คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
ดวง ดีวาจิน

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 281 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 452/2517

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การไม่ยื่นบัญชีระบุพยานตามกำหนดและเหตุผลที่ไม่สมควร ศาลไม่รับบัญชีพยาน
จำเลยและจำเลยร่วมไม่ยื่นบัญชีระบุพยานก่อนวันสืบพยาน 3 วัน และไม่อ้างเหตุขัดข้องประการใด เมื่อโจทก์ซึ่งเป็นฝ่ายสืบพยานก่อนสืบพยานเสร็จแล้วถึง 24 วัน จำเลยร่วมจึงยื่นคำร้องขอยื่นบัญชีระบุพยานเช่นนี้ โจทก์ย่อมไม่ทราบถึงพยานหลักฐานของจำเลยร่วมว่ามีอย่างไรก่อนที่จะสืบพยานของตน เป็นการเสียเปรียบในทางคดี และคำร้องของจำเลยร่วมก็มิได้อ้างเหตุสมควรว่าตนไม่สามารถทราบได้ว่าต้องนำพยานหลักฐานมาสืบหรือไม่ทราบว่าพยานหลักฐานมีอยู่ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 88 วรรคสาม จึงไม่มีเหตุอันสมควรที่จะอนุญาตให้จำเลยร่วมระบุพยานได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 367/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ผิดสัญญาเนื่องจากจงใจหลีกเลี่ยงการปฏิบัติตามสัญญาเพื่อไม่ให้ศาลฎีกาสั่งจำหน่ายคดี คดีแพ่ง
โจทก์จำเลยทำสัญญากัน โดยโจทก์มอบเครื่องไฟฟ้าพร้อมทั้งแผงไฟให้จำเลยที่ 1 เป็นการตอบแทนในการที่จำเลยที่ 1ในฐานะผู้เสียหายและโจทก์ร่วมในคดีอาญายอมถอนคำร้องทุกข์เพื่อศาลฎีกาจะได้สั่งจำหน่ายคดีและปล่อย ท. ไป แต่เมื่อจำเลยที่ 3 ในฐานะทนายความของจำเลยที่ 1 นำคำร้องขอถอนคำร้องทุกข์ของจำเลยที่ 1 ไปยื่นต่อศาลอาญา ปรากฏว่าลายมือชื่อและตราที่ประทับในคำร้องแตกต่างกับลายมือชื่อของจำเลยที่ 2และตราที่ประทับในใบแต่งทนายที่จำเลยที่ 1 ยื่นไว้ในคดีอาญาศาลอาญาจึงต้องเรียกจำเลยที่ 2 ในฐานะหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ 1 มาสอบถาม แต่จำเลยที่ 2 ไม่ยอมไปศาลหลายนัดจนศาลอาญาเห็นว่าเป็นการประวิงคดี ศาลอาญาจึงให้ยกคำร้องขอถอนคำร้องทุกข์นั้นเสีย และได้อ่านคำพิพากษาของศาลฎีกาให้คู่ความฟัง ปรากฏว่าศาลฎีกาคงให้ลงโทษ ท. ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ดังนี้ แสดงว่าจำเลยที่ 2 ในฐานะหุ้นส่วนผู้จัดการของห้างหุ้นส่วนจำเลยที่ 1 พยายามหลีกเลี่ยงไม่ไปศาลเพื่อมิให้ศาลฎีกาสั่งจำหน่ายคดีและปล่อย ท. ตามที่ตกลงกันไว้ในสัญญาเมื่อจำเลยที่ 2 ไม่ไปศาล ศาลอาญาก็ไม่อาจส่งคำร้องขอถอนคำร้องทุกข์ของจำเลยที่ 1 ไปให้ศาลฎีกาสั่งได้เพราะไม่อาจทราบได้ว่าเป็นคำร้องขอถอนคำร้องทุกข์ของจำเลยที่ 1 หรือไม่ จำเลยที่ 1จึงเป็นฝ่ายผิดสัญญาเนื่องจากปฏิบัติไม่ครบถ้วนตามสัญญา จำต้องคืนเครื่องกำเนิดไฟฟ้าพร้อมทั้งแผงไฟให้แก่โจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 367/2517

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาถอนฟ้องคดีอาญาไม่สมบูรณ์เนื่องจากจำเลยหลีกเลี่ยงการยืนยัน ทำให้ผิดสัญญาและต้องคืนทรัพย์สิน
โจทก์จำเลยทำสัญญากันโดยโจทก์มอบเครื่องไฟฟ้าพร้อมทั้งแผงไฟให้จำเลยที่ 1 เป็นการตอบแทนในการที่จำเลยที่ 1ในฐานะผู้เสียหายและโจทก์ร่วมในคดีอาญายอมถอนคำร้องทุกข์เพื่อศาลฎีกาจะได้สั่งจำหน่ายคดีและปล่อย ท. ไป แต่เมื่อจำเลยที่ 3 ในฐานะทนายความของจำเลยที่ 1 นำคำร้องขอถอนคำร้องทุกข์ของจำเลยที่ 1 ไปยื่นต่อศาลอาญา ปรากฏว่าลายมือชื่อและตราที่ประทับในคำร้องแตกต่างกับลายมือชื่อของจำเลยที่ 2 และตราที่ประทับในใบแต่งทนายที่จำเลยที่ 1 ยื่นไว้ในคดีอาญาศาลอาญาจึงต้องเรียกจำเลยที่ 2 ในฐานะหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ 1 มาสอบถาม แต่จำเลยที่ 2 ไม่ยอมไปศาลหลายนัดจนศาลอาญาเห็นว่าเป็นการประวิงคดี ศาลอาญาจึงให้ยกคำร้องขอถอนคำร้องทุกข์นั้นเสีย และได้อ่านคำพิพากษาของศาลฎีกาให้คู่ความฟัง ปรากฏว่าศาลฎีกาคงให้ลงโทษ ท. ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ดังนี้ แสดงว่าจำเลยที่ 2 ในฐานะหุ้นส่วนผู้จัดการของห้างหุ้นส่วนจำเลยที่ 1 พยายามหลีกเลี่ยงไม่ไปศาลเพื่อมิให้ศาลฎีกาสั่งจำหน่ายคดีและปล่อย ท. ตามที่ตกลงกันไว้ในสัญญาเมื่อจำเลยที่ 2 ไม่ไปศาล ศาลอาญาก็ไม่อาจส่งคำร้องขอถอนคำร้องทุกข์ของจำเลยที่ 1 ไปให้ศาลฎีกาสั่งได้เพราะไม่อาจทราบได้ว่าเป็นคำร้องขอถอนคำร้องทุกข์ของจำเลยที่ 1 หรือไม่ จำเลยที่ 1 จึงเป็นฝ่ายผิดสัญญาเนื่องจากปฏิบัติไม่ครบถ้วนตามสัญญา จำต้องคืนเครื่องกำเนิดไฟฟ้าพร้อมทั้งแผงไฟให้แก่โจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 351/2517

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรุกล้ำที่ดินโดยไม่สุจริตและสิทธิในการรื้อถอน
การที่บุคคลใดสร้างโรงเรือนรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของผู้อื่นโดยสุจริตหรือไม่สุจริตตามความหมายแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1312 วรรคแรก และวรรค 2 นั้น หมายถึงการที่สร้างโรงเรือนรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของผู้อื่นโดยเข้าใจว่าเป็นที่ดินของตนหรือเป็นที่ดินของผู้อื่นที่ตนมีสิทธิสร้างโรงเรือนได้หรือไม่ หากสร้างโรงเรือนรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของผู้อื่นโดยเข้าใจว่าเป็นที่ดินของตนหรือเป็นของผู้อื่นที่ตนมีสิทธิสร้างโรงเรือนได้ ก็เป็นการสร้างโรงเรือนรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของผู้อื่นโดยสุจริต แต่ถ้าสร้างโรงเรือนรุกล้ำเข้าไปโดยทราบอยู่แล้วว่าที่ดินที่ตนสร้างรุกล้ำเข้าไปนั้นไม่ใช่ของตนหรือของผู้อื่นที่ตนมีสิทธิสร้างโรงเรือนได้แล้วก็เป็นการสร้างโรงเรือนรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของผู้อื่นโดยไม่สุจริต
ข้อเท็จจริงได้ความว่า เมื่อจำเลยปลูกสร้างตึกของจำเลยสุดเขตที่ดินของจำเลยแล้วยังมีที่ว่างระหว่างตึกของจำเลยกับตึกของโจทก์ประมาณ 3 เซนติเมตร และจำเลยทราบแล้วว่าที่ว่างดังกล่าวเป็นที่ดินของโจทก์ แต่จำเลยก็ยังฉาบปูนผนังตึกของจำเลยรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์จนจดผนังตึกของโจทก์ ดังนี้ ย่อมถือว่าจำเลยสร้างโรงเรือนรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์โดยไม่สุจริตตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1312 วรรค 2 โจทก์มีสิทธิฟ้องให้จำเลยรื้อถอนตึกของจำเลยส่วนที่รุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์ออกจากที่ดินของโจทก์ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 351/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรุกล้ำที่ดินโดยไม่สุจริตและสิทธิในการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง
การที่บุคคลใดสร้างโรงเรือนรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของผู้อื่นโดยสุจริตหรือไม่สุจริตตามความหมายแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1312 วรรคแรก และวรรค 2 นั้น หมายถึงการที่สร้างโรงเรือนรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของผู้อื่นโดยเข้าใจว่าเป็นที่ดินของตนหรือเป็นที่ดินของผู้อื่นที่ตนมีสิทธิสร้างโรงเรือนได้หรือไม่ หากสร้างโรงเรือนรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของผู้อื่นโดยเข้าใจว่าเป็นที่ดินของตนหรือเป็นของผู้อื่นที่ตนมีสิทธิสร้างโรงเรือนได้ ก็เป็นการสร้างโรงเรือนรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของผู้อื่นโดยสุจริต แต่ถ้าสร้างโรงเรือนรุกล้ำเข้าไปโดยทราบอยู่แล้วว่าที่ดินที่ตนสร้างรุกล้ำเข้าไปนั้นไม่ใช่ของตนหรือของผู้อื่นที่ตนมีสิทธิสร้างโรงเรือนได้แล้วก็เป็นการสร้างโรงเรือนรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของผู้อื่นโดยไม่สุจริต
ข้อเท็จจริงได้ความว่า เมื่อจำเลยปลูกสร้างตึกของจำเลยสุดเขตที่ดินของจำเลยแล้วยังมีที่ว่างระหว่างตึกของจำเลยกับตึกของโจทก์ประมาณ 3 เซนติเมตร และจำเลยทราบแล้วว่าที่ว่างดังกล่าวเป็นที่ดินของโจทก์ แต่จำเลยก็ยังฉาบปูนผนังตึกของจำเลยรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์จนจดผนังตึกของโจทก์ ดังนี้ ย่อมถือว่าจำเลยสร้างโรงเรือนรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์โดยไม่สุจริตตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1312 วรรค 2 โจทก์มีสิทธิฟ้องให้จำเลยรื้อถอนตึกของจำเลยส่วนที่รุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์ออกจากที่ดินของโจทก์ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 316/2517

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การดูหมิ่นเจ้าพนักงาน: ถ้อยคำข่มขู่และสบประมาทเจ้าพนักงานขณะปฏิบัติหน้าที่เข้าจับกุม
ถ้อยคำว่า 'อ้ายจ่า ถ้ามึงจับกู กูจะเอามึงออก' ซึ่งจำเลยกล่าวต่อจ่าสิบตำรวจในขณะที่จะเข้าจับกุมจำเลยในข้อหาฐานบุกรุกอันเป็นการปฏิบัติการตามหน้าที่อันชอบด้วยกฎหมายเป็นถ้อยคำที่กล่าวสบประมาท เหยียดหยาม และข่มขู่เจ้าพนักงานตำรวจผู้นั้นมิให้จับกุมจำเลยอันเป็นการดูหมิ่นเจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่แล้ว และมิใช่เป็นเพียงการประท้วงการกระทำของเจ้าพนักงาน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 316/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การดูหมิ่นเจ้าพนักงาน: ถ้อยคำข่มขู่ขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย
ถ้อยคำว่า "อ้ายจ่า ถ้ามึงจับกู กูจะเอามึงออก" ซึ่งจำเลยกล่าวต่อจ่าสิบตำรวจในขณะที่จะเข้าจับกุมจำเลยในข้อหาฐานบุกรุกอันเป็นการปฏิบัติการตามหน้าที่อันชอบด้วยกฎหมายเป็นถ้อยคำที่กล่าวสบประมาท เหยียดหยาม และข่มขู่เจ้าพนักงานตำรวจผู้นั้น มิให้จับกุมจำเลย อันเป็นการดูหมิ่นเจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่แล้ว และมิใช่เป็นเพียงการประท้วงการกระทำของเจ้าพนักงาน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 305/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การริบทรัพย์สินที่แปรรูปจากไม้ผิดกฎหมาย: ศาลมีอำนาจริบถ่านได้ตามหลักทั่วไปของประมวลกฎหมายอาญา
พระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 74 บัญญัติให้ริบทรัพย์สินอันได้มาหรือมีไว้เนื่องจากการกระทำผิดเฉพาะไม้หรือของป่าเท่านั้น มิได้บัญญัติให้ริบทรัพย์สินอันได้มาหรือมีไว้เนื่องจากการกระทำผิดซึ่งได้แปรสภาพจากไม้และของป่าไปเป็นทรัพย์สินอย่างอื่นด้วยถ่านของกลางไม่มีสภาพเป็นไม้หรือของป่า แต่เป็นทรัพย์สินที่จำเลยได้มาโดยได้กระทำผิดฐานแปรรูปไม้โดยมิได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานจึงชอบที่จะนำหลักทั่วไปในการริบทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 33 มาใช้บังคับ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 305/2517

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การริบถ่านแปรรูปจากไม้ผิดกฎหมาย: ศาลฎีกาชี้ใช้หลักทั่วไปการริบทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา
พระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 74 บัญญัติให้ริบทรัพย์สินอันได้มาหรือมีไว้เนื่องจากการกระทำผิดเฉพาะไม้หรือของป่าเท่านั้น มิได้บัญญัติให้ริบทรัพย์สินอันได้มาหรือมีไว้เนื่องจากการกระทำผิดซึ่งได้แปรสภาพจากไม้และของป่าไปเป็นทรัพย์สินอย่างอื่นด้วยถ่านของกลางไม่มีสภาพเป็นไม้หรือของป่า แต่เป็นทรัพย์สินที่จำเลยได้มาโดยได้กระทำผิดฐานแปรรูปไม้โดยมิได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานจึงชอบที่จะนำหลักทั่วไปในการริบทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 33 มาใช้บังคับ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 294/2517

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำสั่งระหว่างพิจารณาที่ไม่ทำให้คดีเสร็จสำนวน ห้ามอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 196
ในวันนัดไต่สวนมูลฟ้องโจทก์ขอเลื่อนคดี แต่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้รอการไต่สวนมูลฟ้องไว้จนกว่าคดีอาญาอีกเรื่องหนึ่งจะถึงที่สุดและให้จำหน่ายคดีชั่วคราว คำสั่งให้รอการไต่สวนมูลฟ้องไว้ก่อนนั้นเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาที่ไม่ทำให้คดีเสร็จสำนวน จึงต้องห้ามอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 196 และคำสั่งจำหน่ายคดีนั้นได้สั่งไว้ด้วยว่า เมื่อคดีอีกเรื่องหนึ่งนั้นถึงที่สุดแล้วให้โจทก์แถลงเพื่อจะได้พิจารณาคดีนี้ต่อไปไม่ใช่คำสั่งจำหน่ายคดีโดยเด็ดขาด เป็นคำสั่งจำหน่ายคดีชั่วคราว ไม่ทำให้ประเด็นแห่งคดีเสร็จไปโจทก์จึงไม่มีสิทธิอุทธรณ์คัดค้านคำสั่งตามมาตรา 196 เช่นกัน(อ้างนัยฎีกาที่ 157/2506 และ 1621/2506)
of 29