พบผลลัพธ์ทั้งหมด 447 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3299/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อจำกัดสิทธิอุทธรณ์และฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงหลังศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา ยกฟ้องโดยอาศัยข้อเท็จจริง
โจทก์ฟ้องจำเลยในข้อหายักยอก ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 353ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์โดยอาศัยข้อเท็จจริง คดีจึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 ทวิ แม้ศาลอุทธรณ์จะรับวินิจฉัยข้อเท็จจริงให้ ก็เป็นการวินิจฉัยที่ไม่ชอบและถือว่าข้อเท็จจริงยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้ว โจทก์จึงไม่มีสิทธิฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงสำหรับข้อหานี้อีก ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1827/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเปลี่ยนแปลงข้อหาจากปล้นทรัพย์เป็นชิงทรัพย์ และการพิจารณาความผิดฐานทำร้ายร่างกายควบคู่กัน
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองฐานร่วมกันปล้นทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยทั้งสองมีความผิดฐานชิงทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339 วรรคสอง โจทก์และจำเลยทั้งสองอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่ายกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 1 และลงโทษจำเลยที่ 2 ฐานทำร้ายร่างกายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 391 จึงมีผลเท่ากับว่าศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ในข้อหาปล้นทรัพย์โดยอาศัยข้อเท็จจริงโจทก์จึงฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองสำหรับข้อหาปล้นทรัพย์ไม่ได้คงฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้เฉพาะข้อหาชิงทรัพย์ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษากลับกันมาเท่านั้น และที่โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองฐานปล้นทรัพย์นั้น ถือได้ว่าเป็นฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองในข้อหาชิงทรัพย์ด้วยแล้ว เพราะการกระทำผิดฐานชิงทรัพย์เป็นส่วนหนึ่งของความผิดฐานปล้นทรัพย์.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1827/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเปลี่ยนแปลงข้อหาจากปล้นทรัพย์เป็นชิงทรัพย์ และการพิจารณาโทษจำเลยทั้งสอง
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองฐานร่วมกันปล้นทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยทั้งสองมีความผิดฐานชิงทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339 วรรคสอง โจทก์และจำเลยทั้งสองอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่ายกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 1 และลงโทษจำเลยที่ 2 ฐานทำร้ายร่างกายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 391 จึงมีผลเท่ากับว่าศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ในข้อหาปล้นทรัพย์โดยอาศัยข้อเท็จจริงโจทก์จึงฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองสำหรับข้อหาปล้นทรัพย์ไม่ได้คงฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้เฉพาะข้อหาชิงทรัพย์ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษากลับกันมาเท่านั้น และที่โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองฐานปล้นทรัพย์นั้น ถือได้ว่าเป็นฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองในข้อหาชิงทรัพย์ด้วยแล้ว เพราะการกระทำผิดฐานชิงทรัพย์เป็นส่วนหนึ่งของความผิดฐานปล้นทรัพย์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1221/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิในการฎีกาจำกัดเฉพาะคู่ความที่ศาลพิพากษาประทับฟ้องแล้ว การไต่สวนมูลฟ้องยังไม่ถือเป็นการประทับฟ้อง
คดีที่ราษฎรเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นตรวจฟ้องแล้วพิพากษายกฟ้องศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วพิพากษาใหม่จำเลยไม่มีสิทธิที่จะฎีกาโต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1220/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การนับโทษจำคุกต่อจากคดีอื่นเป็นดุลพินิจของศาล แม้โทษจำคุกรวมเกิน 50 ปี และประเด็นการฎีกาต้องเป็นไปตามเหตุผลที่อุทธรณ์
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามที่โจทก์ฟ้อง แต่จำเลยอุทธรณ์ว่าศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้นับโทษจำเลยในคดีนี้ต่อจากโทษจำคุกในคดีอื่นเป็นการมิชอบ ดังนั้นประเด็นเรื่องจำเลยได้กระทำตามฟ้องหรือไม่จึงยุติไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น จำเลยจะกลับมาฎีกาอีกไม่ได้ การนับโทษจำคุกจำเลยต่อกับโทษในคดีอื่นเป็นดุลพินิจ ของศาลแม้ว่าศาลจะพิพากษาให้ลงโทษจำคุกจำเลยมีกำหนด 50 ปีแล้วก็ตามหากศาลเห็นสมควรก็จะสั่งให้นับโทษจำเลยต่อจากโทษในคดีอื่นอีกได้ไม่ขัดต่อ ป.อ. มาตรา 91.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 371/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สถานะคู่ความก่อนมีคำสั่งประทับฟ้อง: จำเลยไม่มีสิทธิฎีกา
ในคดีอาญาที่ราษฎรเป็นโจทก์ ก่อนที่ศาลประทับฟ้องประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 165 วรรคสามบัญญัติมิให้ถือว่าจำเลยอยู่ในฐานะเช่นนั้น จำเลยจึงไม่มีฐานะเป็นคู่ความ เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำสั่งของศาลชั้นต้นที่ว่า โจทก์ทิ้งฟ้องและให้จำหน่ายคดี จำเลยย่อมไม่มีสิทธิฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 371/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สถานะคู่ความก่อนมีคำสั่งประทับฟ้อง: จำเลยไม่มีสิทธิฎีกา
ในคดีอาญาที่ราษฎรเป็นโจทก์ ก่อนที่ศาลประทับฟ้องประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 165 วรรคสามบัญญัติมิให้ถือว่าจำเลยอยู่ในฐานะเช่นนั้น จำเลยจึงไม่มีฐานะเป็นคู่ความ เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำสั่งของศาลชั้นต้นที่ว่า โจทก์ทิ้งฟ้องและให้จำหน่ายคดี จำเลยย่อมไม่มีสิทธิฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2485/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาตัดสินคดีขับรถฝ่าไฟแดง ประมาท ชนเสียหาย ศาลฎีกาพิพากษายืนตามฟ้อง
ข้อหาขับรถฝ่าฝืนสัญญาณไฟจราจรศาลชั้นต้นลงโทษปรับจำเลย500บาทซึ่งต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตามพระราชบัญญัติจัดต้้งศาลแขวงฯมาตรา22จำเลยอุทธรณ์ว่าจำเลยขับรถไปทางตรงในขณะที่มีไฟเขียวมิได้ขับรถฝ่าไฟแดงเป็นการอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าวแต่ศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยให้และพิพากษายกฟ้องโจทก์ในข้อหานี้ซึ่งศาลอุทธรณ์มีอำนาจวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา185โจทก์จึงมีสิทธิฎีกาได้. ความผิดฐานขับรถฝ่าสัญญาณไฟจราจรและขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ชนรถอื่นเสียหายเป็นการกระทำอันเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทคือพระราชบัญญัติจราจรทางบกฯมาตรา22,43,152,157ลงโทษตามมาตรา43,157ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุด.(ที่มา-เนติฯ)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2485/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาชี้ว่าการขับรถฝ่าไฟแดงและประมาทเป็นเหตุให้ชนผู้อื่นเป็นความผิดกรรมเดียว โทษตามบทหนัก
ข้อหาขับรถฝ่าฝืนสัญญาณไฟจราจรศาลชั้นต้นลงโทษปรับจำเลย500บาทซึ่งต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตามพระราชบัญญัติจัดต้้งศาลแขวงฯมาตรา22จำเลยอุทธรณ์ว่าจำเลยขับรถไปทางตรงในขณะที่มีไฟเขียวมิได้ขับรถฝ่าไฟแดงเป็นการอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าวแต่ศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยให้และพิพากษายกฟ้องโจทก์ในข้อหานี้ซึ่งศาลอุทธรณ์มีอำนาจวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา185โจทก์จึงมีสิทธิฎีกาได้. ความผิดฐานขับรถฝ่าสัญญาณไฟจราจรและขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ชนรถอื่นเสียหายเป็นการกระทำอันเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทคือพระราชบัญญัติจราจรทางบกฯมาตรา22,43,152,157ลงโทษตามมาตรา43,157ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุด.(ที่มา-เนติฯ)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1344/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเปลี่ยนแปลงข้อหาจากลักทรัพย์เป็นรับของโจรโดยไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานลักทรัพย์หรือรับของโจร ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานลักทรัพย์ จึงถือได้ว่าศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องข้อหาฐานรับของโจร จำเลยอุทธรณ์ขอให้พิพากษายกฟ้องข้อหาฐานลักทรัพย์ ประเด็นที่ศาลอุทธรณ์จะวินิจฉัยคือจำเลยได้กระทำผิดฐานลักทรัพย์หรือไม่ การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าจำเลยไม่มีความผิดฐานลักทรัพย์แต่ผิดฐานรับของโจร จึงมิชอบด้วยกระบวนพิจารณา จำเลยมีสิทธิฎีกาขอให้ยกฟ้องข้อหาฐานรับของโจรได้ และศาลฎีกาไม่จำเป็นต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาใหม่ เพราะศาลอุทธรณ์ได้ยกฟ้องจำเลยในข้อหาฐานลักทรัพย์แล้ว