คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.พ.พ. ม. 113

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 664 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2496/2518

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาเช่านาที่เป็นโมฆะเนื่องจากค่าเช่าเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด และการรับภาระเกินหน้าที่ตามกฎหมาย
พระราชบัญญัติควบคุมการเช่านา พ.ศ. 2493 นอกจากจะมีบทบัญญัติห้ามมิให้ผู้ให้เช่าเรียกเก็บค่าเช่านาเกินกว่าอัตราไว้ในมาตรา 5 และมีบทกำหนดโทษผู้ฝ่าฝืนในมาตรา 16 แล้ว ยังมีบทมาตราอื่น ๆ ที่แสดงให้เห็นได้ชัดว่ามุ่งประสงค์ที่จะคุ้มครองผู้เช่านาอีกหลายกรณี
การที่จำเลยเต็มใจให้ค่าเช่านาเกินกว่าอัตราที่พระราชบัญญัติควบคุมการเช่านา พ.ศ. 2493 กำหนดไว้ และโจทก์ผู้ให้เช่าก็ตกลงยอมรับนั้น ถือได้ว่าเป็นการให้จำเลยผู้เช่ามีหน้าที่หรือรับภาระซึ่งตามกฎหมายจำเลยไม่ต้องมีหน้าที่หรือต้องรับภาระ จึงไม่เป็นการผูกพันจำเลยตามนัย มาตรา 8 แห่งพระราชบัญญัติควบคุมการเช่านา พ.ศ. 2493ที่จะต้องชำระค่าเช่านาให้โจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2253/2518 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาเล่นแชร์: นายวงต้องรับผิดชอบใช้เงินแก่ลูกวงที่ยังไม่ได้ประมูลเมื่อวงล้ม
การเล่นแชร์เป็นสัญญาชนิดหนึ่งเกิดขึ้นจากความตกลงระหว่างผู้เล่น ไม่มีนักกฎหมายบังคับว่าจะต้องทำสัญญาหรือมีหลักฐานเป็นหนังสือ คงบังคับได้ตามหลักสัญญาทั่วไป เมื่อพฤติการณ์เป็นที่เข้าใจกันระหว่างผู้เล่นว่า จำเลยซึ่งเป็ฯนายวงตกลงยอมเป็นผู้รับผิดชอบใช้เงินแก่ลูกวงที่ยังไม่ได้ประมูล(เปีย)ในเมื่อวงแชร์ล้ม ดังนี้ เมื่อวงแชร์ล้มจำเลยก็ต้องรับผิดต่อโจทก์ ซึ่งเป็นลูกวงและยังมิได้ประมูล
หากจะมีมติของคณะรัฐมนตรีห้ามข้าราชการและพนักงานองค์การของรัฐเล่นแชร์จริง ก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับการบังคับบัญชาทางวินัยเท่านั้น การเล่นวงแชร์หาได้มีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามโดยกฎหมาย หรือขัดขวางต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน อันจะทำให้สัญญาตกเป็นโมฆะไม่
แม้โจทก์เปียแชร์วงอื่นซึ่งจำเลยเป็นนายวงได้ไปแล้วและโจทก์มีกำไรก็ตามก็เป็นเรื่องของแชร์วงนั้น ๆ จะให้นำกำไรนั้นมาหักออกจากนำนวนเงินที่โจทก์เสียหายและจำเลยต้องชดใช้ในวงพิพาทไม่ได้ เพราะเป็นสัญญาต่างรายกัน ผู้เข้าเล่นแตกต่างกันไปทั้งจำนวนและผู้เข้าเล่นตลอดจนระยะเวลา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2253/2518

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาเล่นแชร์: นายวงมีหน้าที่รับผิดชอบเงินลูกวงที่ยังไม่ได้ประมูลเมื่อวงล้ม
การเล่นแชร์ เป็นสัญญาชนิดหนึ่งเกิดขึ้นจากความตกลงระหว่างผู้เล่น ไม่มีนักกฎหมายบังคับว่าจะต้องทำสัญญาหรือมีหลักฐานเป็นหนังสือ คงบังคับกันได้ตามหลักสัญญาทั่วไป เมื่อพฤติการณ์เป็นที่เข้าใจกันระหว่างผู้เล่นว่า จำเลยซึ่งเป็นนายวงตกลงยอมเป็นผู้รับผิดชอบใช้เงินแก่ลูกวงที่ยังไม่ได้ประมูล (เปีย) ในเมื่อวงแชร์ล้ม ดังนี้ เมื่อวงแชร์ล้มจำเลยก็ต้องรับผิดต่อโจทก์ ซึ่งเป็นลูกวงและยังมิได้ประมูล
หากจะมีมติของคณะรัฐมนตรีห้ามข้าราชการและพนักงานองค์การของรัฐเล่นแชร์จริง ก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับการบังคับบัญชาทางวินัยเท่านั้นการเล่นวงแชร์หาได้มีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามโดยกฎหมาย หรือขัดขวางต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน อันจะทำให้สัญญาตกเป็นโมฆะไม่
แม้โจทก์เปียแชร์วงอื่นซึ่งจำเลยเป็นนายวงได้ไปแล้วและโจทก์มีกำไรก็ตามก็เป็นเรื่องของแชร์วงนั้น ๆ จะให้นำกำไรนั้นมาหักออกจากจำนวนเงินที่โจทก์เสียหายและจำเลยต้องชดใช้ในวงพิพาพไม่ได้เพราะเป็นสัญญาต่างรายกัน ผู้เข้าเล่นแตกต่างกันไปทั้งจำนวนและผู้เข้าเล่นตลอดจนระยะเวลา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2145/2518 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อบังคับบริษัทต้องเป็นไปตามกฎหมาย แม้ข้อบังคับบริษัทจะอนุญาตให้ทำได้โดยมติธรรมดา
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1145 ห้ามมิให้เพิ่มเติมเปลี่ยนแปลงข้อบังคับของบริษัท เว้นแต่ทำโดยมติพิเศษของที่ประชุมใหญ่ผู้ถือหุ้น ฉะนั้น การแก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อบังคับของบริษัทโดยมติธรรมดาจึงใช้ไม่ได้ หากมีข้อบังคับของบริษัทอนุญาตให้ทำได้ก็ไม่มีผลบังคับ เพราะต้องห้ามตามกฎหมาย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1212/2518 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาเช่าซื้อผิดนัด-อายุความ-ค่าเสียหาย-อำนาจฟ้อง: การฟ้องเรียกค่าเสียหายจากสัญญาเช่าซื้อที่ผิดนัด และการกำหนดค่าเสียหายที่เหมาะสม
โจทก์ฟ้องคดีของโจทก์เองโดยลงชื่อ "บริษัทสยามกลการ จำกัด โดยนายปรีชา พรประภา และนายประเสริฐ ลีลาศเจริญ กรรมการ โจทก์" ในใบแต่งทนายความของโจทก์มีนายปรีชา พรประภา และนายประเสริฐ ลีลาศเจริญ กรรมการบริษัทโจทก์ลงนามและประทับตราของโจทก์เป็นการถูกต้องตามหนังสือรับรองของนายทะเบียน หอทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทกลาง กรมทะเบียนการค้า กระทรวงเศรษฐการ โจทก์ไม่จำต้องนำบุคคลดังกล่าวมาเบิกความประกอบต่อศาลอีก
สัญญาเช่าซื้อระบุไว้ว่า ถ้าผู้เช่าซื้อผิดนัดไม่ชำระเงินงวดใด หรือผิดสัญญาข้อใด ให้สัญญาเช่าซื้อเป็นอันมีผลบังคับทันทีโดยมิต้องบอกกล่าวล่วงหน้า ข้อสัญญาดังกล่าวไม่ต้องห้ามตามกฎหมาย ไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน ไม่ตกเป็นโมฆะ ดังนั้น เมื่อจำเลยผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อตามสัญญา โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยได้
การที่จำเลยเช่าซื้อรถยนต์ของโจทก์ไปแล้วผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อ และไม่ส่งมอบรถคืน ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายโดยขาดประโยชน์ที่ควรจะได้จากการนำรถออกให้เช่า การฟ้องเรียกค่าเสียหายเช่นนี้ โจทก์ย่อมมีสิทธิเรียกร้องได้ภายในอายุความ 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164
(อ้างฎีกาที่ 601/2513)
โจทก์ขอให้จำเลยใช้ค่าเสียหายในการผิดสัญญาเช่าซื้อและให้คืนรถที่เช่าซื้อไปไม่ได้มีคำขอว่า ถ้าหากจำเลยไม่ส่งคืนจะต้องใช้ราคาแทนด้วย และเป็นราคาเท่าใด ศาลชั้นต้นได้พิพากษาให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ และให้จำเลยคืนรถยนต์ 3 คันที่ยังไม่ได้คืนแก่โจทก์ โจทก์ได้อุทธรณ์เฉพาะเรื่องค่าเสียหายอย่างเดียวว่าศาลกำหนดให้น้อยไป นอกจากนี้ในอุทธรณ์ของโจทก์ยังกล่าวไว้ด้วยว่า โจทก์ไม่ติดใจร้องขอต่อศาลว่า ถ้าจำเลยไม่คืน (รถยนต์) จะให้ใช้ราคาแทน ศาลอุทธรณ์จึงไม่มีอำนาจที่จะวินิจฉัยในข้อที่โจทก์มิได้อุทธรณ์ และประเด็นข้อนี้มิได้ว่ากล่าวกันมาในศาลชั้นต้นอีกด้วย ดังนั้น ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่า ถ้าจำเลยไม่คืนรถยนต์ ให้ใช้ราคาแทน จึงเป็นการมิชอบ ศาลฎีกาจึงพิพากษาแก้ ให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าเสียหายสำหรับรถ 3 คันที่ยังไม่ได้คืน เดือนละ 1,000 บาทต่อ 1 คัน ตั้งแต่วันถัดจากวันฟ้อง จนกว่าจะส่งมอบรถคืน แต่ค่าเสียหายหลังจากวันฟ้องต้องไม่เกินคันละ 48,000 บาท เพียงเท่าที่รถยังอยู่ในสภาพใช้งานได้ต่อไปไม่เกิน 4 ปี.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1212/2518

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องคดีเช่าซื้อ, อายุความค่าเสียหาย, และขอบเขตอำนาจศาลในการพิพากษาค่าเสียหายและราคาแทน
โจทก์ฟ้องคดีของโจทก์เองโดยลงชื่อ "บริษัทสยามกลการ จำกัดโดยนายปรีชาพรประภาและนายประเสริฐลีลาศเจริญ กรรมการ โจทก์"ในใบแต่งทนายความของโจทก์มีนายปรีชาพรประภา และนายประเสริฐลีลาศเจริญ กรรมการบริษัทโจทก์ลงนามและประทับตราของโจทก์เป็นการถูกต้องตามหนังสือรับรองของนายทะเบียน หอทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทกลาง กรมทะเบียนการค้า กระทรวงเศรษฐการ โจทก์ไม่จำต้องนำบุคคลดังกล่าวมาเบิกความประกอบต่อศาลอีก
สัญญาเช่าซื้อระบุไว้ว่า ถ้าผู้เช่าซื้อผิดนัดไม่ชำระเงินงวดใด หรือผิดสัญญาข้อใด ให้สัญญาเช่าซื้อเป็นอันมีผลบังคับทันทีโดยมิต้องบอกกล่าวล่วงหน้า ข้อสัญญาดังกล่าวไม่ต้องห้ามตามกฎหมาย ไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน ไม่ตกเป็นโมฆะดังนั้น เมื่อจำเลยผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อตามสัญญา โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยได้
การที่จำเลยเช่าซื้อรถยนต์ของโจทก์ไปแล้วผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อและไม่ส่งมอบรถคืน ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายโดยขาดประโยชน์ที่ควรจะได้จากการนำรถออกให้เช่า การฟ้องเรียกค่าเสียหายเช่นนี้ โจทก์ย่อมมีสิทธิเรียกร้องได้ภายในอายุความ 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164(อ้างฎีกาที่ 601/2513)
โจทก์ขอให้จำเลยใช้ค่าเสียหายในการผิดสัญญาเช่าซื้อและให้คืนรถที่เช่าซื้อไปไม่ได้มีคำขอว่า ถ้าหากจำเลยไม่ส่งคืนจะต้องใช้ราคาแทนด้วยและเป็นราคาเท่าใด ศาลชั้นต้นได้พิพากษาให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์และให้จำเลยคืนรถยนต์ 3 คันที่ยังไม่ได้คืนแก่โจทก์ โจทก์ได้อุทธรณ์เฉพาะเรื่องค่าเสียหายอย่างเดียวว่าศาลกำหนดให้น้อยไป นอกจากนี้ในอุทธรณ์ของโจทก์ยังกล่าวไว้ด้วยว่า โจทก์ไม่ติดใจร้องขอต่อศาลว่า ถ้าจำเลยไมคืน (รถยนต์) จะให้ใช้ราคาแทน ศาลอุทธรณ์จึงไม่มีอำนาจที่จะวินิจฉัยในข้อที่โจทก์มิได้อุทธรณ์ และประเด็นข้อนี้มิได้ว่ากล่าวกันมาในศาลชั้นต้นอีกด้วย ดังนั้น ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่า ถ้าจำเลยไม่คืนรถยนต์ ให้ใช้ราคาแทน จึงเป็นการมิชอบ ศาลฎีกาจึงพิพากษาแก้ ให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าเสียหายสำหรับรถ 3 คันที่ยังไม่ได้คืน เดือนละ 1,000 บาทต่อ 1 คันตั้งแต่วันถัดจากวันฟ้อง จนกว่าจะส่งมอบรถคืน แต่ค่าเสียหายหลังจากวันฟ้องต้องไม่เกินเกินคันละ 48,000 บาท เพียงเท่าที่รถยังอยู่ในสภาพใช้งานได้ต่อไปไม่เกิน 4 ปี

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 816/2518

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ หนี้เงินกู้ ดอกเบี้ยเกินอัตรา และการพิสูจน์การชำระหนี้ด้วยพยานบุคคล
จำเลยอ้างว่าชำระหนี้เงินกู้ให้โจทก์แล้วบางส่วน และโจทก์ออกใบรับให้ แต่ต่อมาปลวกขึ้นบ้านจำเลยกินใบรับนั้นเสียดังนี้จำเลยนำพยานบุคคลมาสืบได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 93(2)
จำเลยกู้เงินโจทก์ไปจริงเพียง 2,000 บาท ซึ่งจำเลยชำระแล้ว 1,000 บาท ส่วนอีก 2,420 บาท เป็นดอกเบี้ยล่วงหน้าที่โจทก์เรียกเกินอัตราและคิดดอกเบี้ยทบต้นโดยมิได้มีการตกลงเป็นหนังสือต้องห้ามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 654,655 ดังนั้นดอกเบี้ยดังกล่าว จึงเป็นหนี้ที่ไม่สมบูรณ์ตกเป็นโมฆะส่วนหนี้เงินต้นที่ยังคงค้างชำระอยู่อีก 1,000 บาทนั้น ยังคงสมบูรณ์อยู่ สัญญากู้ไม่ตกเป็นโมฆะทั้งฉบับ ในส่วนที่สมบูรณ์โจทก์ย่อมมีสิทธิฟ้องบังคับได้และมีสิทธิได้รับดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7 ครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยจะชำระเงินเสร็จ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 816/2518 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ หนี้กู้ยืมเงิน ดอกเบี้ยเกินอัตราและทบต้นเป็นโมฆะ ส่วนที่สมบูรณ์บังคับได้
จำเลยอ้างว่าชำระหนี้เงินกู้ให้โจทก์แล้วบางส่วน และโจทก์ออกใบรับให้แต่ต่อมาปลวกขึ้นบ้านจำเลยกับใบรับนั้นเสีย ดังนี้จำเลยนำพยานบุคคลมาสืบได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 93(2)
จำเลยกู้เงินให้โจทก์ไปจริงเพียง 2,000 บาท ซึ่งจำเลยชำระแล้ว 1,000 บาท ส่วนอีก 2,420 บาทเป็นดอกเบี้ยล่วงหน้าที่โจทก์เรียกเกินอัตรา และคิดดอกเบี้ยทบต้นโดยมิได้มีการตกลงเป็นหนังสือต้องห้ามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 654, 655 ดังนั้นดอกเบี้ยดังกล่าว จึงเป็นหนี้ที่ไม่สมบูรณ์ ตกเป็นโมฆะ ส่วนหนี้เงินต้นที่ยังคงค้างชำระอยู่อีก 1,000 บาท นั้นยังคงสมบูรณ์อยู่ สัญญากู้ไม่เป็นโมฆะทั้งฉบับ ในส่วนที่สมบูรณ์โจทก์ย่อมมีสิทธิฟ้องบังคับได้ และมีสิทธิได้รับดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7 ครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยจะชำระเงินเสร็จ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 285/2518 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาค้ำประกันเพื่อประโยชน์บุคคลภายนอก ผู้ค้ำประกันต้องรับผิดชอบหนี้ต่อบุคคลภายนอกได้
จำเลยที่ 1 ว่าจ้างโจทก์ให้เป็นผู้จัดการโครงการติดตั้งไฟฟ้าที่จำเลยที่ 1 รับเป็นผู้จัดการให้กับ โอ.ไอ.ซี.ซี.ซึ่งเป็นหน่วยราชการของกองทัพเรือสหรัฐ จำเลยที่ 2 ได้ทำสัญญาค้ำประกันการรับจ้างทำงานของจำเลยที่ 1 ไว้ต่อ โอ.ไอ.ซี.ซี.มีข้อความด้วยว่า "และถ้าหากว่าตัวการ (จำเลยที่1) จะต้องจ่ายเงินให้กับบุคลลใด ๆ อันเป็นบุคคลที่สามโดยทันทีเพื่อค่าอุปกรณ์ ค่าแรงงาน หรือค่าวัสดุเพื่อการดำเนินการในสัญญาตามสัญญานั้น และโดยไม่ต้องมีหนังสือบอกกล่าวการเปลี่ยนแปลงให้ผู้ค้ำประกันทราบ หนังสือฉบับนี้ยังคงให้มีผลบังคับและให้มีอำนาจบังคับได้และจะสิ้นผลบังคับเมื่อตัวการ (จำเลยที่ 1) ได้ปฏิบัติตามสัญญาโดยถูกต้องทุกประการแล้ว" ข้อกำหนดนี้เป็นสัญญาเพื่อประโยชน์ของบุคคลภายนอกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 374 เมื่อจำเลยที่ 1 ชำระค่าจ้างจ้างให้โจทก์ไม่ครบตามสัญญาโจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกย่อมมีสิทธิเรียกให้จำเลยที่ 2 ชำระหนี้ให้โจทก์ตามข้อกำหนดในสัญญานี้ได้
แม้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ลักษณะค้ำประกันไม่มีระบุให้ความรับผิดของผู้ค้ำประกันคลุมเลยไปถึง บุคคลที่สามก็ตาม แต่เมื่อจำเลยที่ 2 ทำสัญญามีข้อความผูกพันตนต่อ โอ.ไอ.ซี.ซี. เพื่อชำระหนี้ให้แก่บุคคลที่สามในเมื่อจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกหนี้ไม่ชำระหนี้ให้กับบุคคลนั้นสัญญาดังกล่าวนี้ก็เป็นสัญญาที่มีวัตถุประสงค์ไม่ต้องห้ามตามกฎหมายแต่ อย่างใดจึงมีผลบังคับได้ หาตกเป็นโมฆะไม่
เมื่อจำเลยมิได้ให้การปฏิเสธว่าจำเลยที่ 2 มิได้ทำสัญญาค้ำประกันตามสำเนาท้ายฟ้องโจทก์ศาลก็ย่อมรับฟังสัญญาค้ำประกันนั้นได้ โจทก์ไม่จำเป็นต้องส่งต้นฉบับต่อศาลอีก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 285/2518

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาค้ำประกันเพื่อประโยชน์บุคคลที่สาม: สิทธิเรียกร้องของบุคคลภายนอก & ผลบังคับของสัญญา
จำเลยที่ 1 ว่าจ้างโจทก์ให้เป็นผู้จัดการโครงการติดตั้งไฟฟ้าที่จำเลยที่ 1 รับเป็นผู้จัดทำให้กับ โอ.ไอ.ซี.ซี ซึ่งเป็นหน่วยราชการของกองทัพเรือสหรัฐ จำเลยที่ 2 ได้ทำสัญญาค้ำประกันการรับจ้างทำงานของจำเลยที่ 1 ไว้ต่อ โอ.ไอ.ซี.ซี มีข้อความด้วยว่า 'และถ้าหากว่าตัวการ (จำเลยที่ 1) จะต้องจ่ายเงินให้กับบุคคลใดๆ อันเป็นบุคคลที่สามโดยทันทีเพื่อค่าอุปกรณ์ค่าแรงงาน หรือค่าวัสดุเพื่อการดำเนินการในสัญญาตามสัญญานั้น และโดยไม่ต้องมีหนังสือบอกกล่าวการเปลี่ยนแปลงให้ผู้ค้ำประกันทราบ หนังสือฉบับนี้ยังคงให้มีผลบังคับและให้มีอำนาจบังคับได้ และจะสิ้นผลบังคับเมื่อตัวการ (จำเลยที่ 1) ได้ปฏิบัติตามสัญญาโดยถูกต้องทุกประการแล้ว' ข้อกำหนดนี้เป็นสัญญาเพื่อประโยชน์ของบุคคลภายนอกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 374 เมื่อจำเลยที่ 1 ชำระค่าจ้างให้โจทก์ไม่ครบตามสัญญาโจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกย่อมมีสิทธิเรียกให้จำเลยที่ 2 ชำระหนี้ให้โจทก์ตามข้อกำหนดในสัญญานี้ได้
แม้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ลักษณะค้ำประกันไม่มีระบุให้ความรับผิดของผู้ค้ำประกันคลุมเลยไปถึงบุคคลที่สามก็ตามแต่เมื่อจำเลยที่ 2 ทำสัญญามีข้อความผูกพันตนต่อโอ.ไอ.ซี.ซี เพื่อชำระหนี้ให้แก่บุคคลที่สาม ในเมื่อจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกหนี้ไม่ชำระหนี้ให้กับบุคคลนั้นสัญญาดังกล่าวนี้ก็เป็นสัญญาที่มีวัตถุประสงค์ไม่ต้องห้ามตามกฎหมายแต่อย่างใดจึงมีผลบังคับได้ หาตกเป็นโมฆะไม่
เมื่อจำเลยมิได้ให้การปฏิเสธว่าจำเลยที่ 2 มิได้ทำสัญญาค้ำประกันตามสำเนาท้ายฟ้องโจทก์ ศาลก็ย่อมรับฟังสัญญาค้ำประกันนั้นได้ โจทก์ไม่จำเป็นต้องส่งต้นฉบับต่อศาลอีก
of 67