พบผลลัพธ์ทั้งหมด 473 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4996/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมสิทธิ์รถเช่าซื้อ - ผู้ให้เช่าซื้อไม่มีส่วนรู้เห็นในการกระทำผิดของผู้เช่าซื้อ
ตามสัญญาเช่าซื้อกำหนดค่าเช่าซื้องวดแรกวันที่ 1 ตุลาคม 2531แต่จำเลยนำรถยนต์ไปกระทำความผิดและถูกพนักงานสอบสวนยึดไว้ก่อนจะถึงกำหนดชำระค่าเช่าซื้องวดแรก แม้ผู้ร้องมีหนังสือบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อและให้ผู้เช่าซื้อจัดการส่งมอบทรัพย์สินที่เช่าซื้อคืนหรือให้ชดใช้ราคาทรัพย์สินที่ค้างชำระพร้อมดอกเบี้ยหลังจากครบกำหนดชำระค่าเช่าซื้องวดแรกแล้ว 3 เดือนเศษก็ตาม แต่ยังไม่มีพฤติการณ์ใดส่อว่าผู้ร้องปล่อยเวลาให้ล่วงเลยไปเพื่อช่วยเหลือผู้เช่าซื้อแต่อย่างใด เพราะผู้เช่าซื้ออยู่ที่จังหวัดแม่ฮ่องสอนส่วนผู้ร้องอยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่ ผู้ร้องย่อมไม่อาจทราบว่าจำเลยนำรถยนต์ของกลางไปใช้ในการกระทำความผิดฟังได้ว่าผู้ร้องมิได้รู้เห็นเป็นใจในการกระทำความผิด.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4990/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การซื้อขายรถยนต์แบบผ่อนชำระ: กรรมสิทธิ์โอนทันทีเมื่อตกลงซื้อขาย
เมื่อข้อเท็จจริงตามคำร้องของผู้ร้อง และตามคำคัดค้านของโจทก์พอวินิจฉัยได้ ศาลมีอำนาจงดการไต่สวนและมีคำสั่งได้โดยไม่ต้องทำการไต่สวน เมื่อตามข้อเท็จจริงที่ได้ความเห็นได้ชัดว่าผู้ร้องและจำเลยตกลงซื้อขายกันโดยวิธีผ่อนชำระ และได้มอบรถยนต์ของกลางให้จำเลยครอบครอง จึงเป็นการซื้อขายกันเด็ดขาดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 458 กรรมสิทธิ์รถยนต์ของกลางตกไปเป็นของจำเลยแล้ว นับแต่วันที่ผู้ร้องและจำเลยตกลงซื้อขายรถยนต์ของกลางกัน ผู้ร้องจึงไม่ใช่เจ้าของรถยนต์ของกลาง.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4791/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การใช้สิทธิทางศาลโดยไม่สุจริตของผู้ให้เช่าซื้อ กรณีสัญญาเช่าซื้อระบุความรับผิดของผู้เช่าซื้อต่อความเสียหายหรือสูญหายของทรัพย์สิน
ช. ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์บรรทุกของกลางกับผู้ร้อง เมื่อช.ผิดสัญญาผู้ร้องก็ให้ช. ทำสัญญาเช่าซื้อใหม่ หลังจากนั้นชง ก็ผิดสัญญาอีก และสัญญาก็ระบุไว้ทำนองว่า ไม่ว่ารถยนต์บรรทุกของกลางจะเกิดความเสียหายหรือสูญหายไปด้วยประการใด ผู้เช่าซื้อก็ต้องชำระหนี้เท่ากับค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระ แสดงว่าผู้ร้องประสงค์จะได้ค่าเช่าซื้อเท่านั้น ผู้ร้องไม่ประสงค์จะยึดรถยนต์บรรทุกของกลางคืนเมื่อ ช. ผิดสัญญาพฤติการณ์เช่นนี้เห็นได้ว่าผู้ร้องร้องขอคืนของกลางเพื่อประโยชน์ของ ช. แต่ฝ่ายเดียวจึงเป็นการใช้สิทธิทางศาลโดยไม่สุจริต แม้ขณะเกิดเหตุผู้ร้องยังคงเป็นเจ้าของรถยนต์บรรทุกของกลาง แต่ผู้ร้องก็ไม่มีพยานมาสืบว่า ผู้ร้องและ ช. มิได้รู้เห็นเป็นใจในการที่จำเลยใช้รถยนต์บรรทุกของกลางกระทำผิด ซึ่งผู้ร้องมีหน้าที่ต้องพิสูจน์ให้ได้ความดังกล่าวผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิขอคืนรถยนต์บรรทุกของกลาง.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4791/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การใช้สิทธิทางศาลโดยไม่สุจริตของผู้ให้เช่าซื้อเมื่อผู้เช่าซื้อผิดสัญญา และประเด็นการรู้เห็นเป็นใจในการกระทำผิด
ข. ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์บรรทุกของกลางกับผู้ร้อง เมื่อข. ผิดสัญญา ผู้ร้องก็ให้ ข. ทำสัญญาเช่าซื้อใหม่ หลังจากนั้นชง ก็ผิดสัญญาอีก และสัญญาก็ระบุไว้ทำนองว่า ไม่ว่ารถยนต์บรรทุกของกลางจะเกิดความเสียหายหรือสูญหายไปด้วยประการใด ผู้เช่าซื้อก็ต้องชำระหนี้เท่ากับค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระ แสดงว่าผู้ร้องประสงค์จะได้ค่าเช่าซื้อเท่านั้น ผู้ร้องไม่ประสงค์จะยึดรถยนต์บรรทุกของกลางคืนเมื่อ ข. ผิดสัญญาพฤติการณ์เช่นนี้เห็นได้ว่าผู้ร้องร้องขอคืนของกลางเพื่อประโยชน์ของ ข. แต่ฝ่ายเดียวจึงเป็นการใช้สิทธิทางศาลโดยไม่สุจริต แม้ขณะเกิดเหตุผู้ร้องยังคงเป็นเจ้าของรถยนต์บรรทุกของกลาง แต่ผู้ร้องก็ไม่มีพยานมาสืบว่า ผู้ร้องและ ข. มิได้รู้เห็นเป็นใจในการที่จำเลยใช้รถยนต์บรรทุกของกลางกระทำผิด ซึ่งผู้ร้องมีหน้าที่ต้องพิสูจน์ให้ได้ความดังกล่าวผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิขอคืนรถยนต์บรรทุกของกลาง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3819/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การใช้สิทธิซื้อขายโดยไม่สุจริตของผู้ขายที่ปล่อยให้ผู้ซื้อค้างชำระนานปี และรู้เห็นเป็นใจกับการกระทำผิดของผู้ซื้อ
แม้กรรมสิทธิ์ในรถยนต์ของกลางยังเป็นของผู้ร้องตามข้อสัญญา เพราะผู้ซื้อยังค้างชำระราคาอยู่ แต่ผู้ร้องปล่อยให้ผู้ซื้อค้างชำระราคาอยู่จนถึงวันเกิดเหตุเป็นเวลา 4 ปีเศษแล้ว มิได้บังคับตามสัญญาซื้อขายแก่ผู้ซื้อโดยการบอกเลิกสัญญาและเรียกเอาทรัพย์ที่ขายคืนอย่างใดคงปล่อยเนิ่นนานมาจนกระทั่งจำเลยซึ่งเป็นลูกจ้างของผู้ซื้อนำรถยนต์ของกลางไปกระทำความผิดแล้วผู้ร้องก็มอบอำนาจให้ผู้ซื้อนั้นเองมายื่นคำร้องขอคืนรถยนต์ของกลาง ทั้งตามสัญญาซื้อขายผู้ซื้อต้องรับผิดใช้ราคาที่ซื้อจนครบแม้รถยนต์ของกลางจะถูกริบ ดังนี้ การร้องขอคืนรถยนต์ของกลางของผู้ร้อง เป็นการทำเพื่อประโยชน์ของผู้ซื้อ เพื่อให้ผู้ซื้อได้รับรถยนต์ของกลางคืนไปในภายหลังหาใช่เพื่อประโยชน์ของผู้ร้องเองไม่ จากพฤติการณ์แห่งคดีที่จำเลยซึ่งเป็นลูกจ้างของผู้ซื้อใช้รถยนต์ของกลางบรรทุกทรายเกินน้ำหนักในทางการค้าของผู้ซื้อ น่าเชื่อว่ากระทำไปตามคำสั่งของผู้ซื้อ ผู้ซื้อจึงเป็นผู้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิด เมื่อผู้ร้องขอคืนรถยนต์ของกลางเพื่อประโยชน์ของผู้ซื้อ จึงถือได้ว่าเป็นการรู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดคดีนี้ เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต ผู้ร้องไม่มีสิทธิขอคืนรถยนต์ของกลาง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2611/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิการขอคืนรถยนต์ของกลางของผู้ให้เช่าซื้อ เมื่อผู้เช่าซื้อช่วงกระทำผิด ไม่ถือเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต
การที่ผู้ร้องมิได้บอกเลิกสัญญาเช่าซื้อหรือร้องขอคืนของกลางตั้งแต่ชั้น สอบสวนเพราะพนักงานสอบสวนใช้ เวลาสอบสวนเพียงประมาณ1 เดือน มิใช่เวลายาวนานจนถึง กับจะฟังเป็นข้อพิรุธของผู้ร้องส่วนการยื่นคำร้องขอคืนรถยนต์ ของกลางภายหลังศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ริบนั้นก็หาใช่เรื่องผิดปกติไม่เพราะศาลชั้นต้นมิได้สั่งริบรถยนต์ ของกลาง ผู้ร้องเป็นเจ้าของรถยนต์บรรทุกของกลางที่มีผู้เช่าซื้อไปผู้เช่าซื้อนำรถยนต์ คันดังกล่าวให้เช่าซื้อช่วงไปอีกต่อหนึ่ง แม้ตามสัญญาเช่าซื้อที่ผู้ร้องอ้าง ผู้เช่าซื้อมีหน้าที่ต้อง ชำระค่าเช่าซื้ออยู่ตลอด ไปจนกว่าจะครบไม่ว่ารถยนต์ ของกลางจะถูก ศาลสั่งริบหรือไม่ก็ตาม แต่ ปรากฏตาม สัญญาเช่าซื้อช่วงว่าผู้เช่าซื้อช่วงยังต้อง ชำระค่าเช่าซื้อต่อไปอีกหลายงวด การที่ผู้ร้องซึ่ง เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ ยื่นคำร้องขอคืนรถยนต์ ของกลางในคดีนี้จึงเป็นการกระทำเพื่อประโยชน์ของผู้ร้องโดยตรง เมื่อไม่ปรากฏว่าผู้ร้องกับผู้เช่าซื้อมีกิจการเกี่ยวข้องกันหรือมีความสัมพันธ์กันเป็นพิเศษ พฤติการณ์ยังถือ ไม่ได้ว่าผู้ร้องได้ รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดของจำเลยและไม่เป็นการใช้ สิทธิโดย ไม่สุจริต.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2611/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิการขอคืนรถยนต์ของกลางของผู้ให้เช่าซื้อเมื่อผู้เช่าซื้อช่วงกระทำผิด ไม่ถือเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต
การที่ผู้ร้องมิได้บอกเลิกสัญญาเช่าซื้อหรือร้องขอคืนของกลางตั้งแต่ชั้นสอบสวนเพราะพนักงานสอบสวนใช้เวลาสอบสวนเพียงประมาณ1 เดือน มิใช่เวลายาวนานจนถึงกับจะฟังเป็นข้อพิรุธของผู้ร้อง ส่วนการยื่นคำร้องขอคืนรถยนต์ของกลางภายหลังศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ริบนั้นก็หาใช่เรื่องผิดปกติไม่เพราะศาลชั้นต้นมิได้สั่งริบรถยนต์ของกลาง
ผู้ร้องเป็นเจ้าของรถยนต์บรรทุกของกลางที่มีผู้เช่าซื้อไป ผู้เช่าซื้อนำรถยนต์คันดังกล่าวให้เช่าซื้อช่วงไปอีกต่อหนึ่ง แม้ตามสัญญาเช่าซื้อที่ผู้ร้องอ้าง ผู้เช่าซื้อมีหน้าที่ต้องชำระค่าเช่าซื้ออยู่ตลอดไปจนกว่าจะครบไม่ว่ารถยนต์ของกลางจะถูกศาลสั่งริบหรือไม่ก็ตาม แต่ปรากฏตามสัญญาเช่าซื้อช่วงว่า ผู้เช่าซื้อช่วงยังต้องชำระค่าเช่าซื้อต่อไปอีกหลายงวด การที่ผู้ร้องซึ่งเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ ยื่นคำร้องขอคืนรถยนต์ของกลางในคดีนี้จึงเป็นการกระทำเพื่อประโยชน์ของผู้ร้องโดยตรง เมื่อไม่ปรากฏว่าผู้ร้องกับผู้เช่าซื้อมีกิจการเกี่ยวข้องกันหรือมีความสัมพันธ์กันเป็นพิเศษ พฤติการณ์ยังถือไม่ได้ว่าผู้ร้องได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดของจำเลยและไม่เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต
ผู้ร้องเป็นเจ้าของรถยนต์บรรทุกของกลางที่มีผู้เช่าซื้อไป ผู้เช่าซื้อนำรถยนต์คันดังกล่าวให้เช่าซื้อช่วงไปอีกต่อหนึ่ง แม้ตามสัญญาเช่าซื้อที่ผู้ร้องอ้าง ผู้เช่าซื้อมีหน้าที่ต้องชำระค่าเช่าซื้ออยู่ตลอดไปจนกว่าจะครบไม่ว่ารถยนต์ของกลางจะถูกศาลสั่งริบหรือไม่ก็ตาม แต่ปรากฏตามสัญญาเช่าซื้อช่วงว่า ผู้เช่าซื้อช่วงยังต้องชำระค่าเช่าซื้อต่อไปอีกหลายงวด การที่ผู้ร้องซึ่งเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ ยื่นคำร้องขอคืนรถยนต์ของกลางในคดีนี้จึงเป็นการกระทำเพื่อประโยชน์ของผู้ร้องโดยตรง เมื่อไม่ปรากฏว่าผู้ร้องกับผู้เช่าซื้อมีกิจการเกี่ยวข้องกันหรือมีความสัมพันธ์กันเป็นพิเศษ พฤติการณ์ยังถือไม่ได้ว่าผู้ร้องได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดของจำเลยและไม่เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2420/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การโอนกรรมสิทธิ์หลังคำพิพากษาถึงที่สุด: ผู้รับโอนไม่มีสิทธิขอคืนของกลาง
คดีเดิม ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาให้ริบรถยนต์บรรทุกของกลางศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ดังกล่าวให้คู่ความฟังโดยชอบเมื่อวันที่ 24 เมษายน 2530 และคดีถึงที่สุดแล้ว แต่ปรากฏตามคำร้องของผู้ร้องทั้งสองและหนังสือแสดงการจดทะเบียนรถยนต์บรรทุกของกลางท้ายคำร้องว่า ผู้ร้องที่ 2 รับโอนรถยนต์บรรทุกของกลางจากผู้ร้องที่ 1 เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2531 อันเป็นเวลาภายหลังจากที่ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว ฉะนั้นผู้ร้องที่ 2 จึงไม่อยู่ในฐานะเป็นเจ้าของที่จะยื่นคำร้องขอคืนรถยนต์ของกลางได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2389/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาของผู้ให้เช่าซื้อที่เพิกเฉยต่อการผิดนัดชำระค่าเช่าซื้อและรู้เห็นการกระทำผิดของผู้เช่าซื้อ ทำให้ไม่อาจขอคืนรถของกลางได้
ผู้ร้องให้จำเลยเช่าซื้อรถพ่วงบรรทุก จำเลยชำระค่าเช่าซื้อเพียง 5 งวดแล้วผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้ออีก แม้ตามสัญญาเช่าซื้อระบุว่า "ถ้าผู้เช่าซื้อผิดนัดไม่ชำระงวดหนึ่งงวดใด หรือผิดสัญญาข้อหนึ่งข้อใด... ให้ถือว่าเป็นการผิดนัดผิดสัญญา และยอมให้สัญญาเช่าซื้อนี้เป็นอันมีผลบังคับได้ทันที โดยมิต้องมีการบอกกล่าวล่วงหน้าก่อน" แต่เมื่อผู้เช่าซื้อผิดนัดชำระค่าเช่าซื้องวดที่ 6 ผู้ร้องยังยอมรับเช็คซึ่งชำระค่าเช่าซื้อในงวดต่อมาโดยนำเช็คไปเบิกเงิน ผู้ร้องก็มิได้เลิกสัญญา หรือยึดรถพ่วงบรรทุกคืนแสดงว่า ผู้ร้องมิได้ถือเอากำหนดเวลาที่ผู้เช่าซื้อผิดนัดตามสัญญาเช่าซื้อเป็นสาระสำคัญของสัญญาและไม่ประสงค์จะเลิกสัญญาโดยอาศัยข้อสัญญาดังกล่าว นอกจากนี้ สัญญาเช่าซื้อข้อ 9 ยังระบุว่า"ในระหว่างที่ผู้เช่าซื้อชำระค่าเช่าซื้อยังไม่หมดและมีเหตุวิบัติทำให้ทรัพย์สินที่เช่าซื้อเป็นอันตรายหรือสูญหายโดยเหตุประการใด ๆแม้จะเป็นเหตุสุดวิสัยก็ตาม ผู้เช่าซื้อก็ตกลงยินยอมชำระค่าเช่าซื้อที่ยังค้างอยู่ทั้งหมดให้แก่ผู้ให้เช่าซื้อจนครบถ้วนโดยพลัน"ดังนั้นเมื่อผู้ร้องไม่บอกเลิกสัญญาและไม่ติดตามรถพ่วงที่เช่าซื้อคืน จึงเป็นพฤติการณ์ที่ถือได้ว่า ผู้ร้องมีเจตนาเพียงต้องการได้รับค่าเช่าซื้อเท่านั้น เมื่อจำเลยนำรถไปใช้กระทำผิดและถูกริบและมีผู้แจ้งให้ผู้ร้องทราบ ผู้ร้องจึงมาขอรถของกลางคืน เป็นการขอคืนแทนผู้กระทำผิด ถือว่าผู้ร้องรู้เห็นเป็นใจในการกระทำความผิดไม่อาจขอคืนรถพ่วงของกลางได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2362/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรู้เห็นเป็นใจในการกระทำผิด – การใช้รถยนต์ของผู้อื่นในการกระทำความผิด
จำเลยซึ่งเป็นบุตรของผู้ร้องนำรถยนต์ของกลางไปใช้ในการบรรทุกไม้แปรรูปผิดกฎหมาย โดยผู้ร้องกับจำเลยพักอาศัยอยู่บ้านเดียวกัน นอกจากนี้จำเลยเคยนำรถยนต์ของกลางไปใช้เป็นประจำดังนั้นที่ผู้ร้องกล่าวอ้างและนำสืบว่าจำเลยหลอกเอารถยนต์ของกลางไปจากนาย พ. ลูกจ้างของผู้ร้องในวันเกิดเหตุว่าผู้ร้องให้มาเอารถยนต์ของกลางไปธุระจึงไม่น่าเชื่อถือ ข้อเท็จจริงฟังว่าผู้ร้องรู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดของจำเลย.