คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.อ. ม. 36

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 473 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2240/2533 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาฆ่าจากการทำร้ายด้วยอาวุธอันตราย ศาลฎีกาตัดสินว่าการกระทำนั้นเล็งเห็นผลถึงความตายได้
จำเลยใช้ไม้หน้ากว้าง 4 นิ้ว หนา 2 นิ้ว ยาว 2 ฟุต 8 นิ้วซึ่งเป็นไม้ขนาดใหญ่ ลักษณะเป็นไม้เนื้อแข็งใช้สำหรับทำวงกบประตูหรือหน้าต่าง ตีที่ศีรษะผู้ตายในขณะที่ผู้ตายนั่งอยู่ไม่ได้ระวังตัว เป็นการเลือกตีตามใจชอบและเลือกตีที่สำคัญแม้จะตีเพียงทีเดียว และกะโหลกศีรษะผู้ตายไม่แตกร้าว แต่เมื่อถูกตีแล้วผู้ตายก็ฟุบลงกับโต๊ะทันทีและมีเลือดคั่งในสมองส่วนลึก แสดงว่าจำเลยตีผู้ตายอย่างแรง และปรากฏว่าผู้ตายถึงแก่ความตายในเวลาต่อมาพฤติการณ์เช่นนี้จำเลยย่อมเล็งเห็นผลได้ว่าอาจทำให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย จำเลยจึงมีเจตนาฆ่าผู้ตาย
ไม้ของกลางโจทก์ไม่ได้โต้แย้งว่าเจ้าของแท้จริงรู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำผิด จึงไม่มีเหตุที่ศาลฎีกาจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ในส่วนที่พิพากษาว่าไม่ริบไม้ของกลาง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2240/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาฆ่าจากการทำร้ายด้วยอาวุธอันตราย ศาลฎีกาวินิจฉัยเจตนาจากพฤติการณ์การกระทำ
จำเลยใช้ไม้หน้ากว้าง 4 นิ้ว หนา 2 นิ้ว ยาว 2 ฟุต 8 นิ้วซึ่งเป็นไม้ขนาดใหญ่ ลักษณะเป็นไม้เนื้อแข็งใช้สำหรับทำวงกบประตูหรือหน้าต่าง ตีที่ศีรษะผู้ตายในขณะที่ผู้ตายนั่งอยู่ไม่ได้ระวังตัว เป็นการเลือกตีตามใจชอบและเลือกตีที่สำคัญแม้จะตีเพียงทีเดียว และกะโหลกศีรษะผู้ตายไม่แตกร้าว แต่เมื่อถูกตีแล้วผู้ตายก็ฟุบลงกับโต๊ะทันทีและมีเลือดคั่งในสมองส่วนลึก แสดงว่าจำเลยตีผู้ตายอย่างแรง และปรากฏว่าผู้ตายถึงแก่ความตายในเวลาต่อมาพฤติการณ์เช่นนี้จำเลยย่อมเล็งเห็นผลได้ว่าอาจทำให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย จำเลยจึงมีเจตนาฆ่าผู้ตาย ไม้ของกลางโจทก์ไม่ได้โต้แย้งว่าเจ้าของแท้จริงรู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำผิด จึงไม่มีเหตุที่ศาลฎีกาจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ในส่วนที่พิพากษาว่าไม่ริบไม้ของกลาง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1865/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาเช่าซื้อผิดนัดชำระ ผู้ให้เช่าซื้อเพิกเฉยถือว่ารู้เห็นเป็นใจในการกระทำผิด จึงไม่มีสิทธิขอคืนรถ
สัญญาเช่าซื้อกำหนดว่าหากผู้เช่าซื้อผิดนัดค้างชำระค่าเช่าซื้อสองงวดติด กันหรือผิดนัดค้างชำระค่าเช่าซื้อตั้งแต่ สองงวดขึ้นไปให้สัญญาเช่าซื้อเป็นอันยกเลิกเพิกถอนทันที การที่ผู้เช่าซื้อผิดนัดค้างชำระค่าเช่าซื้อสองงวดติด กันหลายครั้ง แต่ ผู้ให้เช่าซื้อยังยอมรับค่าเช่าซื้ออีกโดย มิได้เลิกสัญญาและยึดรถยนต์ ที่ให้เช่าซื้อคืนแสดงว่าผู้ให้เช่าซื้อมิได้ถือ เอากำหนดเวลาตาม สัญญาเช่าซื้อเป็นสาระสำคัญของสัญญา เพียงต้องได้ รับค่าเช่าซื้อให้ครบตาม สัญญา การที่ผู้เช่าซื้อผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อสองงวดติด กันหลายครั้ง ผู้ให้เช่าซื้อไม่บอกเลิกสัญญาเอารถยนต์ ที่เช่าซื้อ คืนมาจนกระทั่งจำเลยทั้งสองนำรถยนต์ ของกลางไปใช้ กระทำความผิดและถูก ริบ แล้วผู้ให้เช่าซื้อจึงได้ มาร้องขอรถยนต์ ของกลางคืน ดังนี้เป็นการกระทำเพื่อประโยชน์ของจำเลยผู้กระทำความผิดพฤติการณ์ดังกล่าวถือ ได้ ว่า ผู้ให้เช่าซื้อรู้เห็นเป็นใจด้วย ในการกระทำความผิด จึงไม่อาจขอคืนรถยนต์ ของกลางได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1855/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กรรมสิทธิ์รถยนต์: ทะเบียนรถไม่ใช่หลักฐานเด็ดขาด ต้องพิสูจน์ความเป็นเจ้าของที่แท้จริง
ทะเบียนรถยนต์เป็นเพียงบันทึกแสดงการจดทะเบียนของเจ้าหน้าที่เกี่ยวกับรายละเอียดของรถเท่านั้น หาใช่หลักฐานแสดงว่าผู้มีชื่อในทะเบียนเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในรถนั้นไม่ เมื่อผู้ร้องขอคืนของกลางนำสืบฟังไม่ได้ว่าเป็นเจ้าของรถยนต์บรรทุกของกลางที่แท้จริง ประเด็นข้ออื่นจึงไม่จำต้องวินิจฉัย ศาลต้อง ยก คำร้องของผู้ร้อง.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1854/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจ้าของทรัพย์ที่ยินยอมให้ผู้อื่นใช้ประกอบธุรกิจผิดกฎหมาย ไม่อาจเรียกคืนทรัพย์สินได้
แม้ข้อเท็จจริงได้ความว่า ผู้ร้องให้จำเลยเช่า โรงงานและเช่าซื้อ อุปกรณ์แบ่งบรรจุก๊าซของกลางก็ตาม แต่ ก็ปรากฏข้อเท็จจริงว่าผู้ร้องได้ ขอ อนุญาตต่อ ใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงานแบ่งบรรจุก๊าซไว้ และในระหว่างให้จำเลยเช่า โรงงานนั้น ผู้ร้องก็หาได้ แจ้งเลิกกิจการไม่ ทั้งขณะเมื่อเจ้าพนักงานเข้าจับกุมจำเลยซึ่ง ร่วมถ่ายเทก๊าซก็ได้ แสดงตัว เป็นผู้ควบคุมดูแล และได้แสดงใบอนุญาตบรรจุก๊าซของผู้ร้อง ดังนี้ข้อเท็จจริงน่าเชื่อว่าผู้ร้องรู้เห็นยินยอมให้จำเลยประกอบกิจการแบ่งบรรจุก๊าซในนามผู้ร้องผู้ร้องจึงรู้เห็นเป็นใจด้วย ในการกระทำผิดของจำเลย ผู้ร้องไม่มีสิทธิร้องขอคืนอุปกรณ์แบ่งบรรจุก๊าซของกลาง.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 987/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดของนิติบุคคลต่อการกระทำผิดฐานพนัน: การรู้เห็นเป็นใจของผู้แทน
ผู้ร้องเป็นนิติบุคคลยื่นคำร้องขอให้คืนของกลางแก่ผู้ร้องในการที่จะพิจารณาว่าผู้ร้องรู้เห็นเป็นใจในการกระทำผิดหรือไม่นั้น ต้อง พิจารณาจากผู้จัดการหรือผู้แทนอื่น ๆ ของผู้ร้อง คดีนี้การจัดให้มีโต๊ะสนุกเกอร์ อยู่ในวัตถุประสงค์ของผู้ร้อง ผู้ที่ดูแล โต๊ะสนุกเกอร์ จึงต้อง ถือ ว่าเป็นผู้แทนอื่น ๆ ของผู้ร้อง.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 385/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรู้เห็นเป็นใจในการกระทำผิดฐานการพนันของผู้เช่าซื้อ แม้จะไม่ได้เป็นผู้กระทำผิดโดยตรง
ผู้ร้องที่ 1 ซื้อเครื่องรับโทรทัศน์สีและเครื่องเล่นวีดีโอเกมพร้อมอุปกรณ์มาให้ผู้ร้องที่ 2 เช่าซื้อจำนวน 5 เครื่อง โดยรู้อยู่แล้วว่าผู้ร้องที่ 2 จะนำไปให้ผู้อื่นเช่าเล่น ดังนั้นการที่ผู้ร้องที่ 2 ให้จำเลยเช่าเครื่องเล่นวีดีโอเกมไปจากผู้ร้องที่ 2 ถึง 5เครื่อง นำมาตั้งให้เด็กเช่าเล่นเช่นนี้ ย่อมแสดงว่าผู้ร้องที่ 1รู้เห็นเป็นใจในการกระทำผิดของจำเลยด้วย.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4634/2532

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจ้าของเรือต้องรับผิดชอบหากรู้เห็นเป็นใจให้ลูกเรือใช้เรือกระทำผิดกฎหมายประมง
ขณะจับกุมเรือยนต์ของกลางมีแผ่นไม้ขนาดกว้างยาว 1 เมตรสำหรับใช้วางตะแกรงคราดหอยต่อออกจากท้ายเรือ ซึ่งเรือจับปลาหมึกไม่ต้องมีไม้แผ่นนี้ และตอนเข้าจับกุมคนในเรือดังกล่าวรู้ตัวก่อนได้ตัดเครื่องมือคราดหอยทิ้งเครื่องมือคราดหอยมีลักษณะต่างจากเครื่องมือจับปลาหมึก ซึ่งหากผู้ร้องไม่ประสงค์ให้ ว. นำเรือไปกระทำความผิดโดยคราดหอยในเขตหวงห้ามจริง ผู้ร้องน่าจะไปตรวจในเรือ และเมื่อพบเครื่องมือคราดหอยก็สามารถนำออกไปจากเรือเสียได้การที่ผู้ร้องไม่กระทำดังกล่าว แต่อ้างว่าได้ห้าม ว. มิให้กระทำผิดกฎหมายเช่นนี้จึงเป็นการกล่าวอ้างอย่างเลื่อนลอยคดีฟังได้ว่าผู้ร้องรู้เห็นเป็นใจในการกระทำความผิดจึงร้องขอคืนของกลางมิได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4117/2532

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ผู้ให้เช่าซื้อรับชำระค่างวดต่อหลังจำเลยใช้รถผิดกฎหมาย ย่อมเป็นการรู้เห็นเป็นใจและไม่มีสิทธิเรียกร้องคืน
จำเลยนำรถยนต์ที่เช่าซื้อมาจากผู้ร้องไปใช้กระทำความผิดโดยผู้ร้องรู้และมิได้บอกเลิกสัญญาแต่กลับรับชำระค่าเช่าซื้อต่อไปอีก พฤติการณ์ของ ผู้ร้องจึงเป็นเพียงประสงค์จะได้รับค่าเช่าซื้อเท่านั้น และการที่ผู้ร้องมายื่นคำร้องขอคืนรถยนต์ของกลาง ก็เป็นการกระทำเพื่อประโยชน์แก่จำเลยที่จะได้รับรถยนต์ของกลางไปจากผู้ร้องในภายหลังอันถือได้ว่าเป็นการร่วมรู้เห็นเป็นใจในการกระทำความผิดของจำเลย ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิร้องขอคืนของกลาง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4031/2532

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขอคืนของกลาง: เจ้าของต้องพิสูจน์ว่าไม่มีส่วนรู้เห็นในการกระทำผิด แม้ศาลยกฟ้องคดีอาญา
ข้อวินิจฉัยในคดีขอคืนของกลางกับคดีเดิม มีปัญหาวินิจฉัยต่างกัน ไม่อาจนำมาสรุปเป็นเหตุและผลแก่กันได้ การที่ศาลฎีกาเห็นว่าพยานหลักฐานของโจทก์ไม่เพียงพอที่จะฟังลงโทษผู้ร้องในทางอาญานั้น หาเป็นผลทำให้ผู้ร้องมีสิทธิได้รับรถยนต์บรรทุกของกลางคืนไปไม่ ผู้ร้องยังคงต้องมีหน้าที่นำสืบให้ได้ความตามที่ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 36 บัญญัติไว้ เมื่อพยานหลักฐานของผู้ร้องรับฟังไม่ได้ว่าผู้ร้องไม่มีส่วนรู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำผิด ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิได้รับคืนรถยนต์บรรทุกของกลาง
of 48