พบผลลัพธ์ทั้งหมด 4,810 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5349/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิสูจน์ความรับผิดในละเมิดการใช้ไฟฟ้า จำเลยต้องพิสูจน์การกระทำของโจทก์หรือผู้ที่โจทก์ยินยอม
สัญญาซื้อขายไฟฟ้าที่โจทก์ผู้ซื้อทำกับจำเลยที่1ผู้ขายระบุว่าผู้ซื้อและผู้ขายตระหนักถึงสิทธิและหน้าที่ของคู่สัญญาแต่ละฝ่ายในอันที่จะต้องปฏิบัติตามสัญญาด้วยความสุจริตจะไม่กระทำการใดๆหรือยอมให้ผู้อื่นกระทำการใดอันมีลักษณะเป็นการละเมิดการใช้ไฟฟ้าการละเมิดการใช้ไฟฟ้าหมายถึงการทำลายหรือการดัดแปลงแก้ไขมาตรวัดไฟฟ้าหรืออุปกรณ์ประกอบใดๆตลอดจนเครื่องหมายหรือตราต่างๆทำให้มาตรวัดไฟฟ้าอ่านค่าคลาดเคลื่อนหรือเป็นผลให้ผู้ขายต้องสูญเสียประโยชน์อันพึงมีพึงได้หรือกระทำการอื่นใดที่มีลักษณะคล้ายคลึงกันหรือต่อไฟตรงโดยไม่ผ่านมาตรวัดไฟฟ้าเห็นได้ว่าการที่จำเลยที่1จะเรียกให้โจทก์ชดใช้ในกรณีละเมิดการใช้ไฟฟ้าได้จะต้องเป็นกรณีที่โจทก์กระทำการใดๆหรือยอมให้ผู้อื่นกระทำการใดอันมีลักษณะเป็นการละเมิดการใช้ไฟฟ้าแต่พยานหลักฐานของจำเลยที่1ฟังไม่ได้ว่าการละเมิดการใช้ไฟฟ้าเกิดจากการกระทำของโจทก์หรือโจทก์ยอมให้ผู้อื่นกระทำกลับปรากฏว่ามิเตอร์และอุปกรณ์ประกอบตั้งอยู่ริมถนนสาธารณะนอกโรงงานโจทก์และห่างหน้าโรงงานประมาณ150เมตรเป็นที่เปลี่ยวไม่มีบ้านเรือนอยู่ใกล้เคียงคนทั่วไปเข้าถึงได้ตลอดเวลาทั้งก่อนเกิดเหตุคดีนี้จำเลยที่1มีหนังสือถึงโจทก์ขอความร่วมมือประสานงานการจดหน่วยทุกๆวันจึงไม่น่าเชื่อว่าโจทก์จะทำการละเมิดการใช้ไฟฟ้าทั้งๆที่รู้ว่าจำเลยที่1กำลังระมัดระวังอยู่โจทก์ไม่จำต้องรับผิดในการละเมิดการใช้ไฟฟ้า
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5319/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับฟังพยานหลักฐานเอกสารและการบังคับอายุความสิทธิเรียกร้องเงินคืน
เอกสารหมาย ล.3 ที่จำเลยอ้างเป็นเพียงสำเนาภาพถ่ายเอกสารและโจทก์ก็มีหนังสือตอบปฏิเสธว่าไม่ได้ดำเนินการส่งเรื่องไปตรวจพิสูจน์เท่ากับโจทก์ไม่รับรองว่าสำเนาเอกสารถูกต้อง เมื่อจำเลยที่ 1 ไม่แสดงเหตุขัดข้องที่ไม่ส่งต้นฉบับและไม่นำผู้รับรองสำเนาเอกสารมาเบิกความรับรอง จึงไม่อาจรับฟังเอกสารดังกล่าวเป็นพยานหลักฐานได้
จำเลยที่ 1 มีหน้าที่และความรับผิดชอบเกี่ยวกับการเงินของโจทก์ และได้ยืมเงินงบประมาณเพื่อนำไปใช้จ่ายหมุนเวียนและปฏิบัติงานตามโครงการ เมื่อปฏิบัติเสร็จแล้วต้องนำใบสำคัญคู่จ่ายเงินส่งใช้ใบยืม หากมีเงินเหลือให้ส่งใช้ใบยืมเงิน เมื่อจำเลยที่ 1 ไม่ส่งใช้ใบยืมจนครบ จำเลยที่ 1ก็จะต้องชดใช้เงินคืนให้ทางราชการจนครบ ดังนี้ถือว่าเงินที่จะต้องคืนนั้นเป็นเงินของทางราชการที่ยังอยู่ในความดูแลรักษาของจำเลยที่ 1 ตามหน้าที่ ซึ่งสิทธิเรียกร้องของโจทก์ในเรื่องนี้ไม่มีบทบัญญัติเรื่องอายุความไว้โดยเฉพาะจึงต้องบังคับตาม ป.พ.พ.มาตรา 193/30 ที่แก้ไขใหม่ (มาตรา 164 เดิม) คือมีอายุความ 10 ปี เมื่อนับแต่จำเลยที่ 1 มีหน้าที่คืนเงินจนถึงวันฟ้องเรียกเงินคืนยังไม่พ้น 10 ปี คดีจึงไม่ขาดอายุความ กรณีที่โจทก์ฟ้องเรียกคืนเช่นนี้ไม่ใช่การเรียกร้องค่าเสียหายจะนำอายุความเรียกร้องค่าเสียหายในกำหนด 1 ปี ตามมาตรา 448 มาใช้บังคับ
จำเลยที่ 1 มีหน้าที่และความรับผิดชอบเกี่ยวกับการเงินของโจทก์ และได้ยืมเงินงบประมาณเพื่อนำไปใช้จ่ายหมุนเวียนและปฏิบัติงานตามโครงการ เมื่อปฏิบัติเสร็จแล้วต้องนำใบสำคัญคู่จ่ายเงินส่งใช้ใบยืม หากมีเงินเหลือให้ส่งใช้ใบยืมเงิน เมื่อจำเลยที่ 1 ไม่ส่งใช้ใบยืมจนครบ จำเลยที่ 1ก็จะต้องชดใช้เงินคืนให้ทางราชการจนครบ ดังนี้ถือว่าเงินที่จะต้องคืนนั้นเป็นเงินของทางราชการที่ยังอยู่ในความดูแลรักษาของจำเลยที่ 1 ตามหน้าที่ ซึ่งสิทธิเรียกร้องของโจทก์ในเรื่องนี้ไม่มีบทบัญญัติเรื่องอายุความไว้โดยเฉพาะจึงต้องบังคับตาม ป.พ.พ.มาตรา 193/30 ที่แก้ไขใหม่ (มาตรา 164 เดิม) คือมีอายุความ 10 ปี เมื่อนับแต่จำเลยที่ 1 มีหน้าที่คืนเงินจนถึงวันฟ้องเรียกเงินคืนยังไม่พ้น 10 ปี คดีจึงไม่ขาดอายุความ กรณีที่โจทก์ฟ้องเรียกคืนเช่นนี้ไม่ใช่การเรียกร้องค่าเสียหายจะนำอายุความเรียกร้องค่าเสียหายในกำหนด 1 ปี ตามมาตรา 448 มาใช้บังคับ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5220/2539 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
มูลละเมิด – ค่าเสียหาย – ดอกเบี้ย – การคำนวณค่าเสียหายในอนาคต
กรณีโจทก์ถูกทำละเมิดจนต้องกลายเป็นคนทุพพลภาพ ค่ารักษาพยาบาลและค่าใช้จ่ายในอนาคต ค่าจ้างคนขับรถยนต์ตลอดชีวิต ค่าเสียหายมิใช่ตัวเงินกรณีเสียโฉมและเสียบุคคลิกภาพ ค่าเสียความสามารถประกอบการงานในอนาคตและค่าทุกข์ทรมาน เป็นหนี้อันเกิดแต่มูลละเมิดซึ่งศาลกำหนดค่าเสียหายที่โจทก์ได้รับความเสียหายมาแล้วตั้งแต่วันทำละเมิด เมื่อโจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายเป็นเงินก้อนแม้จะขอค่าเสียหายที่คำนวณในอนาคตเข้ามาด้วยจำเลยก็ต้องเสียดอกเบี้ยนับแต่วันทำละเมิด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5220/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ดอกเบี้ยจากมูลละเมิด: นับแต่วันกระทำละเมิด แม้ฟ้องเป็นเงินก้อน
กรณีโจทก์ถูกทำละเมิดจนต้องกลายเป็นคนทุพพลภาพค่ารักษาพยาบาลและค่าใช้จ่ายในอนาคตค่าจ้างคนขับรถยนต์ตลอดชีวิตค่าเสียหายมิใช่ตัวเงินกรณีเสียโฉมและเสียบุคคลิกภาพค่าเสียความสามารถประกอบการงานในอนาคตและค่าทุกข์ทรมานเป็นหนี้อันเกิดแต่มูลละเมิดซึ่งศาลกำหนดค่าเสียหายที่โจทก์ได้รับความเสียหายมาแล้วตั้งแต่วันทำละเมิดเมื่อโจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายเป็นเงินก้อนแม้จะขอค่าเสียหายที่คำนวณในอนาคตเข้ามาด้วยจำเลยก็ต้องเสียดอกเบี้ยนับแต่วันทำละเมิด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5092/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การวินิจฉัยความประมาทและการแบ่งความรับผิดในคดีรถชน ศาลฎีกาชี้ว่าการวินิจฉัยความประมาทของทั้งสองฝ่ายไม่เกินกรอบประเด็นอุทธรณ์
ที่ศาลอุทธรณ์ภาค3ฟังข้อเท็จจริงว่าจ.ผู้ขับรถยนต์คันที่โจทก์รับประกันภัยไว้มีส่วนประมาทโจทก์จึงไม่อาจเรียกร้องค่าเสียหายจากจำเลยได้นั้นเป็นปัญหาตามอุทธรณ์ของโจทก์ในประเด็นข้อพิพาทที่ศาลชั้นต้นกำหนดว่าเหตุเกิดจากความประมาทของจำเลยที่1หรือไม่อันมีความหมายรวมไปถึงว่าความประมาทดังกล่าวจะมีผลทำให้จำเลยที่1ต้องรับผิดต่ออีกฝ่ายหรือไม่เพียงใดและที่ศาลอุทธรณ์ภาค3วินิจฉัยว่าเหตุเกิดจากความประมาทเลินเล่อของจำเลยที่1และจ.ซึ่งไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันค่าเสียหายทั้งสองฝ่ายจึงเป็นพับไปนั้นเป็นการวินิจฉัยไปตามพยานหลักฐานของโจทก์จำเลยในประเด็นพิพาทไม่เป็นการฟังข้อเท็จจริงขึ้นใหม่โดยไม่มีฝ่ายใดอุทธรณ์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5092/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การประเมินความประมาทในคดีรถชน และผลต่อการเรียกร้องค่าเสียหาย
ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ฟังข้อเท็จจริงว่า จ.ผู้ขับรถยนต์คันที่โจทก์รับประกันภัยไว้มีส่วนประมาท โจทก์จึงไม่อาจเรียกร้องค่าเสียหายจากจำเลยได้นั้นเป็นปัญหาตามอุทธรณ์ของโจทก์ในประเด็นพิพาทที่ศาลชั้นต้นกำหนดว่า เหตุเกิดจากความประมาทของจำเลยที่ 1 หรือไม่ อันมีความหมายรวมไปถึงว่า ความประมาทดังกล่าวจะมีผลทำให้จำเลยที่ 1 ต้องรับผิดต่ออีกฝ่ายหรือไม่เพียงใด และที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัยว่าเหตุเกิดจากความประมาทเลินเล่อของจำเลยที่ 1 และ จ.ซึ่งไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน ค่าเสียหายทั้งสองฝ่ายจึงเป็นพับไปนั้น เป็นการวินิจฉัยไปตามพยานหลักฐานของโจทก์จำเลยในประเด็นพิพาท ไม่เป็นการฟังข้อเท็จจริงขึ้นใหม่โดยไม่มีฝ่ายใดอุทธรณ์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5048/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การจัดซื้อพัสดุโดยวิธีพิเศษที่ไม่ถูกต้องตามระเบียบ แต่ไม่เกิดความเสียหาย จึงไม่เป็นละเมิด
หนังสือแบบทดสอบประเมินผลฉบับบูรณาการชั้นประถมปีที่1เป็นหนังสือแบบฝึกหัดไม่จำต้องส่งให้กระทรวงศึกษาธิการตรวจเพราะไม่ได้เป็นหนังสืออยู่ในบังคับของกระทรวงศึกษาธิการแต่เป็นหนังสือประกอบการเรียนไม่เป็นหนังสือที่บังคับใช้ตามหลักสูตรจึงไม่จำเป็นต้องซื้อโดยเร่งด่วนและไม่จำเป็นต้องซื้อด้วยวิธีพิเศษแม้ฝ่ายจำเลยจะอ้างว่าในการจัดซื้อหนังสือรายนี้ได้มีการจัดตั้งกรรมการจัดซื้อโดยวิธีพิเศษตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุฯข้อที่25(4)ก็เป็นการกล่าวอ้างลอยๆโดยไม่มีพยานหลักฐานใดสนับสนุนทั้งตามบันทึกเสนอขอซื้อก็มีเพียงระบุตัวกรรมการตรวจรับพัสดุเท่านั้นหาได้มีการเสนอตั้งกรรมการจัดซื้อโดยวิธีพิเศษไม่ฟังไม่ได้ว่าได้มีการจัดตั้งกรรมการจัดซื้อดังที่ฝ่ายจำเลยอ้างการจัดซื้อหนังสือรายพิพาทจึงไม่ถูกต้องตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุฯ ผู้แทนสำนักพิมพ์ต่างๆเบิกความเกี่ยวกับราคาหนังสือพิพาทว่าเป็นราคาประเมินมีราคาไม่เท่ากันเอาเป็นที่แน่นอนไม่ได้และยังได้ความว่าในการจัดพิมพ์หนังสือรายพิพาทนี้ผู้พิมพ์ให้ค่าตอบแทนค่าลิขสิทธิ์แก่ผู้เขียนแตกต่างกันโดยภาคเอกชนให้ในอัตราสูงส่วนของทางราชการให้ในอัตราต่ำและเมื่อนำไปประกอบกับผู้แต่งเป็นผู้ทรงคุณวุฒิสูงเป็นที่น่าเชื่อถือมีจำหน่ายที่ร้านสหกรณ์กลาโหมจำกัดเพียงแห่งเดียวย่อมทำให้ผู้ผลิตและจำหน่ายกำหนดราคาสูงกว่าราคาในท้องตลาดได้เพราะไม่มีคู่แข่งส่วนที่โจทก์อ้างว่าหนังสือพิพาทมีราคาเล่มละ9.49บาทซึ่งสำนักงานการประถมศึกษาฯซื้อในราคาเล่มละ30บาทเป็นราคาสูงกว่าความเป็นจริงก็เพียงอาศัยการประเมินราคาจากสำนักพิมพ์ต่างๆซึ่งไม่ได้พิมพ์หนังสือพิพาทที่เป็นหนังสือชนิดประเภทและคนแต่งคนเดียวกันที่จะนำมาเปรียบเทียบราคากันได้อีกทั้งผู้ขายได้เสนอขายหนังสือพิพาทไปยังจังหวัดต่างๆซึ่งก็ซื้อในราคาเดียวกันนี้จนทางราชการได้รับหนังสือและแจกจ่ายให้นักเรียนได้ใช้ประโยชน์สมความมุ่งหวังของทางราชการแล้วเมื่อไม่ปรากฎว่ามีการทุจริตกรณีจึงไม่เกิดความเสียหายแก่ทางราชการหรือโจทก์แต่อย่างใดดังนั้นแม้จำเลยที่5ถึงที่8จะดำเนินการซื้อหนังสือแบบทดสอบประเมินผลฉบับบูรณาการชั้นประถมปีที่1จากร้านสหกรณ์กลาโหมจำกัดไม่ถูกต้องตามระเบียบของทางราชการแต่ก็ไม่เกิดความเสียหายการกระทำของจำเลยที่5ถึงที่8จึงไม่เป็นละเมิด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4834-4835/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิในที่ดินพิพาท การครอบครองปรปักษ์ และความรับผิดทางละเมิด กรณีบุกรุกที่ดินราชพัสดุ
หนังสือมอบอำนาจมีข้อความว่า"กระทรวงการคลังโดยก.อธิบดีกรมธนรักษ์ผู้รับมอบอำนาจให้ปฏิบัติราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังขอมอบอำนาจให้ผู้บัญชาการทหารเรือมีอำนาจดำเนินคดีอาญาและคดีแพ่งกับผู้บุกรุกพร้อมบริวารให้ออกไปจากที่ราชพัสดุแปลงหมายเลขทะเบียนที่ชบ.481ตามข้อความดังกล่าวเป็นการมอบอำนาจให้ฟ้องคดีโดยเฉพาะเจาะจงแก่ผู้ที่บุกรุกที่ราชพัสดุแปลงหมายเลขทะเบียนที่ชบ.481หาใช่มอบอำนาจทั่วไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา801ไม่และในกรณีเช่นนี้ก็ไม่อาจระบุชื่อผู้ที่จะถูกฟ้องไว้ล่วงหน้าก็ได้เมื่อจำเลยที่1และที่2ถูกกล่าวหาว่าบุกรุกที่ราชพัสดุแปลงหมายเลขทะเบียนที่ชบ.481ผู้รับมอบอำนาจก็ย่อมมีอำนาจฟ้องจำเลยที่1และที่2ตามหนังสือมอบอำนาจดังกล่าวได้ ตามพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตหวงห้ามที่ดินอำเภอบางละมุงจังหวัดชลบุรีพ.ศ.2479มีความมุ่งหมายกำหนดเขตหวงห้ามที่ดินรกร้างว่างเปล่าสำหรับไว้ใช้ในราชการทหารที่ดินที่หวงห้ามตามพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวจึงมีลักษณะเป็นที่ดินที่เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1304(3)แม้ต่อมาในปี2498จะมีผู้แจ้งการครอบครองที่ดิน(ส.ค.1)นั้นตามพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดินพ.ศ.2497มาตรา5ก็ตามที่ดินนั้นก็ยังคงเป็นที่หวงห้ามต่อไปตามมาตรา10ไม่ก่อให้เกิดสิทธิแก่ผู้แจ้งที่ดินดังกล่าวจึงเป็นที่ราชพัสดุตามความหมายของมาตรา4แห่งพระราชบัญญัติที่ราชพัสดุพ.ศ.2518 จำเลยทั้งสี่ไม่มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทแต่ได้เข้าครอบครองที่ดินพิพาทโดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นหนังสือจากผู้บัญชาการฐานทัพเรือสัตหีบเมื่อผู้บัญชาการฐานทัพเรือสัตหีบแจ้งให้จำเลยทั้งสี่ออกจากที่ดินพิพาทจำเลยทั้งสี่ไม่ยอมออกการเข้าครอบครองที่ดินพิพาทของจำเลยทั้งสี่จึงเป็นการไม่ชอบการที่โจทก์ที่2ถึงที่8ได้กระทำการขัดขวางมิให้จำเลยทั้งสี่เข้าครอบครองที่ดินพิพาทจึงเป็นการปฏิบัติราชการไปตามอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายที่แต่ละคนมีอยู่มิได้มีเจตนาจะกลั่นแกล้งจำเลยทั้งสี่จึงไม่เป็นละเมิดต่อจำเลยทั้งสี่การทำละเมิดของบริษัทจำเลยที่1ได้แสดงออกโดยจำเลยที่2ซึ่งเป็นผู้แทนและเป็นการกระทำที่ไม่อยู่ในขอบวัตถุประสงค์และอำนาจหน้าที่ของจำเลยที่1จำเลยที่2จึงต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่1ด้วยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา76วรรคสอง จำเลยที่1และที่2ไม่ได้นำดินลูกรังไปไถไปถมทะเลแต่นำที่ดินลูกรังไปถมทำถนนและถมที่ดินพิพาทแล้วปรับพื้นที่ให้ทราบจำเลยที่1และที่2ไม่ได้นำดินลูกรังออกไปจากพื้นที่ของโจทก์ที่1ดินลูกรังยังคงอยู่ในที่ดินของกระทรวงการคลังโจทก์ที่1มิได้สูญหายไปไหนโจทก์ที่1จึงมิได้เสียหายเกี่ยวกับดินลูกรัง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4829/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมสิทธิ์ในไม้และละเมิด: การโต้แย้งกรรมสิทธิ์โดยมิชอบทำให้เกิดละเมิดต่อเจ้าของที่แท้จริง
จำเลยที่ 1 ที่ 2 ให้การว่าไม้ของกลางเป็นของจำเลยแต่ละคนและปฏิเสธว่าโจทก์ไม่ใช่เจ้าของไม้ ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่า ไม้พิพาทเป็นของฝ่ายโจทก์หรือฝ่ายจำเลย การที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 นำสืบว่าเป็นหุ้นส่วนทำไม้พิพาทกับโจทก์เพื่อแสดงให้เห็นว่าจำเลยทั้งสองเป็นเจ้าของร่วมในไม้พิพาท ซึ่งหากฟังได้ว่าเป็นความจริง จำเลยที่ 1 ซึ่งฟ้องแย้งก็ควรได้แต่ส่วนแบ่ง เมื่อศาลเห็นสมควร ศาลจะพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ได้รับแต่ส่วนแบ่งนี้ก็ได้ ไม่ถือว่าเป็นการพิพากษาให้สิ่งใด ๆ เกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้อง ส่วนจำเลยที่ 2ศาลก็อาจพิพากษายกฟ้องโจทก์ได้ จึงถือว่าการนำสืบของจำเลยทั้งสองอยู่ในประเด็นข้อพิพาทที่ศาลชั้นต้นกำหนดไว้
ไม้พิพาททั้งหมดเป็นของโจทก์ การที่จำเลยทั้งสามยื่นคำขอรับไม้พิพาทอ้างว่าเป็นของจำเลยทั้งสาม ทำให้เจ้าพนักงานระงับการคืนไม้พิพาทให้โจทก์ไว้ และทำเรื่องหารือไปทางกองอุทยาน กรมป่าไม้ ในที่สุดต่างมีความเห็นให้ผู้ขอรับไม้พิพาทไปดำเนินคดีทางศาล จึงเป็นเพราะจำเลยทั้งสามได้โต้แย้งกรรมสิทธิ์โดยมิชอบ หาใช่เพราะเป็นดุลพินิจของเจ้าพนักงานที่จะคืนไม้ให้ใครหรือไม่การกระทำของจำเลยทั้งสามจึงเป็นละเมิดต่อโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของไม้พิพาทที่แท้จริง
ไม้พิพาททั้งหมดเป็นของโจทก์ การที่จำเลยทั้งสามยื่นคำขอรับไม้พิพาทอ้างว่าเป็นของจำเลยทั้งสาม ทำให้เจ้าพนักงานระงับการคืนไม้พิพาทให้โจทก์ไว้ และทำเรื่องหารือไปทางกองอุทยาน กรมป่าไม้ ในที่สุดต่างมีความเห็นให้ผู้ขอรับไม้พิพาทไปดำเนินคดีทางศาล จึงเป็นเพราะจำเลยทั้งสามได้โต้แย้งกรรมสิทธิ์โดยมิชอบ หาใช่เพราะเป็นดุลพินิจของเจ้าพนักงานที่จะคืนไม้ให้ใครหรือไม่การกระทำของจำเลยทั้งสามจึงเป็นละเมิดต่อโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของไม้พิพาทที่แท้จริง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4829/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ละเมิดกรรมสิทธิ์ไม้: จำเลยโต้แย้งกรรมสิทธิ์โดยมิชอบ ทำให้เจ้าของไม้เสียหาย
จำเลยที่1ที่2ให้การว่าไม้ของกลางเป็นของจำเลยแต่ละคนและปฏิเสธว่าโจทก์ไม่ใช่เจ้าของไม้ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่าไม้พิพาทเป็นของฝ่ายโจทก์หรือฝ่ายจำเลยการที่จำเลยที่1ที่2นำสืบว่าเป็นหุ้นส่วนทำไม้พิพาทกับโจทก์เพื่อแสดงให้เห็นว่าจำเลยทั้งสองเป็นเจ้าของร่วมในไม้พิพาทซึ่งหากฟังได้ว่าเป็นความจริงจำเลยที่1ซึ่งฟ้องแย้งก็ควรได้แต่ส่วนแบ่งเมื่อศาลเห็นสมควรศาลจะพิพากษาให้จำเลยที่1ได้รับแต่สวนแบ่งนี้ก็ได้ไม่ถือว่าเป็นการพิพากษาให้สิ่งใดๆเกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้องส่วนจำเลยที่2ศาลก็อาจพิพากษายกฟ้องโจทก์ได้จึงถือว่าการนำสืบของจำเลยทั้งสองอยู่ในประเด็นข้อพิพาทที่ศาลชั้นต้นกำหนดไว้ ไม้พิพาททั้งหมดเป็นของโจทก์การที่จำเลยทั้งสามยื่นคำขอรับไม้พิพาทอ้างว่าเป็นของจำเลยทั้งสามทำให้เจ้าพนักงานระงับการคืนไม้พิพาทให้โจทก์ไว้และทำเรื่องหารือไปทางกองอุทยานกรมป่าไม้ในที่สุดต่างมีความเห็นให้ผู้ขอรับไม้พิพาทไปดำเนินคดีทางศาลจึงเป็นเพราะจำเลยทั้งสามได้โต้แย้งกรรมสิทธิโดยมิชอบหาใช่เพราะเป็นดุลพินิจของเจ้าพนักงานที่จะคืนไม้ให้ใครหรือไม่การกระทำของจำเลยทั้งสามจึงเป็นละเมิดต่อโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของไม้พิพาทที่แท้จริง