พบผลลัพธ์ทั้งหมด 473 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1825/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมสิทธิ์รถเช่าซื้อและการไม่รู้เห็นเป็นใจในความผิด ผู้ให้เช่าซื้อไม่ต้องรับผลกระทบ
ผู้ร้องเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รถจักรยานยนต์ของกลางและให้จำเลยเช่าซื้อไปเมื่อวันที่22พฤศจิกายน2537ต่อมาวันที่19มีนาคม2538จำเลยถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมและถูกพนักงานอัยการส่งฟ้องต่อศาลในวันรุ่งขึ้นคือวันที่20มีนาคมและศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ริบรถจักรยานยนต์ของกลางในวันเดียวกันนั้นต่อมาวันที่21มีนาคมจำเลยไปติดต่อกับผู้ร้องเพื่อขอหนังสือมอบอำนาจจากผู้ร้องไปขอรับรถจักรยานยนต์ของกลางคืนผู้ร้องจึงได้ทราบเรื่องและได้มีหนังสือบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อกับจำเลยในวันนั้นตามพฤติการณ์แห่งคดีจึงน่าเชื่อว่าผู้ร้องมิได้รู้เห็นเป็นใจในการกระทำความผิดของจำเลยต้องคืนรถจักรยานยนต์ของกล่าวให้ผู้ร้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7175/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรู้เห็นเป็นใจในการกระทำผิดของผู้เช่าซื้อ และสิทธิในการขอคืนรถยนต์ที่ถูกริบ
จำเลยที่1ผิดนัดชำระค่าเช่าซื้อตั้งแต่งวดที่4ซึ่งจะต้องชำระภายในวันที่9กรกฎาคม2536เป็นต้นมาเพิ่งชำระค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระหนี้ทั้งหมดในวันที่18มกราคม2537ก่อนที่จำเลยที่1จะถูกจับมาดำเนินคดีในความผิดต่อพระราชบัญญัติป่าไม้เพียง1วันรายการชำระค่าเช่าซื้องวดที่4ถึงที่8จึงไม่ถูกต้องเพราะเป็นการลงรายการชำระค่าเช่าซื้อย้อนหลังเพื่อเป็นหลักฐานว่าจำเลยที่1ไม่ได้ผิดนัดชำระค่าเช่าซื้อติดต่อกันหลายงวดอันเป็นการส่อถึงความไม่สุจริตในการยื่นคำร้องขอคืนรถยนต์กระบะของกลางเมื่อพิเคราะห์ประกอบกับข้อตกลงระหว่างผู้ร้องกับจำเลยที่1ว่าหลังจากได้รับรถยนต์กระบะของกลางคืนแล้วผู้ร้องจะให้จำเลยที่1เช่าซื้อต่อไปรวมตลอดถึงข้อความตามหนังสือสัญญาเช่าซื้อข้อ9ว่าในกรณีที่ผู้เช่าซื้อต้องคืนทรัพย์สินที่เช่าซื้อให้แก่ผู้ให้เช่าซื้อแต่ไม่สามารถส่งมอบคืนให้ได้ผู้เช่าซื้อจะต้องชดใช้ราคาทรัพย์สินเท่าราคาค่าเช่าซื้อพร้อมกับค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระและค่าเสียหายต่างๆให้แก่ผู้ให้เช่าซื้อเป็นพฤติการณ์ที่ถือได้ว่าผู้ร้องมีเจตนาเพียงต้องการที่จะได้รับเงินค่าเช่าซื้อตามสัญญาเช่าซื้อเท่านั้นผู้ร้องจึงเพิกเฉยไม่บอกเลิกสัญญาไม่ติดตามยึดรถยนต์ที่ให้เช่าซื้อคืนทั้งๆที่จำเลยที่1ผิดนัดชำระค่าเช่าซื้อติดต่อกันมาหลายงวดจนกระทั่งจำเลยที่1นำรถยนต์กระบะของกลางไปใช้ในการกระทำความผิดและถูกริบในคดีนี้ผู้ร้องจึงมาขอรถยนต์ดังกล่าวคืนอันเป็นการกระทำเพื่อประโยชน์ของจำเลยที่1เข้าลักษณะเป็นผู้ร้องรู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดของจำเลยที่1ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิร้องขอคืนรถยนต์กระบะของกลาง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7175/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาของผู้ร้องขอคืนรถยนต์กระบะของกลาง หากมีเจตนาช่วยเหลือจำเลยที่ 1 ผู้ร้องจะไม่มีสิทธิขอคืน
จำเลยที่ 1 ผิดนัดชำระค่าเช่าซื้อตั้งแต่งวดที่ 4 ซึ่งจะต้องชำระภายในวันที่ 9 กรกฎาคม 2536 เป็นต้นมา เพิ่งชำระค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระทั้งหมดในวันที่ 18 มกราคม 2537 ก่อนที่จำเลยที่ 1 จะถูกจับมาดำเนินคดีในความผิดต่อพ.ร.บ.ป่าไม้เพียง 1 วัน รายการชำระค่าเช่าซื้องวดที่ 4 ถึงที่ 8 จึงไม่ถูกต้องเพราะเป็นการลงรายการชำระค่าเช่าซื้อย้อนหลังเพื่อเป็นหลักฐานว่า จำเลยที่ 1ไม่ได้ผิดนัดชำระค่าเช่าซื้อติดต่อกันหลายงวด อันเป็นการส่อถึงความไม่สุจริตในการยื่นคำร้องขอคืนรถยนต์กระบะของกลาง เมื่อพิเคราะห์ประกอบกับข้อตกลงระหว่างผู้ร้องกับจำเลยที่ 1 ว่า หลังจากได้รับรถยนต์กระบะของกลางคืนแล้ว ผู้ร้องจะให้จำเลยที่ 1 เช่าซื้อต่อไป รวมตลอดถึงข้อความตามหนังสือสัญญาเช่าซื้อข้อ 9 ว่า ในกรณีที่ผู้เช่าซื้อต้องคืนทรัพย์สินที่เช่าซื้อให้แก่ผู้ให้เช่าซื้อ แต่ไม่สามารถส่งมอบคืนให้ได้ ผู้เช่าซื้อจะต้องชดใช้ราคาทรัพย์สินเท่าราคาค่าเช่าซื้อพร้อมกับค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระ และค่าเสียหายต่าง ๆ ให้แก่ผู้ให้เช่าซื้อ เป็นพฤติการณ์ที่ถือได้ว่าผู้ร้องมีเจตนาเพียงต้องการที่จะได้รับเงินค่าเช่าซื้อตามสัญญาเช่าซื้อเท่านั้น ผู้ร้องจึงเพิกเฉยไม่บอกเลิกสัญญาไม่ติดตามยึดรถยนต์ที่ให้เช่าซื้อคืนทั้ง ๆ ที่จำเลยที่ 1 ผิดนัดชำระค่าเช่าซื้อติดต่อกันมาหลายงวด จนกระทั่งจำเลยที่ 1 นำรถยนต์กระบะของกลางไปใช้ในการกระทำความผิดและถูกริบในคดีนี้ผู้ร้องจึงมาขอรถยนต์ดังกล่าวคืนอันเป็นการกระทำเพื่อประโยชน์ของจำเลยที่ 1เข้าลักษณะผู้ร้องรู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดของจำเลยที่ 1 ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิร้องขอคืนรถยนต์กระบะของกลาง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4085/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิการขอคืนรถยนต์เช่าซื้อเมื่อถูกยึดริบ: การใช้สิทธิโดยไม่สุจริตและการประสงค์จะรับค่าเช่าซื้อ
แม้สัญญาเช่าซื้อระบุว่าหากทรัพย์สินที่เช่าซื้อถูกยึดถูกริบไม่ว่าโดยเหตุใดให้ถือว่าสัญญาเลิกกันโดยมิต้องบอกกล่าวก่อนและผู้เช่าซื้อยอมชำระเงินค่าเช่าซื้อที่ค้างจนครบแต่ผู้ร้องไม่ได้ใช้สิทธิตามสัญญาดังกล่าวกลับยอมรับชำระค่าเช่าซื้ออีก2งวดหลังจากรถยนต์ของกลางถูกยึดแล้วและยอมผ่อนผันการผิดนัดชำระค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระอีก7งวดซึ่งเป็นเงินส่วนน้อยเมื่อเทียบกับราคาเช่าซื้อทั้งหมดแสดงว่าผู้ร้องไม่ประสงค์จะเลิกสัญญากับผู้เช่าซื้อและผู้ร้องต้องการจะได้ค่าเช่าซื้อตามสัญญาเท่านั้นการที่ผู้ร้องขอคืนรถยนต์ของกลางจึงเป็นไปเพื่อประโยชน์ของผู้เช่าซื้อแต่ฝ่ายเดียวเป็นการใช้สิทธิทางศาลโดยไม่สุจริตผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิขอคืนรถยนต์ของกลาง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1216/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การริบรถยนต์ของกลาง: จำเลยที่ 1 ไม่สามารถขอคืนได้เนื่องจากไม่ใช่บุคคลภายนอกและไม่ได้อุทธรณ์
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 2 และสั่งริบรถยนต์ของกลาง จำเลยที่ 1 มิได้อุทธรณ์คำพิพากษาที่ให้ริบรถยนต์ของกลางและคดีถึงที่สุดแล้ว อีกทั้งจำเลยที่ 1 มิใช่บุคคลภายนอก จึงไม่มีสิทธิร้องขอให้ศาลสั่งคืนตาม ป.อ. มาตรา 36
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1216/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การริบทรัพย์สินในคดีอาญา: สิทธิการขอคืนเมื่อไม่ได้อุทธรณ์คำพิพากษา
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยที่2และสั่งริบรถยนต์ของกลางจำเลยที่1มิได้อุทธรณ์คำพิพากษาที่ให้ริบรถยนต์ของกลางและคดีถึงที่สุดแล้วอีกทั้งจำเลยที่1มิใช่บุคคลภายนอกจึงไม่มีสิทธิร้องขอให้ศาลสั่งคืนตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา36
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1194/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อหลังเกิดคดีอาญา ส่อเจตนาช่วยเหลือจำเลย
จำเลยผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้องวดสุดท้ายให้ครบถ้วนตั้งแต่วันที่1 เมษายน 2536 จำเลยใช้รถจักรยานยนต์ของกลางเป็นยานพาหนะในการกระทำความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์คดีนี้เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2536 แต่ผู้ร้องเพิ่งมีหนังสือบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อกับจำเลยเมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2536 ซึ่งเป็นเวลาภายหลังที่จำเลยผิดนัดชำระค่าเช่าซื้อในงวดสุดท้ายแล้ว 4 เดือนเศษ ทั้งเป็นการบอกเลิกสัญญาภายหลังเกิดเหตุคดีนี้เป็นเวลา 2 เดือนเศษ ตามพฤติการณ์ส่อว่าหากจำเลยไม่ถูกดำเนินคดีจนถูกศาลสั่งริบรถจักรยานยนต์ของกลาง ผู้ร้องคงไม่บอกเลิกสัญญาเช่าซื้อกับจำเลย การที่ผู้ร้องขอคืนรถจักรยานยนต์ของกลางมีเหตุน่าเชื่อว่ากระทำไปเพื่อประโยชน์ของจำเลย ถือได้ว่าผู้ร้องรู้เห็นเป็นใจในการกระทำความผิดด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1194/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจ้าของรถเช่าซื้อรู้เห็นเป็นใจจำเลยวิ่งราวทรัพย์ ศาลริบรถได้
จำเลยผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้องวดสุดท้ายให้ครบถ้วนตั้งแต่วันที่1เมษายน2536จำเลยใช้รถจักรยานยนต์ของกลางเป็นยานพาหนะในการกระทำความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์คดีนี้เมื่อวันที่6มิถุนายน2536แต่ผู้ร้องเพิ่งมีหนังสือบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อกับจำเลยเมื่อวันที่16สิงหาคม2536ซึ่งเป็นเวลาภายหลังที่จำเลยผิดนัดชำระค่าเช่าซื้อในงวดสุดท้ายแล้ว4เดือนเศษทั้งเป็นการบอกเลิกสัญญาภายหลังเกิดเหตุคดีนี้เป็นเวลา2เดือนเศษตามพฤติการณ์ส่อว่าหากจำเลยไม่ถูกดำเนินคดีถูกศาลสั่งริบรถจักรยานยนต์ของกลางผู้ร้องคงไม่บอกเลิกสัญญาเช่าซื้อกับจำเลยการที่ผู้ร้องขอคืนรถจักรยานยนต์ของกลางมีเหตุน่าเชื่อว่ากระทำเพื่อประโยชน์ของจำเลยถือได้ว่าผู้รองรู้เห็นเป็นใจในการกระทำความผิดด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 600/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การริบรถบรรทุกที่ใช้กระทำผิด เนื่องจากบรรทุกเกินน้ำหนักและก่อให้เกิดความเสียหายต่อทางหลวง
รถยนต์บรรทุกของกลางเป็นทรัพย์สินที่จำเลยได้ใช้ในการกระทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา33(1)ตามพฤติการณ์แห่งคดีจำเลยใช้รถยนต์บรรทุกของกลางบรรทุกเกินน้ำหนักที่กฎหมายกำหนดถึง8,540กิโลกรัมเป็นการใช้ทรัพย์ของกลางกระทำผิดเพื่อประโยชน์ส่วนตัวโดยไม่คำนึงถึงความเสียหายที่จะเกิดขึ้นแก่ทางหลวงและต่อส่วนรวมจึงสมควรให้ริบรถยนต์บรรทุกของกลาง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 600/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การริบรถบรรทุกที่ใช้กระทำผิด โดยบรรทุกเกินน้ำหนักเพื่อประโยชน์ส่วนตัว
รถยนต์บรรทุกของกลางเป็นทรัพย์สินที่จำเลยได้ใช้ในการกระทำผิดตาม ป.อ. มาตรา 33 (1) ตามพฤติการณ์แห่งคดีจำเลยใช้รถยนต์บรรทุกของกลางบรรทุกเกินน้ำหนักที่กฎหมายกำหนดถึง 8,540 กิโลกรัม เป็นการใช้ทรัพย์ของกลางกระทำผิดเพื่อประโยชน์ส่วนตัวโดยไม่คำนึงถึงความเสียหายที่จะเกิดขึ้นแก่ทางหลวงและต่อส่วนรวม จึงสมควรให้ริบรถยนต์บรรทุกของกลาง