คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.อ. ม. 36

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 473 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1007/2543

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กรรมสิทธิ์รถจักรยานยนต์หลังศาลริบ: ผู้ขายยังโอนกรรมสิทธิ์ให้ผู้ซื้อได้ก่อนคำพิพากษาถึงที่สุด
ผู้ร้องทำสัญญาซื้อรถจักรยานยนต์ของกลางจากผู้ขายตามสัญญาซื้อขายรถแบบเงินผ่อน โดยในสัญญาได้กำหนดให้ผู้ร้องชำระราคารถจักรยานยนต์ของกลางบางส่วนในวันทำสัญญา ส่วนที่เหลือผ่อนชำระรวม 24 งวด เมื่อชำระราคารถจักรยานยนต์ครบแล้วผู้ขายจึงจะโอนกรรมสิทธิ์ให้ สัญญาซื้อขายรถจักรยานยนต์ของกลางจึงเป็นสัญญาซื้อขายมีเงื่อนไข เมื่อปรากฏว่าก่อนที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาให้ริบรถจักรยานยนต์ของกลางนั้น ผู้ร้องยังมิได้ชำระเงินงวดสุดท้ายให้แก่ผู้ขาย กรรมสิทธิ์ในรถจักรยานยนต์ของกลางจึงยังอยู่ที่ผู้ขายแม้ว่าต่อมาศาลชั้นต้นจะมีคำพิพากษาให้ริบรถจักรยานยนต์ของกลางก็ตาม แต่รถจักรยานยนต์ของกลางที่ศาลมีคำพิพากษาให้ริบนั้นจะตกเป็นของแผ่นดินก็ต่อเมื่อคำพิพากษาทีให้ริบของกลางดังกล่าวเป็นที่สุด แต่ระหว่างที่คำพิพากษาที่ให้ริบของกลางดังกล่าวยังไม่เป็นที่สุดเจ้าของกรรมสิทธิ์ในทรัพย์ของกลางยังคงมีอำนาจที่จะจำหน่าย จ่าย โอน ทรัพย์ของตนได้ เมื่อปรากฏว่าศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาให้ริบรถจักรยานยนต์ของกลางดังกล่าว โดยไม่มีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์ฎีกา คำพิพากษาศาลชั้นต้นดังกล่าวนั้นจะเป็นที่สุดก็ต่อเมื่อระยะเวลาในการอุทธรณ์ฎีกาได้สิ้นสุดลงดังที่ได้บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 147 วรรคสอง ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 15 ดังนั้น ก่อนหน้าที่คำพิพากษาศาลชั้นต้นดังกล่าวจะเป็นที่สุด ผู้ขายซึ่งเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในรถจักรยานยนต์ของกลางยังสามารถที่จะโอนกรรมสิทธิ์ในรถจักรยานยนต์ของกลางให้แก่ผู้ร้องได้ เมื่อผู้ร้องได้ชำระราคางวดสุดท้ายก่อนวันที่คำพิพากษาศาลชั้นต้นที่ให้ริบรถจักรยานยนต์ของกลางจะเป็นที่สุด ผู้ขายจึงสามารถโอนกรรมสิทธิ์ให้แก่ผู้ร้อง และถือได้ว่าผู้ร้องเป็นเจ้าของรถจักรยานยนต์ของกลางที่แท้จริงอันมีสิทธิที่จะยื่นคำร้องขอคืนของกลางได้ เมื่อผู้ร้องและผู้ขายซึ่งเป็นเจ้าของเดิมของรถจักรยานยนต์ของกลางขณะที่ถูกนำไปใช้กระทำความผิดมิได้มีส่วนรู้เห็นเป็นใจในการกระทำความผิด จึงสมควรคืนรถจักรยานยนต์ของกลางให้แก่ผู้ร้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 351/2543

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การปล่อยปละละเลยให้บุตรใช้รถโดยมิได้ควบคุมดูแล อาจถือเป็นความรู้เห็นชอบในการกระทำความผิด
จำเลยที่ 3 เป็นบุตรผู้ร้อง ทั้งรถจักรยานยนต์ของกลางผู้ร้องซื้อมาเพื่อใช้ในการทำมาหากินและรับส่งบุคคลในครอบครัวโดยให้จำเลยที่ 3 เป็นผู้ใช้ในการนำออกไปซื้อของและขับไปโรงเรียนบ้าง จึงพออนุมานได้ว่า ผู้ร้องมิได้เข้มงวดในการที่จำเลยที่ 3 จะนำรถจักรยานยนต์ของกลางออกไปใช้นัก พฤติการณ์มีผลเท่ากับผู้ร้องอนุญาตโดยปริยายให้จำเลยที่ 3 นำรถจักรยานยนต์ไปใช้ได้ทุกเวลาทุกสถานที่โดยไม่ขัดขวาง ดังนั้น เมื่อจำเลยที่ 3 อายุเพียง 17 ปี อยู่ในวัยรุ่นวัยคะนองนำรถจักรยานยนต์ของกลางไปใช้ในการขับแข่งขันโดยไม่ได้รับอนุญาตย่อมถือได้ว่าผู้ร้องมีส่วนรู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิด ไม่มีสิทธิขอคืนรถจักรยานยนต์ของกลาง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8381/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กรรมสิทธิ์รถยนต์: การซื้อขายและหลักฐานการโอนกรรมสิทธิ์ที่น่าเชื่อถือ
แม้หนังสือแสดงการจดทะเบียนรถจะมิใช่หลักฐานแสดงกรรมสิทธิ์ แต่ก็เป็นหลักฐานเบื้องต้นที่แสดงว่าผู้มีชื่อเป็นเจ้าของในเอกสารดังกล่าวน่าจะเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รถยนต์ และโดยปกติเมื่อมีการซื้อขายรถยนต์กันย่อมจะมีการจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงชื่อเจ้าของให้ถูกต้อง หากผู้ร้องซื้อรถยนต์บรรทุกของกลางจากจำเลยเมื่อปี 2540 จริงก็น่าจะไปดำเนินการดังกล่าวเช่นบุคคลทั่วไปปฏิบัติไม่น่าจะเพิกเฉยอยู่เช่นนี้ การอ้างว่าไม่มีเวลาว่างของผู้ร้องจึงไม่สมเหตุผล ทั้งยังขัดกับคำร้องของผู้ร้องเองที่บรรยายว่า จำเลยขายรถยนต์บรรทุกของกลางให้ผู้ร้องเมื่อต้นปี 2540 ในราคา 500,000 บาท ผู้ร้องชำระราคาครั้งแรกจำนวน350,000 บาท ส่วนที่เหลือผ่อนชำระเป็นงวด และตกลงจะไปโอนทางทะเบียนเมื่อผู้ร้องชำระราคาครบถ้วนแล้ว ผู้ร้องเพิ่งชำระราคาครบถ้วนเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์2541 ทั้งผู้ร้องเป็นพี่สาว จ. ซึ่งเป็นภริยาจำเลยนับว่าเป็นญาติสนิทของจำเลยการยื่นคำร้องของผู้ร้องอาจเป็นการทำประโยชน์ของจำเลย พยานหลักฐานของผู้ร้องที่นำสืบมาเป็นพิรุธไม่น่าเชื่อว่าผู้ร้องเป็นเจ้าของรถยนต์บรรทุกของกลางจึงไม่อาจคืนรถยนต์บรรทุกของกลางให้ผู้ร้องได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7115/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรับมรดกเรือยนต์ของกลาง ผู้ร้องมีสิทธิขอคืนได้หากไม่รู้เห็นเป็นใจกับการกระทำผิด
ตามสำเนาทะเบียนบ้านปรากฏชื่อนาย ด. เป็นหัวหน้าครอบครัว นาง จ. เป็นภรรยา ส่วนผู้ร้องเป็นบุตรของนาย ด. กับนาง จ. สำเนาทะเบียนบ้านดังกล่าวเป็นเอกสารมหาชนที่พนักงานเจ้าหน้าที่ได้ทำขึ้นจึงต้องสันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นของแท้จริงและถูกต้อง เมื่อโจทก์มิได้นำสืบหักล้างให้เห็นว่าข้อความตามที่ได้ระบุไว้นั้นไม่ถูกต้อง จึงรับฟังได้ว่าผู้ร้องเป็นบุตรของนาย ด.
เมื่อนาย ด. ถึงแก่ความตาย ผู้ร้องซึ่งเป็นบุตรของนาย ด. อันมีฐานะเป็นทายาทโดยธรรม จึงเป็นทายาทผู้หนึ่งที่มีสิทธิได้รับมรดกเรือยนต์ของกลาง แม้จะปรากฏว่านาย ด. มีบุตรอื่นอีกหลายคน ก็ต้องถือว่าผู้ร้องมีสิทธิรับมรดกร่วมเป็นเจ้าของเรือยนต์ของกลางด้วยผู้หนึ่ง ดังนั้น ผู้ร้องจึงเป็นผู้มีส่วนได้เสีย มีสิทธิยื่นคำร้องขอคืนเรือยนต์ของกลางได้
เมื่อจำเลยทั้งสองได้กระทำความผิดโดยนำเรือประมงเข้าไปจับปลาในเขตหวงห้าม แต่ข้อเท็จจริงปรากฏว่าเรือประมงที่ใช้ในการกระทำความผิดมิได้เป็นของจำเลยทั้งสองแต่เป็นของผู้ร้องและผู้ร้องก็มิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดดังกล่าว ศาลจึงมีอำนาจสั่งให้คืนเรือของกลางได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5198/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การคืนรถเช่าซื้อของกลาง: สิทธิเจ้าของแท้จริง ผู้เช่าซื้อกระทำผิด ไม่ถือเป็นการสนับสนุนความผิดหรือใช้สิทธิโดยไม่สุจริต
พ. หุ้นส่วนผู้จัดการของผู้ร้องยื่นเอกสารต่อรองผู้กำกับหัวหน้าสถานีตำรวจภูธรอำเภอ แม้ในเอกสารจะมีข้อความว่าขอท่านได้โปรดมีคำสั่งคืนรถจักรยานยนต์ที่เจ้าพนักงานตำรวจยึดมาให้แก่ผู้ร้องด้วย การยื่นเอกสารดังกล่าวหาใช่เป็นการขอคืนของกลางตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 36 แต่อย่างใดไม่ นอกจากนี้เอกสารดังกล่าวผู้ร้องได้ยืนยันว่ารถจักรยานยนต์ที่เจ้าพนักงานตำรวจยึดมาเป็นของผู้ร้องผู้ร้องมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำผิดที่เกิดขึ้นก็เป็นเรื่องที่ผู้ร้องยืนยันถึงสิทธิของผู้ร้องในรถจักรยานยนต์ของกลาง และแม้จะได้ความว่าหลังจากทราบว่าได้ใช้รถจักรยานยนต์ในการกระทำผิดแล้วผู้ร้องยังรับชำระค่าเช่าซื้อจากผู้เช่าซื้ออีก 4 งวดและเพิ่งจะมาบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2540 แต่ศาลชั้นต้นก็พิพากษาให้ริบรถจักรยานยนต์เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2540 พฤติการณ์ดังกล่าวก็ยังไม่มีเหตุที่จะฟังว่าผู้ร้องขอคืนรถของกลางเป็นการกระทำเพื่อประโยชน์ของบุคคลอื่นและเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตแต่ประการใดไม่ การที่โจทก์ฎีกาว่า ผู้ร้องได้มอบรถจักรยานยนต์ไปโดยยังไม่ได้จดทะเบียนโอนเป็นการสนับสนุนให้มีการกระทำผิดกฎหมายและหากมีผู้นำรถจักรยานยนต์ไปกระทำความผิดกฎหมาย ย่อมเป็นการยากที่เจ้าพนักงานตำรวจจะทำการสอบสวนหาตัวผู้กระทำความผิดมาลงโทษ ฎีกาของโจทก์ไม่ถือว่าพฤติการณ์ของผู้ร้องเช่นนี้ เป็นการขอคืนของกลางที่เป็นการกระทำเพื่อประโยชน์ของบุคคลอื่น เพราะเป็นการคาดการณ์ที่ไกลเกินเหตุเนื่องจากในเรื่องเช่าซื้อรถจักรยานยนต์นี้เมื่อมีการทำสัญญาเช่าซื้อกันเป็นหนังสือตลอดจนมีการค้ำประกันแล้ว ผู้ให้เช่าซื้อก็จะส่งมอบรถจักรยานยนต์ที่เช่าซื้อให้แก่ผู้เช่าซื้อไป เป็นกรณีที่ปฏิบัติกันเป็นปกติธรรมดาโดยทั่วไป หาใช่เป็นการผิดธรรมดาวิสัยแต่อย่างใดไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4972/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิสูจน์ความเป็นเจ้าของทรัพย์และเจตนาในการกระทำผิดกรณีการพนัน ศาลฎีกาตัดสินยืนตามศาลล่าง
ผู้ร้องคงมีแต่ฟ.กรรมการบริษัทผู้ร้องเป็นพยานเบิกความลอยๆว่าบริษัทผู้ร้องเป็นเจ้าของตู้ปาเป้าไฟฟ้าซึ่งมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิด ทั้งพยานเอกสารที่ผู้ร้องอ้างเป็นภาษาต่างประเทศก็ไม่มีคำแปลภาษาไทยไม่อาจใช้เป็นพยานหลักฐานประกอบจึงฟังไม่ได้ว่าผู้ร้องเป็นเจ้าของตู้ปาเป้าของกลางนอกจากนั้นการที่ผู้ร้องมอบให้ส. เป็นผู้ดำเนินการติดตั้งตู้ปาเป้าก็ขึ้นอยู่กับส. ว่าจะนำไปติดตั้งที่ใดก็ได้ ผู้ร้องไม่สนใจขอเพียงได้รับเงินเดือน เดือนละ 2,000 บาท เท่านั้น ย่อมเป็นพฤติการณ์ที่ทำให้ เห็นว่าผู้ร้องรู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3829/2542 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การโอนกรรมสิทธิ์ทรัพย์สินที่ถูกริบ: สิทธิของเจ้าของเดิมก่อนคดีถึงที่สุด
ทรัพย์สินซึ่งศาลพิพากษาให้ริบจะตกเป็นของแผ่นดินตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 35 ก็ต่อเมื่อคดีถึงที่สุด แม้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 จะมีคำพิพากษาให้ริบรถจักรยานยนต์ของกลาง แต่เมื่อมีการฎีกาโต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ในข้อดังกล่าวและคดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา รถจักรยานยนต์ของกลางดังกล่าว จึงยังหาตกเป็นของแผ่นดินไม่ ดังนั้น เจ้าของกรรมสิทธิ์ในรถจักรยานยนต์ของกลางย่อมโอนกรรมสิทธิ์ให้ผู้ร้องได้ เพราะไม่มีกฎหมายใดบัญญัติห้ามโอนกรรมสิทธิ์กันไว้ ผู้ร้องจึงเป็นเจ้าของรถจักรยานยนต์ของกลางที่แท้จริง และมีสิทธิยื่นคำร้อง ขอคืนรถจักรยานยนต์ของกลางหลังจากศาลฎีกามีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้วภายในกำหนด 1 ปีได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3829/2542 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิขอคืนทรัพย์สินที่ถูกริบ: เจ้าของแท้จริงมีสิทธิแม้ไม่ใช่เจ้าของขณะกระทำผิด
ตาม ป.อ. มาตรา 36 ผู้เป็นเจ้าของแท้จริงมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดที่มีสิทธิยื่นคำร้องขอคืนทรัพย์สินที่ถูกริบ ไม่จำกัดเฉพาะผู้เป็นเจ้าของทรัพย์สินในขณะมีการกระทำความผิดเท่านั้น
ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1336 เจ้าของกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินย่อมมีอำนาจจะจำหน่ายจ่ายโอนทรัพย์สินของตนได้ การที่ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาให้ริบรถจักรยานยนต์ของกลางยังไม่ทำให้รถจักรยานยนต์ของกลางตกเป็นของแผ่นดินตาม ป.อ.มาตรา 35 เพราะคดียังไม่ถึงที่สุด เนื่องจากมีการฎีกาโต้แย้งคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ว่าไม่ควรริบรถจักรยานยนต์ของกลาง ดังนี้ในระหว่างที่คดีอยู่ในการพิจารณาของศาลฎีกา เจ้าของรถจักรยานยนต์ของกลางที่แท้จริงย่อมมีสิทธิโอนกรรมสิทธิ์ในรถจักรยานยนต์ของกลางให้แก่ผู้ร้องได้โดยชอบ และไม่มีบทกฎหมายใดบัญญัติห้ามโอนกรรมสิทธิ์กันไว้ ผู้ร้องจึงเป็นเจ้าของรถจักรยานยนต์ของกลางที่แท้จริงและมีสิทธิมายื่นคำร้องขอคืนรถจักรยานยนต์ของกลางหลังจากศาลฎีกามีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้วได้ภายในกำหนด 1 ปี และเมื่อผู้ร้องและ ส.เจ้าของเดิมของรถจักรยานยนต์ของกลางขณะที่จำเลยนำไปใช้ในการกระทำความผิด มิได้มีส่วนรู้เห็นเป็นใจด้วย จึงต้องคืนรถจักรยานยนต์ของกลางให้แก่ผู้ร้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3829/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิการขอคืนทรัพย์สินที่ถูกริบ: เจ้าของกรรมสิทธิ์ที่แท้จริงมีสิทธิแม้โอนกรรมสิทธิ์ก่อนคดีถึงที่สุด
ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 36 ผู้เป็นเจ้าของแท้จริงมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดที่มีสิทธิยื่นคำร้องขอคืนทรัพย์สินที่ถูกริบไม่จำกัดเฉพาะผู้เป็นเจ้าของทรัพย์สินในขณะมีการกระทำความผิดเท่านั้น ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1336 เจ้าของกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินย่อมมีอำนาจจะจำหน่ายจ่ายโอนทรัพย์สินของตนได้ การที่ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาให้ริบรถจักรยานยนต์ของกลางยังไม่ทำให้รถจักรยานยนต์ของกลางตกเป็น ของแผ่นดินตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 35 เพราะคดียังไม่ถึงที่สุด เนื่องจากมีการฎีกาโต้แย้งคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ว่าไม่ควรริบรถจักรยานยนต์ของกลาง ดังนี้ในระหว่างที่คดีอยู่ในการพิจารณาของศาลฎีกา เจ้าของรถจักรยานยนต์ของกลางที่แท้จริงย่อมมีสิทธิโอนกรรมสิทธิ์ในรถจักรยานยนต์ของกลางให้แก่ผู้ร้องได้โดยชอบ และไม่มีบทกฎหมายใดบัญญัติห้ามโอนกรรมสิทธิ์กันไว้ ผู้ร้องจึงเป็นเจ้าของรถจักรยานยนต์ของกลางที่แท้จริงและมีสิทธิมายื่นคำร้องขอคืนรถจักรยานยนต์ของกลางหลังจากศาลฎีกามีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้วได้ภายในกำหนด 1 ปี และเมื่อผู้ร้องและ ส. เจ้าของเดิมของรถจักรยานยนต์ของกลางขณะที่จำเลยนำไปใช้ในการกระทำความผิด มิได้มีส่วนรู้เห็นเป็นใจด้วย จึงต้องคืนรถจักรยานยนต์ของกลางให้แก่ผู้ร้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3321/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรู้เห็นเป็นใจในการจัดให้มีการเล่นการพนันสนุกเกอร์ แม้จะติดป้ายห้ามเล่น
การเล่นสนุกเกอร์มีลักษณะเป็นการแข่งขันกันระหว่างผู้เล่น การเก็บเงินจากผู้เล่นจึงมีส่วนทำให้ผู้เล่นพนันเอาทรัพย์สินกันเพื่อนำเอาเงินส่วนหนึ่งมาชำระค่าเล่นเจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยทั้งสามในวันเวลาเดียวกันแสดงว่ามีการเล่นการพนันสนุกเกอร์ถึง 3 โต๊ะเป็นลักษณะเล่นกันโดยเปิดเผย มิใช่ลักษณะลักลอบเล่น จำเลยที่ 1เป็นลูกจ้างผู้ร้อง เป็นผู้ดูแลอยู่ที่สมาคมของผู้ร้อง หากผู้ร้องห้ามเล่นสนุกเกอร์จริงแล้ว จำเลยที่ 1 ไม่น่าจะกล้าจัดให้มี การเล่นโดยเปิดเผยเช่นนี้ การที่ผู้ร้องปิดป้ายห้ามเล่นการพนัน ไว้ที่ทางเข้าสมาคมน่าจะเพียงเพื่อนำไว้ใช้เป็นหลักฐาน ที่จะอ้างว่าผู้ร้องมิได้ร่วมกระทำผิดด้วยเท่านั้น เชื่อได้ว่า ผู้ร้องรู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำผิด
of 48