คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
ดวง ดีวาจิน

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 281 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 675/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ค่าจ้างตามประกาศกระทรวงมหาดไทย: เบี้ยเลี้ยงรวมเป็นค่าจ้างในการคำนวณค่าทดแทน
โจทก์ฟ้องว่า ผู้ตายซึ่งเป็นพนักงานขับรถบรรทุกน้ำมันลูกจ้างของโจทก์ ขับรถเร็วเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนด จนรถคว่ำถึงแก่ความตาย เป็นการจงใจฝ่าฝืนกฎหมาย โจทก์จึงไม่ต้องรับผิดจ่ายค่าทดแทนให้แก่ทายาทของผู้ตาย แต่จำเลยให้การปฏิเสธและต่อสู้ว่า ผู้ตายขับรถโดยประมาทปราศจากความระมัดระวัง มิใช่กระทำโดยจงใจฝ่าฝืนกฎหมาย เพราะไม่มีเหตุผลประการใดที่ผู้ตายจะจงใจกระทำในเรื่องที่มีผลให้ตนต้องถึงแก่ความตาย ดังนี้ เป็นหน้าที่ของโจทก์ที่จะต้องนำสืบข้อเท็จจริงตามข้ออ้างในฟ้อง เมื่อโจทก์ไม่นำสืบ ย่อมรับฟังตามที่โจทก์อ้างไม่ได้
ตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องหลักเกณฑ์และวิธีการจ่ายเงินค่าทดแทนฯข้อ 3 ให้คำนิยามคำว่า "ค่าจ้าง" ไว้ หมายความถึงสินจ้างที่นายจ้างจ่ายให้แก่ลูกจ้าง ไม่ว่าสินจ้างนั้นจะเรียกชื่อหรือคำนวณอย่างไรก็ตามแต่ไม่รวมถึงค่าล่วงเวลาค่าล่วงเวลาในวันหยุด โบนัส หรือผลประโยชน์อย่างอื่นที่มีลักษณะเป็นการสงเคราะห์ลูกจ้าง ผู้ตายเป็นลูกจ้างขับรถบรรทุกน้ำมันของโจทก์ได้รับเงินเดือน ๆ ละ 350 บาทและเบี้ยเลี้ยงถัวเฉลี่ยเดือนละ 957.60 บาท เงินเดือนที่ผู้ตายได้รับนั้นเป็นอัตราที่ต่ำกว่าที่ควรจะเป็นค่าจ้างในปัจจุบัน และไม่ได้ส่วนสัดกับงานของพนักงานขับรถบรรทุกน้ำมัน ส่วนเบี้ยเลี้ยงนั้น โจทก์จ่ายให้แก่พนักงานขับรถเพิ่มขึ้นอีกส่วนหนึ่งโดยคำนวณตามเวลาที่ทำงานให้แก่โจทก์ซึ่งสมควรแก่ปริมาณงานที่ทำ จึงถือได้ว่าเบี้ยเลี้ยงนั้นเป็นส่วนหนึ่งของสินจ้างที่โจทก์จ่ายให้แก่ผู้ตายในฐานะเป็นลูกจ้างเช่นเดียวกับเงินเดือน เพราะฉะนั้น "เบี้ยเลี้ยง" จึงเป็น "ค่าจ้าง" ตามนัยของประกาศกระทรวงมหาดไทยดังกล่าว หาใช่เป็นเงินสงเคราะห์ลูกจ้างที่ต้องมีภาระเพิ่มขึ้นเพราะต้องทำงานนอกสถานที่ไม่
ประมวลรัษฎากรกับประกาศกระทรวงมหาดไทยดังกล่าวเป็นกฎหมายคนละประเภทและมีวัตถุประสงค์ต่างกัน ทั้งไม่มีเหตุผลพิเศษที่แสดงให้เห็นว่าผู้ร่างกฎหมายต้องการใช้คำว่า "เบี้ยเลี้ยง" และคำว่า "ค่าจ้าง" ในกฎหมายสองฉบับนั้นให้มีความหมายตรงกันการตีความคำเหล่านี้จึงต้องตีความไปตามวัตถุประสงค์ของกฎหมายแต่ละฉบับที่ปรากฏในตัวบทกฎหมายนั้นๆ เองโดยเฉพาะประกาศกระทรวงมหาดไทยดังกล่าวได้ให้คำนิยามคำว่า "ค่าจ้าง" ไว้เพื่อการคำนวณค่าทดแทนอยู่แล้ว การตีความคำว่า "ค่าจ้าง" ในเรื่องเงินค่าทดแทน จึงต้องเป็นไปตามคำนิยามนั้น (จะอ้างประมวลรัษฎากรมาประกอบการตีความว่า เบี้ยเลี้ยงไม่ต้องเสียภาษีเงินได้อย่างค่าจ้าง จึงถือว่าเป็นค่าจ้างไม่ได้นั้น หาได้ไม่)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 659/2517

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความสมบูรณ์ของฟ้องอาญา: การระบุตัวผู้เสียหายจากเอกสารประกอบคำฟ้อง
แม้ในคำฟ้องจะไม่ปรากฏชื่อของผู้เสียหายก็ตาม แต่ในรายงานชันสูตรบาดแผลท้ายฟ้องซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของคำฟ้องได้ระบุชื่อผู้เสียหายไว้ด้วย เมื่อพิจารณาคำฟ้องประกอบกับรายงานชันสูตรบาดแผลท้ายฟ้องแล้ว เห็นได้ชัดว่าใครเป็นผู้เสียหาย ดังนี้ ฟ้องของโจทก์จึงเป็นฟ้องที่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 658/2517

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาฆ่า: การกระทำต่อเนื่องจากการทำร้ายร่างกาย ไม่พอฟังว่ามีเจตนาฆ่า
จำเลยเตะผู้เสียหาย 2 ที แล้วตบ 2 ที ผู้เสียหายล้มลงในนาซึ่งมีน้ำลึกประมาณ 1 ศอก จำเลยเอามือกดศีรษะผู้เสียหายลงในน้ำประมาณ 1 อึดใจ มีคนอื่นมาช่วยแยกคนทั้งสองออกจากกัน และดึงผู้เสียหายขึ้นจากน้ำ ผู้เสียหายไม่รู้สึกตัว ต่อมาประมาณ 1 นาทีจึงรู้สึกตัวถ้าไม่ดึงผู้เสียหายขึ้นจากน้ำ ผู้เสียหายก็คงตาย แต่ได้ความว่า จำเลยไม่ได้มีเจตนาที่จะทำร้ายผู้เสียหายมาก่อน เหตุเกิดขึ้นเนื่องจากได้มีการโต้เถียงกันเกี่ยวกับจ้างทำนา การตบเตะและกดศีรษะลงในน้ำเกิดขึ้นโดยปัจจุบัน การกดน้ำเป็นการกระทำต่อเนื่องจากการตบเตะ และจำเลยมีมีดอยู่ก็มิได้ใช้มีดทำร้าย ดังนี้ ยังไม่พอฟังว่าจำเลยมีเจตนาฆ่า

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 658/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาฆ่า: การทำร้ายร่างกายต่อเนื่องจนผู้เสียหายเกือบเสียชีวิต ไม่ถือเป็นเจตนาฆ่าหากไม่มีพฤติการณ์บ่งชี้
จำเลยเตะผู้เสียหาย 2 ที แล้วตบ 2 ที ผู้เสียหายล้มลงในนาซึ่งมีน้ำลึกประมาณ 1 ศอก จำเลยเอามือกดศีรษะผู้เสียหายลงในน้ำประมาณ 1 อึดใจ มีคนอื่นมาช่วยแยกคนทั้งสองออกจากกัน และดึงผู้เสียหายขึ้นจากน้ำ ผู้เสียหายไม่รู้สึกตัว ต่อมาประมาณ 1 นาทีจึงรู้สึกตัวถ้าไม่ดึงผู้เสียหายขึ้นจากน้ำ ผู้เสียหายก็คงตาย แต่ได้ความว่า จำเลยไม่ได้มีเจตนาที่จะทำร้ายผู้เสียหายมาก่อน เหตุเกิดขึ้นเนื่องจากได้มีการโต้เถียงกันเกี่ยวกับจ้างทำนา การตบเตะและกดศีรษะลงในน้ำเกิดขึ้นโดยปัจจุบัน การกดน้ำเป็นการกระทำต่อเนื่องจากการตบเตะ และจำเลยมีมีดอยู่ก็มิได้ใช้มีดทำร้าย ดังนี้ ยังไม่พอฟังว่าจำเลยมีเจตนาฆ่า

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 550/2517

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การทำร้ายร่างกายจนถึงแก่ความตาย: การต่อสู้และการกระทำโดยบันดาลโทสะ
ผู้ตายเมาสุรามาด่าจำเลยโดยไม่ออกชื่อ แล้วเข้าบ้านไปถือมีดดาบมาท้าทายจำเลยอีก จำเลยถือไม้ไผ่ด้ามพลั่วอันหนึ่งเดินไปหาผู้ตาย ต่างพูดท้าทายกัน แล้วผู้ตายใช้มีดดาบฟันจำเลยก่อน จำเลยหลบทันและล้มลงยังพื้นดินแล้วจำเลยลุกขึ้นใช้ไม้ไผ่ที่ถือมานั้นตีผู้ตายถึงแก่ความตาย การที่จำเลยถือไม้เดินไปหาผู้ตาย เป็นการแสดงความสมัครใจจะต่อสู้กับผู้ตาย จำเลยจะอ้างการป้องกันไม่ได้ แต่การที่ผู้ตายมาด่าจำเลย แล้วกลับไปเอามีดดาบมาท้าทายจำเลยอีก และยังเป็นฝ่ายลงมือฟันจำเลยก่อนด้วย เช่นนี้ เป็นการข่มเหงจำเลยอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม ต้องถือว่าที่จำเลยตีผู้ตายไปในขณะนั้น เป็นการกระทำความผิดโดยบันดาลโทสะ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 550/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การต่อสู้และบันดาลโทสะ: การอ้างการป้องกันตัวไม่สำเร็จ แต่ได้รับการลดโทษจากเหตุข่มเหง
ผู้ตายเมาสุรามาด่าจำเลยโดยไม่ออกชื่อ แล้วเข้าบ้านไปถือมีดดาบมาท้าทายจำเลยอีก จำเลยถือไม้ไผ่ด้ามพลั่วอันหนึ่งเดินไปหาผู้ตาย ต่างพูดท้าทายกัน แล้วผู้ตายใช้มีดดาบฟันจำเลยก่อน จำเลยหลบทันและล้มลงยังพื้นดิน แล้วจำเลยลุกขึ้นใช้ไม้ไผ่ที่ถือมานั้นตีผู้ตายถึงแก่ความตาย การที่จำเลยถือไม้เดินไปหาผู้ตาย เป็นการแสดงความสมัครใจจะต่อสู้กับผู้ตายจำเลยจะอ้างการป้องกันไม่ได้ แต่การที่ผู้ตายมาด่าจำเลยแล้วกลับไปเอามีดดาบมาท้าทายจำเลยอีก และยังเป็นฝ่ายลงมือฟันจำเลยก่อนด้วย เช่นนี้ เป็นการข่มเหงจำเลยอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม ต้องถือว่าที่จำเลยตีผู้ตายไปในขณะนั้นเป็นการกระทำความผิดโดยบันดาลโทสะ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 540/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาเช่าระงับเมื่อผู้เช่าเสียชีวิต แม้รับค่าเช่าต่อ ก็ถือเป็นการอยู่อาศัยโดยอาศัยสิทธิเจ้าของ
สัญญาเช่าเป็นสิทธิเฉพาะตัวของผู้เช่า เมื่อสามีจำเลยซึ่งเป็นผู้เช่าอาคารของโจทก์ตาย สัญญาเช่าอาคารพิพาทก็เป็นอันระงับไป แม้หลังจากนั้นโจทก์ยอมให้จำเลยเช่าอาคารพิพาทและรับเงินค่าเช่าอาคารพิพาทจากจำเลยทุกเดือนแต่มิได้ทำหนังสือสัญญาเช่าต่อกัน และโจทก์มิได้ออกใบเสร็จรับเงินค่าเช่าอาคารพิพาทให้จำเลย จึงไม่มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างหนึ่งอย่างใดลงลายมือชื่อโจทก์ฝ่ายที่ต้องรับผิดเป็นสำคัญ จำเลยจะยกการเช่าขึ้นเป็นข้อต่อสู้โจทก์ไม่ได้และถือว่าจำเลยอยู่ในอาคารพิพาทโดยอาศัยสิทธิของโจทก์เมื่อโจทก์ไม่ประสงค์จะให้จำเลยอยู่ในอาคารพิพาทของโจทก์ ต่อไปโจทก์ฟ้องขอให้ศาลขับไล่จำเลยออกจากอาคารพิพาทได้ทันที เพราะไม่มีกฎหมายในเรื่องนี้ให้บอกกล่าวจำเลยก่อนฟ้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 540/2517

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาเช่าระงับเมื่อผู้เช่าเสียชีวิต แม้รับค่าเช่าต่อก็ถือเป็นการเช่าโดยไม่มีสัญญาเป็นหลักฐาน ผู้ให้เช่ามีสิทธิขับไล่ได้ทันที
สัญญาเช่าเป็นสิทธิเฉพาะตัวของผู้เช่า เมื่อสามีจำเลยซึ่งเป็นผู้เช่าอาคารของโจทก์ตาย สัญญาเช่าอาคารพิพาทก็เป็นอันระงับไป แม้หลังจากนั้นโจทก์ยอมให้จำเลยเช่าอาคารพิพาทและรับเงินค่าเช่าอาคารพิพาทจากจำเลยทุกเดือนแต่มิได้ทำหนังสือสัญญาเช่าต่อกัน และโจทก์มิได้ออกใบเสร็จรับเงินค่าเช่าอาคารพิพาทให้จำเลย จึงไม่มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างหนึ่งอย่างใดลงลายมือชื่อ โจทก์ฝ่ายที่ต้องรับผิดเป็นสำคัญ จำเลยจะยกการเช่าขึ้นเป็นข้อต่อสู้โจทก์ไม่ได้และถือว่าจำเลยอยู่ในอาคารพิพาทโดยอาศัยสิทธิของโจทก์เมื่อโจทก์ไม่ประสงค์จะให้จำเลยอยู่ในอาคารพิพาทของโจทก์ต่อไป โจทก์ฟ้องขอให้ศาลขับไล่จำเลยออกจากอาคารพิพาทได้ทันที เพราะไม่มีกฎหมายในเรื่องนี้ให้บอกกล่าวจำเลยก่อนฟ้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 516/2517

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องซ้ำในความผิดกรรมเดียว ศาลมีอำนาจยกฟ้องได้เมื่อศาลได้พิพากษาลงโทษแล้ว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยดำรงชีพอยู่ด้วยรายได้ของหญิงในการค้าประเวณีสำนวนหนึ่งและในวันเดียวกันโจทก์ยังฟ้องจำเลยเกี่ยวกับการกระทำผิดอันเดียวกันเป็นอีกสำนวนหนึ่งว่าจำเลยเป็นผู้จัดการสถานการค้าประเวณีโดยมิได้ขอให้พิจารณาคดีรวมกันเห็นได้ว่าเป็นการฟ้องขอให้ลงโทษในกรรมเดียวซ้ำกัน 2 ครั้งข้อหาในอีกสำนวนหนึ่งนั้นย่อมหมายความว่าจำเลยมีรายได้จากสินจ้างซึ่งได้รับจากลูกค้าของสถานการค้าประเวณี แล้วจำเลยแบ่งรายได้นั้นให้แก่หญิงที่ค้าประเวณีแต่ข้อหาในสำนวนนี้ว่าจำเลยดำรงชีพอยู่จากรายได้ของหญิงที่ค้าประเวณีในสถานที่แห่งเดียวกัน เมื่อในคดีอีกสำนวนหนึ่งนั้นจำเลยรับสารภาพข้อเท็จจริงฟังได้ตามฟ้อง และศาลได้พิพากษาลงโทษจำเลยแล้วจึงชอบที่ศาลจะยกฟ้องคดีสำนวนนี้เสีย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 516/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องซ้ำในกรรมเดียวกัน ศาลชอบที่จะยกฟ้องเมื่อมีคำพิพากษาลงโทษแล้ว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยดำรงชีพอยู่ด้วยรายได้ของหญิงในการค้าประเวณีสำนวนหนึ่งและในวันเดียวกันโจทก์ยังฟ้องจำเลยเกี่ยวกับการกระทำผิดอันเดียวกันเป็นอีกสำนวนหนึ่งว่าจำเลยเป็นผู้จัดการสถานการค้าประเวณีโดยมิได้ขอให้พิจารณา คดีรวมกันเห็นได้ว่าเป็นการฟ้องขอให้ลงโทษในกรรมเดียวซ้ำกัน 2 ครั้งข้อหาในอีกสำนวนหนึ่งนั้นย่อมหมายความว่าจำเลยมีรายได้จากสินจ้างซึ่งได้รับจากลูกค้าของสถานการค้าประเวณี แล้วจำเลยแบ่งรายได้นั้นให้แก่หญิงที่ค้าประเวณีแต่ข้อหาในสำนวนนี้ว่าจำเลยดำรงชีพอยู่จากรายได้ของหญิงที่ค้าประเวณีในสถานที่แห่งเดียวกัน เมื่อในคดีอีกสำนวนหนึ่งนั้นจำเลยรับสารภาพข้อเท็จจริงฟังได้ตามฟ้อง และศาลได้พิพากษาลงโทษจำเลยแล้วจึงชอบที่ศาลจะยกฟ้องคดีสำนวนนี้เสีย
of 29