข ถือว่าละเว้นปฏิบัติในสิ่งซึ่งตามวิสัยของผู้ประกอบธุรกิจให้บริการสระว่ายน้ำควรต้องปฏิบัติ แม้จำเลยจะปิดประกาศไว้ที่สระว่ายน้ำว่าผู้มาใช้บริการสระว่ายน้ำ ผู้ปกครองของผู้มาใช้บริการสระว่ายน้ำจะต้องเป็นผู้ดูแลรับผิดชอบด้วยตนเองก็ไม่ทำให้จำเลยพ้นจากความรับผิด เมื่อจำเลยไม่ระมัดระวังทำให้ไม่มีผู้เข้าช่วยเหลือเด็กชาย ภ. ซึ่งจมน้ำได้ทันท่วงทีและถูกต้อง ทั้งไม่มีอุปกรณ์ช่วยชีวิตที่จะปฐมพยาบาล ทำให้สมองขาดออกซิเจนเป็นเวลานานจนสมองพิการจึงเป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่อของจำเลย
หลังจากออกจากโรงพยาบาลแล้ว เด็กชาย ภ. มีอาการทางสมองพิการ แขนขาชักเกร็งไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ ต้องให้ยาลดอาการทางสมองและหากมีอาการเกร็งก็ต้องทำกายภาพบำบัดทุกวันเด็กชาย ภ. จะต้องอยู่ในสภาพช่วยเหลือตนเองไม่ได้เช่นนั้นตลอดไปค่าดูแลรักษาที่จะต้องใช้จ่ายต่อไปจึงเป็นค่าใช้จ่ายอันต้องเสียไปเนื่องจากการกระทำละเมิดให้เสียหายแก่ร่างกายในอนาคตเป็นคนละส่วนกับค่ารักษาพยาบาลที่โจทก์ได้จ่ายไปก่อนแล้วและไม่เป็นการกำหนดค่าเสียหายซ้ำซ้อนกัน ทั้งเมื่อเด็กชาย ภ. อยู่ในสภาพไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ ย่อมเสียความสามารถประกอบการงานโดยสิ้นเชิงทั้งในเวลาปัจจุบันและในอนาคต ซึ่งเป็นผลโดยตรงจากการกระทำละเมิดของจำเลย หาใช่ไกลเกินเหตุไม่ โจทก์เรียกร้องค่าเสียหายในการสูญเสียความสามารถในการประกอบการงานได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7252/2543

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาเช่าและอำนาจฟ้องขับไล่ แม้ผู้ให้เช่ามิได้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ แต่มีสิทธิฟ้องได้หากมีสัญญาเช่า
ในเรื่องเช่าทรัพย์ ไม่มีกฎหมายบัญญัติว่าผู้ให้เช่าจะต้องเป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์ที่ให้เช่า ดังนั้น เมื่อจำเลยให้การรับว่าจำเลยได้ทำสัญญาเช่าที่ดินพิพาทจากโจทก์จริง ทั้งสองฝ่ายก็ย่อมต้องผูกพันตามสัญญาเช่า จำเลยเข้าไปอยู่ในที่ดินพิพาทโดยอาศัยสิทธิตามสัญญาเช่า เมื่อครบกำหนดระยะเวลาเช่าแล้วโจทก์ไม่ต่ออายุสัญญาสัญญาเช่าย่อมระงับสิ้นไป โจทก์ซึ่งเป็นผู้ให้เช่าย่อมมีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยในฐานะผู้เช่าได้ ส่วนข้อพิพาทเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทระหว่างโจทก์กับวัด ช. ตามที่จำเลยกล่าวอ้างจะมีอยู่อย่างไรก็ไม่ใช่ข้อสำคัญเพราะกรณีนี้เป็นข้อพิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยซึ่งเป็นคู่สัญญาในสัญญาเช่าเท่านั้น จึงไม่มีเหตุที่ศาลจะต้องให้คู่ความนำพยานเข้าสืบเพื่อฟังข้อเท็จจริงว่าโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยชอบหรือไม่ และการที่จำเลยไม่ยอมออกไปจากที่ดินพิพาทตามหนังสือบอกกล่าวของโจทก์ย่อมเป็นการทำละเมิดต่อโจทก์ โจทก์จึงมีสิทธิเรียกค่าเสียหายจากจำเลยได้
จำเลยมิได้ให้การปฏิเสธฟ้องโจทก์ในเรื่องค่าเสียหายจึงไม่มีสิทธินำพยานเข้าสืบ แม้โจทก์ยังคงมีภาระการพิสูจน์ตามข้อกล่าวอ้างในคำฟ้อง แต่ก็ปรากฏว่าคู่ความได้แถลงรับกันแล้วว่าค่าเสียหายที่โจทก์เรียกมานั้นเป็นค่าเสียหายที่คิดคำนวณจากฐานค่าเช่าเดิม ประกอบกับในเรื่องค่าเสียหายนั้น ศาลมีอำนาจวินิจฉัยและกำหนดตามควรแก่พฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งละเมิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 438 อยู่แล้ว จึงไม่มีความจำเป็นที่ศาลต้องฟังพยานหลักฐานของคู่ความในประเด็นข้อนี้อีกต่อไป ที่ศาลชั้นต้นงดสืบพยานโจทก์และจำเลยแล้วพิจารณาให้โจทก์ชนะคดีจึงชอบแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6883/2543

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การประวิงเวลาบังคับคดีทำให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ซื้อทรัพย์ ผู้ซื้อทรัพย์มีสิทธิเรียกร้องจากผู้มีเจตนาไม่สุจริต
ผู้ซื้อทรัพย์อ้างว่าเป็นผู้ให้ราคาสูงสุด และเจ้าพนักงานบังคับคดีอนุมัติให้ขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างแก่ผู้ซื้อทรัพย์แล้ว จำเลยทั้งสองได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนการขายทอดตลาดของเจ้าพนักงานบังคับคดี และจำเลยได้ใช้สิทธิในการดำเนินกระบวนพิจารณาโดยไม่สุจริต และไม่ชอบด้วยกฎหมาย มีเจตนาประวิงเวลาในการบังคับคดีของศาล ทำให้ผู้ซื้อทรัพย์ ไม่สามารถนำที่ดินที่ซื้อไปจัดสรรขายได้ ขอให้ยกเลิกการขายและให้ คู่สัญญาทั้งสองกลับคืนสู่ฐานะดังที่เป็นอยู่เดิมคำร้องของผู้ซื้อทรัพย์ มิใช่เป็นการกล่าวอ้างว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ดำเนินการบังคับคดีฝ่าฝืน ต่อบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ภาค 4 ลักษณะ 2 อันว่าด้วยการบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่ง หากผู้ซื้อทรัพย์เห็นว่า บุคคลใดมีเจตนาไม่สุจริตจงใจ ทำให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ซื้อทรัพย์ ก็ชอบที่จะว่ากล่าวเรียกร้องเอาจากบุคคลนั้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6883/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การประวิงเวลาบังคับคดีและการเสียสิทธิของผู้ซื้อทรัพย์จากการขายทอดตลาด
ผู้ซื้อทรัพย์อ้างว่าเป็นผู้ให้ราคาสูงสุด และเจ้าพนักงานบังคับคดีอนุมัติให้ขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างแก่ผู้ซื้อทรัพย์แล้ว จำเลยทั้งสองได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนการขายทอดตลาดของเจ้าพนักงานบังคับคดี และจำเลยได้ใช้สิทธิในการดำเนินกระบวนพิจารณาโดยไม่สุจริต และไม่ชอบด้วยกฎหมาย มีเจตนาประวิงเวลาในการบังคับคดีของศาล ทำให้ผู้ซื้อทรัพย์ไม่สามารถนำที่ดินที่ซื้อไปจัดสรรขายได้ ขอให้ยกเลิกการขายและให้คู่สัญญาทั้งสองกลับคืนสู่ฐานะดังที่เป็นอยู่เดิมคำร้องของผู้ซื้อทรัพย์มิใช่เป็นการกล่าวอ้างว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ดำเนินการบังคับคดีฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติแห่ง ป.วิ.พ.ภาค 4 ลักษณะ 2 อันว่าด้วยการบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่ง หากผู้ซื้อทรัพย์เห็นว่าบุคคลใดมีเจตนาไม่สุจริตจงใจทำให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ซื้อทรัพย์ก็ชอบที่จะว่ากล่าวเรียกร้องเอาจากบุคคลนั้น
of 481