คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.พ.พ. ม. 575

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,490 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2594/2521

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเช่านา: สิทธิผู้เช่าตาม พ.ร.บ.ควบคุมการเช่านา และความรับผิดของผู้รับโอนกรรมสิทธิ์
โจทก์ทำนาของจำเลย ค่าพันธุ์ข้าวปลูกโจทก์จำเลยออกกันคนละกึ่งส่วนค่าใช้จ่ายอย่างอื่นโจทก์เป็นผู้ออก ผลประโยชน์ที่ได้จากการทำนาแบ่งกันคนละครึ่ง โจทก์จะทำนาได้มากน้อยเท่าใดแล้วแต่ความสามารถของโจทก์ จำเลยมิได้กำหนดกฎเกณฑ์หรือสั่งการและควบคุมโจทก์ ความสัมพันธ์ระหว่างโจทก์กับจำเลยดังกล่าวไม่อยู่ในฐานะนายจ้างลูกจ้าง
การที่จำเลยยอมให้โจทก์ใช้นาพิพาทของจำเลยเพื่อทำนาโดยจำเลยได้รับผลประโยชน์ตอบแทนเป็นข้าวอันเป็นผลผลิตจากการทำนา เช่นนี้ ย่อมถือได้ว่าโจทก์เป็นผู้เช่านาพิพาทตามความหมายแห่งพระราชบัญญัติควบคุมการเช่านา พ.ศ.2517 แล้ว แม้การเช่าจะมิได้กำหนดเวลากันไว้ก็ตาม ก็ถือว่าการเช่านารายนี้มีกำหนดเวลา 6 ปีตามมาตรา 5 แห่งกฎหมายดังกล่าว จำเลยจึงมีหน้าที่ตามกฎหมายต้องให้โจทก์เช่าจนครบ 6 ปี
แม้ว่าคำวินิจฉัยของคณะกรรมการควบคุมการเช่านาจะยังไม่ถึงที่สุดเมื่อสัญญาเช่าระหว่างโจทก์จำเลยยังไม่สิ้นสุด และจำเลยขัดขวางมิให้โจทก์เข้าทำนาตามสิทธิ์ โจทก์ย่อมได้รับความเสียหายซึ่งจำเลยจะต้องรับผิดต่อโจทก์จะอ้างว่าตนเข้าครอบครองนาพิพาทระหว่างรอคำวินิจฉัยของคณะกรรมการฯ จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์หาได้ไม่
เดิมโจทก์เช่านาพิพาทกับจำเลยคนหนึ่ง ต่อมาจำเลยคนนั้นโอนนาพิพาทไปให้จำเลยอีกคนหนึ่ง จำเลยผู้รับโอนย่อมรับไปทั้งสิทธิและหน้าที่ของจำเลยคนก่อนที่มีต่อโจทก์ผู้เช่านา ตามมาตรา 29 แห่งกฎหมายดังกล่าว จำเลยผู้รับโอนจึงต้องรับผิดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์
แม้จำเลยคนหนึ่งจะไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ศาลก็มีอำนาจที่จะสั่งให้รับผิดในค่าฤชาธรรมเนียมร่วมกับจำเลยอีกคนหนึ่งผู้ซึ่งจะต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 161

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2594/2521 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเช่านา: สิทธิผู้เช่าตาม พ.ร.บ.ควบคุมการเช่านา และความรับผิดของผู้รับโอนสิทธิ
โจทก์ทำนาของจำเลย ค่าพันธุ์ข้าวปลูกโจทก์จำเลยออกกันคนละกึ่ง ส่วนค่าใช้จ่ายอย่างอื่นโจทก์เป็นผู้ออก ผลประโยชน์ที่ได้จากการทำนาแบ่งกันคนละครึ่ง โจทก์จะทำนาได้มากน้อยเท่าใดแล้วแต่ความสามารถของโจทก์ จำเลยมิได้กำหนดกฎเกณฑ์หรือสั่งการและควบคุมโจทก์ ความสัมพันธ์ระหว่างโจทก์กับจำเลยดังกล่าวไม่อยู่ในฐานะนายจ้างลูกจ้าง
การที่จำเลยยอมให้โจทก์ใช้นาพิพาทของจำเลยเพื่อทำนาโดยจำเลยได้รับผลประโยชน์ตอบแทนเป็นข้าวอันเป็นผลผลิตจากการทำนา เช่นนี้ ย่อมถือได้ว่าโจทก์เป็นผู้เช่านาพิพาทตามความหมายแห่งพระราชบัญญัติควบคุมการเช่านา พ.ศ.2517 แล้ว แม้การเช่าจะมิได้กำหนดเวลากันไว้ก็ตาม ก็ถือว่าการเช่านารายนี้มีกำหนดเวลา 6 ปี ตามมาตรา 5 แห่งกฎหมายดังกล่าว จำเลยจึงมีหน้าที่ตามกฎหมายต้องให้โจทก์เช่าจนครบ 6 ปี
แม้ว่าคำวินิจฉัยของคณะกรรมการควบคุมการเช่านาจะยังไม่ถึงที่สุด เมื่อสัญญาเช่าระหว่างโจทก์จำเลยยังไม่สิ้นสุด และจำเลยขัดขวางมิให้โจทก์เข้าทำนาตามสิทธิ์ โจทก์ย่อมได้รับความเสียหายซึ่งจำเลยจะต้องรับผิดต่อโจทก์จะอ้างว่าคนเข้าครอบครองนาพิพาทระหว่างรพอคำวินิจฉัยของคณะกรรมการฯ จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์หาได้ไม่
เดิมโจทก์เช่านาพิพาทกับจำเลยคนหนึ่ง ต่อมาจำเลยคนนั้นโอนนาพิพาทไปให้จำเลยอีกคนหนึ่ง จำเลยผู้รับโอนย่อมรับไปทั้งสิทธิและหน้าที่ของจำเลยคนก่อน- ที่มีต่อโจทก์ผู้เช่านา ตามมาตรา 29 แห่งกฎหมายดังกล่าว จำเลยผู้รับโอนจริงต้องรับผิดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์
แม้จำเลยคนหนึ่งจะไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ ศาลก็มีอำนาจที่จะสั่งให้รับผิดในค่าฤชาธรรมเนียมร่วมกับจำเลยอีกคนหนึ่งผู้ซึ่งจะต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 161

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 607/2521 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาฝากทรัพย์ อายุความฟ้องร้อง 6 เดือน กรณีไม้ของกลางสูญหาย
โจทก์จำเลยทำสัญญากันมีข้อความเป็นสารสำคัญว่า โจทก์มอบไม้ของกลางให้จำเลยจัดการขนย้ายจากสถานีตำรวจภูธรตำบลกำพวนไปเก็บรักษาไว้ในที่ปลอดภัยบริเวณหมู่ที่ 2 ตำบลบางหิน อำเภอกะเปอร์ จังหวัดระนอง แล้วจำเลยต้องเก็บรักษาไม้ของกลางไว้เป็นการชั่วคราวในอารักขาแห่งตนอันเป็นการยอมให้จำเลยครอบครองไม้ของกลางแทนโจทก์ สัญญาดังกล่าวเป็นสัญญาฝากทรัพย์ และคดีมีอายุความฟ้องร้องภายใน 6 เดือน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 671
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2517 เจ้าหน้าที่ของโจทก์ตรวจพบว่าไม้ของกลางที่ได้ทำสัญญาให้จำเลยเฝ้าระวังหายไปทั้งหมด 5 ท่อน จึงทวงถามให้จำเลยชำระเบี้ยปรับตามสัญญา จำเลยไม่ชำระ จำเลยให้การว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความเพราะนับแต่วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2517 อันเป็นวันที่โจทก์ทราบว่าไม้ของกลางหายไปจนบัดนี้เกิน 6 เดือนแล้ว โจทก์มิได้นำสืบในข้อนี้ ถือว่าโจทก์บอกเลิกสัญญาแล้วตั้งแต่วันนั้นและถือว่าเป็นวันสิ้นสัญญา เมื่อโจทก์มิได้ฟ้องคดีภายใน 6 เดือน นับแต่วันสิ้นสัญญาดังกล่าว คดีของโจทก์ขาดอายุความ
(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 2/2521)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 607/2521

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความสัญญาฝากทรัพย์: การครอบครองไม้ของกลางและการบอกเลิกสัญญา
โจทก์จำเลยทำสัญญากันมีข้อความเป็นสารสำคัญว่าโจทก์มอบไม้ ของกลางให้จำเลยจัดการขนย้ายจากสถานีตำรวจภูธรตำบลกำพวนไปเก็บรักษาไว้ในที่ปลอดภัยบริเวณหมู่ที่ 2 ตำบลบางหินอำเภอกะเปอร์ จังหวัดระนอง แล้วจำเลยต้องเก็บรักษาไม้ของกลางไว้เป็นการชั่วคราวในอารักขาแห่งตนอันเป็นการยอมให้จำเลยครอบครองไม้ของกลางแทนโจทก์สัญญาดังกล่าวเป็นสัญญาฝากทรัพย์ และคดี มีอายุความฟ้องร้องภายใน 6 เดือนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 671
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2517 เจ้าหน้าที่ของโจทก์ตรวจพบว่าไม้ของกลางที่ได้ทำสัญญาให้จำเลยเฝ้ารักษาหายไปทั้งหมด 5 ท่อน จึงทวงถามให้จำเลยชำระเบี้ยปรับตามสัญญา จำเลยไม่ชำระ จำเลยให้การว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความเพราะนับแต่วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2517 อันเป็นวันที่โจทก์ทราบว่าไม้ของกลางหายไปจนบัดนี้เกิน 6 เดือนแล้ว โจทก์มิได้นำสืบในข้อนี้ ถือว่าโจทก์บอกเลิกสัญญาแล้วตั้งแต่วันนั้นและถือว่าเป็นวันสิ้นสัญญา เมื่อโจทก์มิได้ฟ้องคดีภายใน 6 เดือน นับแต่วันสิ้นสัญญาดังกล่าว คดีของโจทก์ขาดอายุความ (ประชุมใหญ่ครั้งที่ 2/2521)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2490/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ในการชี้ขาดข้อพิพาทเกี่ยวกับสภาพการจ้าง รวมถึงค่าจ้างและสวัสดิการ
ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 103 เป็นกฎหมายพิเศษได้แสดงเจตนารมณ์ไว้ในเบื้องต้นว่า เพื่อให้การใช้แรงงานเป็นไปโดยเหมาะสมและแก้ไขข้อขัดแย้งระหว่างนายจ้างกับลูกจ้างให้เป็นไปโดย วิธีปรองดองและเป็นธรรมข้อ 4(4) ให้มีคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์เพื่อทำหน้าที่ชี้ขาดข้อพิพาทแรงงาน และวินิจฉัยชี้ขาดการกระทำซึ่งกระทรวงมหาดไทยจะได้กำหนดว่าเป็นการกระทำอันไม่เป็นธรรม และตามประกาศกระทรวงมหาดไทยเรื่องการแรงงานสัมพันธ์ฯ "ข้อพิพาทแรงงาน" หมายความว่าข้อขัดแย้งระหว่างนายจ้างกับลูกจ้างเกี่ยวกับสภาพการจ้าง "สภาพการจ้าง" หมายความว่า เงื่อนไขการจ้างหรือการทำงาน กำหนดวันและเวลาทำงาน ค่าจ้าง สวัสดิการ การเลิกจ้าง หรือประโยชน์อื่นของนายจ้างหรือลูกจ้างอันเกี่ยวกับการจ้างหรือการทำงาน ดังนั้น เมื่อลูกจ้างขอขึ้นเงินเดือนร้อยละ 10 โจทก์ซึ่งเป็นนายจ้างขอขึ้นให้ร้อยละ 7 จึงมีข้อพิพาทแรงงานเกิดขึ้นซึ่งคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ย่อมมีอำนาจชี้ขาดได้
แม้ตามสัญญาแรงงานระหว่างโจทก์กับลูกจ้างมิได้มีข้อสัญญาไว้ว่าโจทก์จะต้องขึ้นเงินเดือนให้แก่ลูกจ้างทุกระยะเท่าใดและอัตราเท่าใด ก็มิได้หมายความว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงค่าจ้างไม่ได้ ทั้งตามประกาศกระทรวงมหาดไทยเรื่องการแรงงานสัมพันธ์ฯ ข้อ 4 มีความว่า เมื่อนายจ้างลูกจ้างประสงค์จะให้แก้ไขเพิ่มเติมสภาพการจ้างก็ให้แจ้งแก่อีกฝ่ายหนึ่ง แสดงว่าสภาพการจ้างย่อมเปลี่ยนแปลงได้ ทั้งการที่โจทก์เสนอขอขึ้นค่าจ้างให้ร้อยละ 7 ก็แสดงว่าโจทก์พร้อมที่จะเปลี่ยนสภาพการจ้างเหมือนกัน การที่จำเลยซึ่งเป็นคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ชี้ขาดและสั่งให้โจทก์ขึ้นเงินเดือนลูกจ้างเพิ่มขึ้นจากที่โจทก์เสนออีกร้อยละ 1 เป็นร้อยละ 8 จึงหาเป็นการฝ่าฝืนกฎหมายไม่
การจัดหาบ้านพักให้ลูกจ้าง หรือจ่ายเงินค่าเช่าบ้านให้ลูกจ้าง ถือได้ว่าเป็นสวัสดิการหรือประโยชน์อื่นของลูกจ้างอยู่ในความหมายของ "สภาพการจ้าง" เมื่อมีข้อพิพาทเกิดขึ้นย่อมถือว่าเป็นข้อพิพาทแรงงาน ซึ่งคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์มีอำนาจชี้ขาดได้ การที่จำเลยซึ่งเป็นคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ได้นำสัญญาเช่าโรงกลั่นน้ำมันระหว่างโจทก์กับกระทรวงกลาโหม และการจ่ายค่าเช่าบ้านของบริษัทกลั่นน้ำมันแห่งอื่นมาพิจารณาด้วย ก็เพื่อประกอบดุลพินิจในการชี้ขาดข้อพิพาทแรงงานเท่านั้น ไม่มีเหตุที่จะกล่าวได้ว่า คำชี้ขาดของจำเลยไม่ชอบด้วยกฎหมาย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2490/2519

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ในการชี้ขาดข้อพิพาทเรื่องค่าจ้างและสวัสดิการลูกจ้างภายใต้ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 103
ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 103 เป็นกฎหมายพิเศษได้แสดงเจตนารมณ์ไว้ในเบื้องต้นว่า เพื่อให้การใช้แรงงานเป็นไปโดยเหมาะสมและแก้ไขข้อขัดแย้งระหว่างนายจ้างกับลูกจ้างให้เป็นไปโดยวิธีปรองดองและเป็นธรรมข้อ 4(4) ให้มีคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์เพื่อทำหน้าที่ชี้ขาดข้อพิพาทแรงงานและวินิจฉัยชี้ขาดการกระทำซึ่งกระทรวงมหาดไทยจะได้กำหนดว่าเป็นการกระทำอันไม่เป็นธรรม และตามประกาศกระทรวงมหาดไทยเรื่องการแรงงานสัมพันธ์ฯ "ข้อพิพาทแรงงาน" หมายความว่าข้อขัดแย้งระหว่างนายจ้างกับลูกจ้างเกี่ยวกับสภาพการจ้าง"สภาพการจ้าง" หมายความว่า เงื่อนไขการจ้างหรือการทำงานกำหนดวันและเวลาทำงาน ค่าจ้าง สวัสดิการ การเลิกจ้าง หรือประโยชน์อื่นของนายจ้างหรือลูกจ้างอันเกี่ยวกับการจ้างหรือการทำงาน ดังนั้น เมื่อลูกจ้างขอขึ้นเงินเดือนร้อยละ 10 โจทก์ซึ่งเป็นนายจ้างขอขึ้นให้ร้อยละ 7 จึงมีข้อพิพาทแรงงานเกิดขึ้นซึ่งคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ย่อมมีอำนาจชี้ขาดได้
แม้ตามสัญญาจ้างแรงงานระหว่างโจทก์กับลูกจ้างมิได้มีข้อสัญญาไว้ว่าโจทก์จะต้องขึ้นเงินเดือนให้แก่ลูกจ้างทุกระยะเท่าใดและอัตราเท่าใด ก็มิได้หมายความว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงค่าจ้างไม่ได้ ทั้งตามประกาศกระทรวงมหาดไทยเรื่องการแรงงานสัมพันธ์ฯข้อ 4 มีความว่า เมื่อนายจ้างลูกจ้างประสงค์จะให้แก้ไขเพิ่มเติมสภาพการจ้างก็ให้แจ้งแก่อีกฝ่ายหนึ่ง แสดงว่าสภาพการจ้างย่อมเปลี่ยนแปลงได้ ทั้งการที่โจทก์เสนอขอขึ้นค่าจ้างให้ร้อยละ 7 ก็แสดงว่าโจทก์พร้อมที่จะเปลี่ยนสภาพการจ้างเหมือนกัน การที่จำเลยซึ่งเป็นคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ชี้ขาดและสั่งให้โจทก์ขึ้นเงินเดือนลูกจ้างเพิ่มขึ้นจากที่โจทก์เสนออีกร้อยละ 1 เป็นร้อยละ 8 จึงหาเป็นการฝ่าฝืนกฎหมายไม่
การจัดหาบ้านพักให้ลูกจ้าง หรือจ่ายเงินค่าเช่าบ้านให้ลูกจ้าง ถือได้ว่าเป็นสวัสดิการหรือประโยชน์อื่นของลูกจ้างอยู่ในความหมายของ "สภาพการจ้าง" เมื่อมีข้อพิพาทเกิดขึ้นย่อมถือว่าเป็นข้อพิพาทแรงงาน ซึ่งคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์มีอำนาจชี้ขาดได้ การที่จำเลยซึ่งเป็นคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ได้นำสัญญาเช่าโรงกลั่นน้ำมันระหว่างโจทก์กับกระทรวงกลาโหม และการจ่ายค่าเช่าบ้านของบริษัทกลั่นน้ำมันแห่งอื่นมาพิจารณาด้วย ก็เพื่อประกอบดุลพินิจในการชี้ขาดข้อพิพาทแรงงานเท่านั้น ไม่มีเหตุที่จะกล่าวได้ว่า คำชี้ขาดของจำเลยไม่ชอบด้วยกฎหมาย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2342/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาจ้างแรงงาน ค่าจ้าง และการหักหนี้เบี้ยปรับ: แม้ของกลางสูญหาย ผู้รับจ้างยังมีสิทธิได้รับค่าจ้าง
โจทก์จำเลยทำสัญญาจ้างแรงงานกันซึ่งมีข้อกำหนดตามสัญญาว่าผู้จ้างยอมให้ผู้รับจ้างคิดค่าจ้างเฝ้ารักษาไม้ ของกลางเป็นจำนวนเงิน 400 บาท นับแต่วันทำสัญญาจนกว่าผู้จ้างจะรับไม้ของกลางคืน หากไม้ของกลางขาดหายหรือเป็นอันตรายไป ผู้รับจ้างยอมให้ผู้จ้างปรับไหมเป็นเงินลูกบาศก์เมตรละ 200 บาท ดังนี้ ถือได้ว่าผู้จ้างตกลงให้ค่าจ้างแก่ผู้รับจ้างตลอดเวลาที่ทำงานให้ ฉะนั้น เมื่อจำเลยผู้รับจ้างได้เฝ้ารักษาไม้ของกลางให้โจทก์ผู้จ้างแล้วไม้ของกลางหายไปในระหว่างนั้นซึ่งโจทก์ได้ฟ้องเรียกค่าปรับไหมหรือเบี้ยปรับจากจำเลยตามสัญญา และศาลบังคับให้ ย่อมถือได้ว่าโจทก์ได้รับตัวเงินไปแทนไม้ของกลางตามสัญญา ทั้งสัญญาไม่มีข้อกำหนดว่าผู้จ้างจะไม่จ่ายเงินค่าจ้างในกรณีไม้ของกลางสูญหายไป จำเลยจึงมีสิทธิ์ได้รับค่าจ้างจากโจทก์ตามสัญญา และขอหักหนี้ค่าจ้างจากเบี้ยปรับได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2342/2519

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาจ้างแรงงาน ค่าจ้าง และการหักหนี้เบี้ยปรับ: สิทธิของลูกจ้างแม้ของหาย
โจทก์จำเลยทำสัญญาจ้างแรงงานกันซึ่งมีข้อกำหนดตามสัญญาว่าผู้จ้างยอมให้ผู้รับจ้างคิดค่าจ้างเฝ้ารักษาไม้ของกลางเป็นจำนวนเงิน 400 บาท นับแต่วันทำสัญญาจนกว่าผู้จ้างจะรับไม้ของกลางคืน หากไม้ของกลางขาดหายหรือเป็นอันตรายไปผู้รับจ้างยอมให้ผู้จ้างปรับไหมเป็นเงินลูกบาศก์เมตรละ200 บาท ดังนี้ ถือได้ว่าผู้จ้างตกลงให้ค่าจ้างแก่ผู้รับจ้างตลอดเวลาที่ทำงานให้ ฉะนั้น เมื่อจำเลยผู้รับจ้างได้เฝ้ารักษาไม้ของกลางให้โจทก์ผู้จ้างแล้วไม้ของกลางหายไปในระหว่างนั้น ซึ่งโจทก์ได้ฟ้องเรียกค่าปรับไหมหรือเบี้ยปรับจากจำเลยตามสัญญา และศาลบังคับให้ย่อมถือได้ว่าโจทก์ได้รับตัวเงินไปแทนไม้ของกลางตามสัญญา ทั้งสัญญาไม่มีข้อกำหนดว่า ผู้จ้างจะไม่จ่ายเงินค่าจ้างในกรณีไม้ของกลางสูญหายไป จำเลยจึงมีสิทธิได้รับค่าจ้างจากโจทก์ตามสัญญา และขอหักหนี้ค่าจ้างจากเบี้ยปรับได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1596/2519

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การใช้ลูกจ้างเกินกำลังจนเกิดอุบัติเหตุ นายจ้างต้องรับผิด
จำเลยค้ำประกัน พ. ซึ่งเป็นลูกจ้างขับรถยนต์ของโจทก์ คนของโจทก์ใช้งาน พ.ให้ขับรถทั้งวันจนถึงค่ำก็ยังใช้ให้ขับรถอีก 600 กิโลเมตร จนเวลา 5 นาฬิกาจึงเกิดอุบัติเหตุรถชนกัน พ.ตาย รถเสียหาย โจทก์ต้องใช้ค่าเสียหายแก่รถอีกฝ่ายหนึ่ง ดังนี้เป็นการใช้คนเกินกำลังความสามารถโดย พ.ไม่สามารถขัดคำสั่งได้ เป็นความบกพร่องของคนของโจทก์เองพ.ไม่บกพร่องต่อหน้าที่ จำเลยไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1020/2519

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ลักษณะสัญญา: สัญญาจ้างแรงงาน vs. สัญญาฝากทรัพย์ และอายุความการฟ้องเรียกค่าปรับ
สัญญาที่โจทก์จำเลยทำกันไว้ระบุชื่อว่า "สัญญาจ้างเฝ้ารักษา" มีข้อกำหนดว่าผู้ว่าจ้าง (โจทก์) ตกลงให้ค่าจ้างแก่ผู้รับจ้าง(จำเลย) เฝ้ารักษาไม้ของกลางโดยคิดค่าจ้างเฝ้ารักษาเป็นเงิน 4,500 บาท จนกว่าผู้จ้างจะรับไม้ของกลางคืน หากไม้ของกลางสูญหายหรือเป็นอันตราย ผู้รับจ้างยอมให้ปรับไหมเป็นรายลูกบาศก์เมตร ระหว่างนั้นผู้จ้างอาจขนไม้ของกลางทั้งหมดหรือบางส่วนไปจากที่เดิมในเวลาใดๆ ก็ได้ แต่ต้องแจ้งให้ผู้รับจ้างทราบ และทำใบรับไม้ของกลางไว้ ทั้งตามบัญชีรายการไม้ของกลางต่อท้ายสัญญา ก็ระบุว่าไม้ของกลางอยู่ที่ป่าใดด้วย ทำสัญญาแล้วก็ไม่ปรากฏว่าผู้รับจ้างได้ชักลากไม้ของกลางจากป่านั้นไปเก็บรักษาไว้ในความอารักขาของตนเแต่อย่างใด ไม้ยังคงอยู่ที่เดิม พฤติการณ์ดังนี้แสดงว่าอำนาจครอบครองไม้ของกลางยังอยู่แก่ผู้ว่าจ้าง ผู้รับจ้างเพียงแต่เฝ้ารักษาระวังไม่ให้เป็นอันตรายหรือสูญหายไปเท่านั้น สัญญาดังกล่าวจึงเป็นสัญญาจ้างแรงงานหาใช่เป็นสัญญาฝากทรัพย์ไม่(อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 685/2512)
การฟ้องให้ผู้รับจ้างใช้เบี้ยปรับ เพราะไม้ของกลางดังกล่าวสูญหายไปมีอายุความ 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164 เมื่อนับตั้งแต่วันที่ไม้ของกลางหายไปจนถึงวันฟ้องยังไม่เกิน 10 ปี จึงหาขาดอายุความไม่
of 249