คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.อ. ม. 36

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 473 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8405/2552

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรู้เห็นเป็นใจกับความผิดทางอาญาของผู้เช่าซื้อ และสิทธิในการเรียกร้องทรัพย์สินคืนจากการเช่าซื้อ
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอคืนรถจักรยานยนต์ของกลางเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2550 โดยในคำร้องระบุว่าจำเลยกับพวกได้นำรถจักรยานยนต์ของกลางไปจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนให้แก่ผู้ล่อซื้อซึ่งต่อมาศาลมีคำพิพากษาให้ริบรถจักรยานยนต์ของกลางดังนี้ แสดงว่าผู้ร้องต้องรู้มาก่อนวันที่ 15 พฤษภาคม 2550 ซึ่งเป็นวันที่ผู้ร้องยื่นคำร้องว่าศาลชั้นต้นพิพากษาริบรถจักรยานยนต์ของกลางแล้ว แต่ผู้ร้องก็เพิกเฉยไม่ได้บอกเลิกสัญญาเช่าซื้อและมายื่นคำร้องขอคืนรถจักรยานยนต์ของกลางในคดีนี้ ทั้งยังคงรับชำระเงินค่าเช่าซื้อจากผู้เช่าซื้อต่อไปอีก ประกอบกับหนังสือสัญญาเช่าซื้อข้อ 3.3 ระบุว่า ผู้เช่าซื้อต้องรับผิดชำระค่าเช่าซื้อให้ครบถ้วนตามสัญญาในกรณีทรัพย์สินที่เช่าซื้อสูญหาย ถูกทำลาย ถูกยึดหรือถูกริบ โดยความผิดของผู้เช่าซื้อเองและในกรณีมิใช่ความผิดของผู้เช่าซื้อ ผู้เช่าซื้อต้องรับผิดชอบชดใช้ราคาทรัพย์สินที่เช่าซื้อพร้อมด้วยค่าเสียหาย พฤติการณ์ดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าผู้ร้องมีเจตนาเพียงต้องการที่จะได้รับเงินค่าเช่าซื้อตามสัญญาเช่าซื้อเท่านั้น ผู้ร้องจึงเพิกเฉยไม่ติดตามเอารถจักรยานยนต์ของกลางที่ให้เช่าซื้อคืน ทั้งๆ ที่ผู้ร้องรู้อยู่แล้วว่ามีการนำรถจักรยานยนต์ของกลางไปใช้ในทางผิดกฎหมายอันเป็นการผิดสัญญาเช่าซื้อ การที่ผู้ร้องมาขอคืนรถจักรยานยนต์ของกลางเห็นได้ว่าเป็นการกระทำเพื่อประโยชน์ของผู้เช่าซื้อ เข้าลักษณะผู้ร้องรู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดของจำเลย ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิร้องขอคืนรถจักรยานยนต์ของกลาง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 11181/2551

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การคืนของกลาง: เจ้าของรถไม่รู้เห็นการกระทำผิด และการสั่งริบซ้ำซ้อน
คดีร้องขอคืนของกลางมีประเด็นที่ต้องวินิจฉัยตามคำร้องของผู้ร้องเพียงว่า ศาลจะสั่งคืนรถยนต์บรรทุกของกลางให้แก่ผู้ร้องซึ่งเป็นเจ้าของและมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดของจำเลยหรือไม่เท่านั้น ส่วนประเด็นที่ว่าจำเลยมิได้กระทำความผิดเพราะจำเลยไม่รู้ว่ารถยนต์บรรทุกของกลางบรรทุกน้ำหนักเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดเป็นเรื่องที่จำเลยต้องยกขึ้นต่อสู้ในคดีหลัก ผู้ร้องจะยกประเด็นดังกล่าวขึ้นมาว่ากล่าวในชั้นร้องขอคืนรถยนต์บรรทุกของกลางไม่ได้
ในคดีหลักศาลชั้นต้นได้พิพากษาให้ริบรถยนต์บรรทุกของกลางและคดีถึงที่สุดแล้ว แม้คดีนี้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้คืนรถยนต์บรรทุกของกลางแก่ผู้ร้องกึ่งหนึ่ง ศาลชั้นต้นก็ไม่จำต้องสั่งให้ริบรถยนต์บรรทุกของกลางเพียงกึ่งหนึ่งอีกเพราะเป็นการสั่งซ้ำ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2496/2551

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กรรมสิทธิ์รถยนต์ยังไม่โอน จนกว่าชำระราคาสิ้นสุด สัญญาซื้อขายมีเงื่อนไข
ขณะที่ผู้ร้องและจำเลยทำสัญญาซื้อขายรถยนต์ของกลางกันจำเลยยังไม่ได้ส่งมอบรถยนต์ของกลางให้แก่ผู้ร้องและผู้ร้องยังค้างชำระราคาเป็นเงิน 50,000 บาท โดยจำเลยจะส่งมอบรถยนต์ของกลางให้แก่ผู้ร้องในวันที่ได้รับชำระราคาส่วนที่เหลือ จึงเป็นสัญญาซื้อขายที่มีเงื่อนไขตาม ป.พ.พ. มาตรา 459 กรรมสิทธิ์ในรถยนต์ของกลางยังไม่โอนไปจนกว่าผู้ร้องจะได้ชำระราคาและโอนทะเบียนกัน ผู้ร้องจึงไม่ใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์รถยนต์ของกลางที่แท้จริง ไม่มีสิทธิยื่นคำร้องขอคืนรถยนต์ของกลางตาม ป.อ. มาตรา 36

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3126/2550

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรับฟังพยานสัญญาเช่าซื้อเพื่อพิสูจน์กรรมสิทธิ์ในของกลางที่ถูกริบ การไม่เคร่งครัดบทบัญญัติมาตรา 238 ป.วิ.อ.
บทบัญญัติ ป.วิ.อ. มาตรา 238 วรรคหนึ่งที่ว่า ต้นฉบับเอกสารเท่านั้นที่อ้างเป็นพยานได้ เป็นบทบัญญัติในภาค 5 ของ ป.วิ.อ. ซึ่งมุ่งหมายที่จะใช้บังคับแก่พยานหลักฐานซึ่งน่าจะพิสูจน์ได้ว่าจำเลยมีผิดหรือบริสุทธิ์ตามมาตรา 226 ผู้ร้องเพียงนำสืบว่าผู้ร้องเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์เครื่องถ่ายเอกสารของกลางที่ศาลสั่งริบแล้วเพื่อขอให้ศาลสั่งคืนแก่ผู้ร้องตาม ป.อ. มาตรา 36 กรณีจึงไม่จำต้องนำบทบัญญัติดังกล่าวมาใช้โดยเคร่งครัด เมื่อผู้ร้องแนบสำเนาสัญญาเช่าซื้อซึ่งผู้รับมอบอำนาจจากผู้ร้องรับรองว่าถูกต้องและมีจำเลยซึ่งเป็นผู้เช่าซื้อเครื่องถ่ายเอกสารของกลางและลงชื่อในสำเนาสัญญาเช่าซื้อมาเบิกความยืนยัน ซึ่งโจทก์ยื่นคำคัดค้านเพียงว่าโจทก์ไม่รับรองสัญญาเช่าซื้อที่ผู้ร้องอ้าง โดยมิได้คัดค้านว่าสำเนาสัญญาเช่าซื้อมีข้อความไม่ตรงกับต้นฉบับและไม่ถูกต้องอย่างไร สำเนาสัญญาเช่าซื้อจึงรับฟังได้ เมื่อโจทก์ไม่มีพยานมานำสืบหักล้างให้เห็นเป็นอย่างอื่น ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่าผู้ร้องให้จำเลยเช่าซื้อเครื่องถ่ายเอกสารของกลาง เมื่อจำเลยยังชำระค่าเช่าซื้อให้ผู้ร้องไม่ครบถ้วนตามสัญญาเช่าซื้อ ผู้ร้องจึงเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์เครื่องถ่ายเอกสารของกลางและมีสิทธิยื่นคำร้องขอคืนเครื่องถ่ายเอกสารของกลาง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3125/2550

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดของผู้ให้เช่ารถบรรทุกต่อการบรรทุกเกินน้ำหนัก โดยละเลยการควบคุมดูแลลูกจ้าง
ผู้ร้องมีรถบรรทุกของกลางไว้เพื่อรับจ้าง การที่ผู้ร้องขึงผ้ากระสอบไว้เพื่อกำหนดความสูงมิให้จำเลยซึ่งเป็นลูกจ้างบรรทุกน้ำหนักเกิน และกำชับจำเลยไม่ให้บรรทุกน้ำหนักเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด เป็นเพียงวิธีการควบคุมเบื้องต้นและเป็นเรื่องภายในระหว่างผู้ร้องกับจำเลยเท่านั้น แต่ผู้ร้องยังมีหน้าที่ตรวจตราโดยหาวิธีอื่นมาควบคุมมิให้จำเลยบรรทุกน้ำหนักเกินอีกด้วย มิใช่ปล่อยให้จำเลยขับรถบรรทุกของกลางไปบรรทุกข้าวเปลือกโดยไม่ควบคุมดูแลการบรรทุก ดังนั้น การที่ผู้ร้องปล่อยปละละเลยจนจำเลยขับรถบรรทุกของกลางบรรทุกข้าวเปลือกน้ำหนักเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด ย่อมถือได้ว่าผู้ร้องรู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดของจำเลย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2331/2550

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขอคืนของกลางพ้นกำหนด 1 ปีนับจากคำพิพากษาถึงที่สุด ศาลยกคำร้องตามกฎหมาย
การขอคืนของกลางตามที่บัญญัติไว้ใน ป.อ. มาตรา 36 ซึ่งเจ้าของมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิด ย่อมมีสิทธิขอคืนต่อศาลได้ภายใน 1 ปี นับแต่วันคำพิพากษาถึงที่สุด คำว่า "วันคำพิพากษาถึงที่สุด" ย่อมหมายความถึงคำพิพากษาในคดีที่ศาลมีคำสั่งให้ริบทรัพย์ คดีอาญาหมายเลขแดงที่ 4338/2546 ของศาลชั้นต้นกับคดีนี้เป็นกรณีเดียวกัน แต่ฟ้องคดีคนละคราวกัน ทรัพย์สินที่ยึดได้ก็เป็นทรัพย์สินรายเดียวกัน ทรัพย์สินต่าง ๆ รวมทั้งรถยนต์กระบะของกลางจึงเป็นของกลางที่ศาลพิพากษาให้ริบไปแล้วในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 4338/2546 ของศาลชั้นต้นก่อนคดีนี้ แม้โจทก์จะมีคำขอให้ริบรถยนต์กระบะของกลางในคดีนี้และศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ริบรถยนต์กระบะของกลาง ก็ไม่อยู่ในอำนาจของศาลในคดีนี้ซึ่งเป็นคดีหลังที่จะสั่งให้ริบรถยนต์กระบะของกลางซ้ำอีก รถยนต์กระบะของกลางจึงมิใช่ของกลางในคดีนี้ที่ศาลจะพึงวินิจฉัยสั่งด้วย เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาและมีคำสั่งให้ริบรถยนต์กระบะของกลางแล้วในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 4338/2546 และคดีดังกล่าวถึงที่สุดเมื่อวันที่ 15 กันยายน 2546 ผู้ร้องมายื่นคำร้องในคดีนี้ขอคืนรถยนต์กระบะของกลางเมื่อวันที่ 21 กันยายน 2547 จึงเป็นการยื่นคำร้องภายหลังวันที่คำพิพากษาในคดีที่ศาลมีคำสั่งให้ริบรถยนต์กระบะของกลางถึงที่สุดแล้วเกิน 1 ปี คำร้องของผู้ร้องจึงต้องห้ามตาม ป.อ. มาตรา 36

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 256/2550

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การคืนทรัพย์สินที่ถูกริบในคดีอาญา: เจ้าของที่แท้จริงต้องไม่รู้เห็นเป็นใจในการกระทำผิด และการพิจารณาเรื่องสินสมรส
ป.อ. มาตรา 36 ที่บัญญัติหลักเกณฑ์ให้ศาลสั่งคืนทรัพย์สินที่ศาลสั่งริบให้แก่ผู้เป็นเจ้าของที่แท้จริงที่มิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดของจำเลยนั้น หมายถึง นอกจากจะให้พิจารณาสั่งคืนทรัพย์สินให้แก่ผู้เป็นเจ้าของแท้จริงแล้วต้องพิจารณาว่าผู้เป็นเจ้าของแท้จริงนั้นจะต้องนั้นจะต้องมิได้รู้เห็นเป็นใจในการกระทำความผิดของจำเลยประกอบด้วย
ศาลชั้นต้นฟังว่ารถยนต์กระบะบรรทุกของกลางเป็นของผู้ร้อง แต่ให้ยกคำร้องเพราะผู้ร้องมีส่วนรู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิด ผู้ร้องอุทธรณ์โดยโจทก์ไม่ได้อุทธรณ์ในข้อที่ว่าผู้ร้องมิใช่เจ้าของรถยนต์กระบะบรรทุกของกลาง เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 5 เห็นว่า ผู้ร้องมิใช่เจ้าของรถยนต์กระบะบรรทุกของกลางหรือเป็นเจ้าของเพียงกึ่งหนึ่ง ย่อมพิพากษาให้ยกคำร้องหรือสั่งคืนของกลางให้เจ้าของตามสิทธิที่เป็นเจ้าของได้ เมื่อรถยนต์กระบะบรรทุกของกลางมิใช่สินส่วนตัวของผู้ร้องแต่เป็นทรัพย์สินที่ผู้ร้องได้มาระหว่างสมรสกับจำเลยที่ 2 จึงเป็นสินสมรสซึ่งจำเลยที่ 2 มีส่วนเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยกึ่งหนึ่ง ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษาให้คืนรถยนต์กระบะบรรทุกของกลางแก่ผู้ร้องกึ่งหนึ่งได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9090/2549

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขอคืนของกลางที่ถูกริบ ผู้ร้องต้องพิสูจน์ว่าไม่มีส่วนรู้เห็นกับการกระทำผิดของผู้กระทำความผิด ไม่ใช่การต่อสู้คดีอาญา
คดีร้องขอคืนของกลางที่ศาลสั่งริบ ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยตามคำร้องของผู้ร้องมีเพียงว่า เมื่อศาลมีคำสั่งให้ริบรถยนต์ของกลางแล้วศาลจะสั่งคืนให้แก่เจ้าของซึ่งอ้างว่ามิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดของจำเลยตามคำร้องของผู้ร้องหรือไม่เท่านั้น ส่วนประเด็นที่ว่าจำเลยกระทำความผิดหรือไม่ แม้ฟังได้ว่าคดีอยู่ระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 1 ก็เป็นเรื่องการต่อสู้คดีของจำเลยว่าผลคดีถึงที่สุดจะเป็นประการใด หาได้เกี่ยวข้องกับผู้ร้องแต่อย่างใดไม่ ผู้ร้องจะยกประเด็นดังกล่าวขึ้นมาว่ากล่าวในชั้นร้องขอคืนรถยนต์ของกลางหาได้ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7558/2549

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กรรมสิทธิ์รถยนต์ยังไม่โอนจนกว่าชำระค่ารถครบถ้วน สัญญาซื้อขายมีเงื่อนไขตาม ป.พ.พ. มาตรา 459
ตามสัญญาซื้อขายรถยนต์ของกลางระหว่างจำเลยกับผู้ร้องตกลงจะโอนกรรมสิทธิ์ในรถยนต์ที่ซื้อขายเมื่อผู้ร้องชำระราคาส่วนที่เหลือแล้ว เป็นสัญญามีเงื่อนไขตาม ป.พ.พ. มาตรา 459 การที่จำเลยส่งมอบคู่มือการจดทะเบียนรถยนต์และลงลายมือชื่อในแบบคำขอโอนและรับโอน พร้อมมอบสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนไว้ให้ผู้ร้อง เป็นเพียงเพื่อความสะดวกแก่ผู้ร้องในการไปจดทะเบียนรับโอนเมื่อได้มีการปฏิบัติตามสัญญาซื้อขายครบถ้วนแล้วเท่านั้น มิได้ทำให้สัญญาดังกล่าวเป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด เมื่อผู้ร้องยังคงค้างชำระราคารถยนต์อยู่ 50,000 บาท กรรมสิทธิ์ในรถยนต์จึงยังไม่ได้โอนไปเป็นของผู้ร้อง ผู้ร้องไม่มีสิทธิยื่นคำร้องขอคืนของกลางตาม ป.อ. มาตรา 36

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5399/2549

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กรรมสิทธิ์รถยนต์: การพิสูจน์ความเป็นเจ้าของต้องด้วยหลักฐานที่น่าเชื่อถือ การจดทะเบียนเป็นหลักฐานเบื้องต้น
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่าเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รถยนต์กระบะคันที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาให้ริบ ผู้ร้องจึงมีหน้าที่นำสืบว่าผู้ร้องเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รถยนต์กระบะของกลางตามที่กล่าวอ้าง แต่ผู้ร้องไม่ได้นำสืบ ย. เจ้าของกรรมสิทธิ์รถยนต์กระบะของกลางตามสำเนารายการจดทะเบียน หรือเจ้าของร้านผู้ประมูลขายรถยนต์กระบะของกลาง มาเบิกความสนับสนุนว่าได้ขายรถยนต์กระบะของกลางให้แก่ผู้ร้อง ผู้ร้องมีเพียงหนังสือมอบอำนาจกับแบบคำขอโอนและรับโอนว่า ย. ลงลายมือชื่อไว้ โดยผู้ร้องยังมิได้ไปดำเนินการจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงชื่อเจ้าของให้เป็นการถูกต้อง แม้หนังสือแสดงการจดทะเบียนรถมิใช่หลักฐานแสดงกรรมสิทธิ์ แต่ก็เป็นหลักฐานเบื้องต้นที่แสดงว่าผู้มีชื่อในเอกสารดังกล่าวเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รถยนต์ ข้ออ้างของผู้ร้องที่ว่าจะนำรถยนต์กระบะของกลางไปขายต่อและไม่ต้องการเสียภาษี จึงมิได้ไปดำเนินการจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงชื่อเจ้าของให้เป็นการถูกต้อง ไม่มีเหตุผลให้รับฟัง ไม่มีน้ำหนักน่าเชื่อว่าผู้ร้องเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์
of 48