คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.วิ.อ. ม. 216

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 447 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1444-1445/2496 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิฎีกาของผู้ต้องโทษจำคุก แม้โจทก์อุทธรณ์ขอโทษหนักกว่าเดิม ก็ยังสามารถฎีกาในข้อเท็จจริงเพื่อขอให้ยกฟ้องได้
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำคุกจำเลยมีกำหนด 20 ปี จำเลยมิได้อุทธรณ์ คงมีโจทก์อุทธรณ์ขอให้ศาลวางโทษจำเลยโดยไม่ลดฐานปราณีด้วย แม้ศาลอุทธรณ์จะคงพิพากษายืน จำเลยก็มีสิทธิฎีกาในข้อเท็จจริงขอให้ยกฟ้องโจทก์เสียได้ ไม่ต้องห้ามตามกฎหมายแต่อย่างใด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1231/2496 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเปลี่ยนแปลงข้อกล่าวหาจากชกต่อยเป็นทำร้ายด้วยปืน: ศาลพิจารณาจากพฤติการณ์ที่ใกล้เคียงกันและลงโทษฐานทำร้ายร่างกาย
ใช้ปืนสั้นตีเขามีบาดแผลฟกช้ำโลหิตขับที่ใต้ขมับขวา 1แห่ง ฟกซ้ำที่แก้ซ้าย 3 แห่งและที่ข้อมือซ้ายถูกของมีคมอีก 1 แห่ง ย่อมถือได้ว่าเป็นบาดแผลถึงบาดเจ็บตาม ก.ม.ลักษณะอาญามาตรา 254
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยใช้กำลังกายชกต่อยผู้เสียหายถึงบาดเจ็บ ทางพิจารณาได้ความว่าจำเลยใช้ปืนสั้นตีผู้เสียหายถึงบาดเจ็บ ดังนี้การชกต่อยกับการใช้ปืนสั้นตีเป็นกิริยาอาการที่ใกล้ชิดกัน ยังไม่พอจะชี้ขาดว่าข้อเท็จจริงที่ได้ความตามทางพิจารณาต่างกับข้อเท็จจริงที่กล่าวในฟ้อง ถึงกับยกฟ้องตาม ป.วิ.อาญามาตรา 192
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์โดยข้อกฎหมายว่าโจทก์นำสืบข้อเท็จจริงต่างกับฟ้อง แม้ศาลอุทธรณ์จะยกฟ้องในข้อเท็จจริง โจทก์ฎีกาในข้อเท็จจริงได้ ไม่ต้องห้ามตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 219

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1231/2496

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเปลี่ยนแปลงข้อกล่าวหาจากชกต่อยเป็นทำร้ายด้วยอาวุธ แม้ต่างจากฟ้องแต่ไม่ถึงกับยกฟ้องได้
ใช้ปืนสั้นตีเขามีบาดแผลฟกช้ำโลหิตซับที่ใต้ขมับขวา 1 แห่ง ฟกช้ำที่แก้มซ้าย 3 แห่ง และที่ข้อมือซ้ายถูกของมีคมอีก 1 แห่ง ย่อมถือได้ว่าเป็นบาดแผลถึงบาดเจ็บตาม กฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 254
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยใช้กำลังกายชกต่อยผู้เสียหายถึงบาดเจ็บทางพิจารณาได้ความว่าจำเลยใช้ปืนสั้นตีผู้เสียหายถึงบาดเจ็บ ดังนี้ การชกต่อยกับการใช้ปืนสั้นตีเป็นกิริยาอาการที่ใกล้ชิดกัน ยังไม่พอจะชี้ขาดว่าข้อเท็จจริงที่ได้ความตามทางพิจารณาต่างกับข้อเท็จจริงที่กล่าวในฟ้อง ถึงกับยกฟ้องตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์โดยข้อกฎหมายว่าโจทก์นำสืบข้อเท็จจริงต่างกับฟ้อง แม้ศาลอุทธรณ์จะยกฟ้องในข้อเท็จจริง โจทก์ก็ฎีกาในข้อเท็จจริงได้ ไม่ต้องห้ามตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1122/2496

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ บาดแผลทางร่างกายไม่ถึงขั้น 'บาดเจ็บ' ตามกฎหมายอาญา แม้จำเลยรับสารภาพ
ถูกทำร้ายมีบาดแผลปรากฏตามรายงานชันสูตรบาดแผลว่า ตรงกึ่งกลางสันหน้าแข้งขวากว้าง 1 ซ.ม. ยาว 2 ซ.ม. ถลอกบวม และที่คอด้านหลังเป็นแผลบวมฟกช้ำ รักษา ประมาณ7 วันหาย เพียงเท่านี้ยังไม่พอฟังว่าเป็นบาดแผลถึงบาดเจ็บทุพพลภาพตามมาตรา 254
ฟ้องว่า จำเลยทำร้ายผู้เสียหายมีบาดแผลบาดเจ็บตามรายการชันสูตรบาดแผลเป็นส่วนหนึ่งของฟ้องด้วย
บาดแผลตามรายงานชันสูตรท้ายฟ้องเป็นบาดแผลถึงบาดเจ็บหรือไม่เป็นปัญหาข้อกฎหมาย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 243/2496

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยกฟ้องอาญาเนื่องจากพยานหลักฐานไม่เพียงพอ แม้อุทธรณ์เกินกำหนดและศาลแก้โทษตามอุทธรณ์ของโจทก์
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานยักยอกทรัพย์ตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 131 และฐานปลอมหนังสือตามมาตรา230
ศาลชั้นต้นลงโทษจำเลยตามมาตรา 131 ฐานเดียวแต่ฟังว่าจำเลยยักยอกเงินไม่เต็มตามที่ฟ้องจึงให้คืนเท่าที่จำเลยยักยอก
โจทก์และจำเลยต่างอุทธรณ์.คือจำเลยอุทธรณ์ขอให้ยกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ว่าจำเลยยักยอกเงินเต็มตามฟ้อง และปลอมหนังสือด้วยศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ว่าจำเลยยักยอกเงินจำนวนมากกว่าที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยไว้จึงพิพากษาแก้ให้ใช้จำนวนเงินมากขึ้นและแก้ว่าจำเลยผิดตามมาตรา 230 ด้วย ส่วนอุทธรณ์ของจำเลยศาลอุทธรณ์ไม่รับไว้พิจารณา เพราะถือว่ายื่นเกินกำหนดดังนี้เป็นเรื่องที่โจทก์อุทธรณ์ขึ้นมาด้วยและศาลอุทธรณ์แก้ให้ลงโทษจำเลยตามอุทธรณ์ของโจทก์จำเลยจึงฎีกาขึ้นมาได้และเมื่อทางพิจารณาฟังไม่ได้ว่าจำเลยกระทำผิดศาลฎีกาย่อมมีอำนาจยกฟ้องเสียได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1612/2495 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้จำเลยฟังเป็นสาระสำคัญ หากไม่ครบถ้วน ฎีกาไม่รับพิจารณา
แม้ศาลจะได้ดำเนินการอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้โจทก์ฟังฝ่ายเดียวเป็นการถูกต้องตาม ป.ม.วิ.อาญามาตรา 182 วรรค 3 แล้ว แต่เมื่อจำเลยยังไม่ได้ฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ก็ไม่ถือว่าได้อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้จำเลยฟัง ดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 216 ฉะนั้นหากโจทก์จะฎีกาขึ้นมา ศาลฎีกาก็จะรับพิจารณาฎีกาของโจทก์ไม่ได้ต้องให้จำหน่ายคดี ส่งสำนวนคืนศาลชั้นต้นเพื่อดำเนินกระบวนพิจารณาให้ถูกต้องต่อไป

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1612/2495

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้จำเลยฟัง: เงื่อนไขการฎีกา
แม้ศาลจะได้ดำเนินการอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้โจทก์ฟังฝ่ายเดียวเป็นการถูกต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 182 วรรคสาม แล้ว แต่เมื่อจำเลยยังไม่ได้ฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ก็ไม่ถือว่าได้อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้จำเลยฟัง ดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 216 ฉะนั้นหากโจทก์จะฎีกาขึ้นมา ศาลฎีกาก็จะรับพิจารณาฎีกาของโจทก์ไม่ได้ ต้องให้จำหน่ายคดี ส่งสำนวนคืนศาลชั้นต้นเพื่อดำเนินกระบวนพิจารณาให้ถูกต้องต่อไป

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1223/2495

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ขอบเขตการวินิจฉัยคดีอาญา: การโต้แย้งสถานะที่ดินในคดีขัดคำสั่งเจ้าพนักงาน
โจทก์ฟ้องหาว่าจำเลยขัดคำสั่งนายอำเภอที่สั่งให้จำเลยออกจากหนองสาธารณะตาม พระราชบัญญัติปกครองท้องที่ ขอให้ลงโทษตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 334(2) จำเลยต่อสู้ว่า ที่พิพาทไม่ใช่หนองสาธารณะ หากเป็นที่ของจำเลยมีกรรมสิทธิ์
ศาลชั้นต้นฟังว่าที่พิพาทไม่ใช่หนองสาธารณะ จึงพิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์ฟังว่าที่พิพาทเป็นหนองสาธารณะ แต่คงเห็นว่าจำเลยไม่ผิดในทางอาญา จึงพิพากษายืนให้ยกฟ้อง ดังนี้ จำเลยจะฎีกาให้ศาลฎีกาวินิจฉัยให้ว่าที่พิพาทไม่ใช่หนองสาธารณะ ศาลฎีกาย่อมไม่รับวินิจฉัยให้ โดยเห็นว่าประเด็นข้อขัดคำสั่งทางอาญานั้นได้ยุติลงแล้วคู่ความชอบที่จะโต้แย้งกันในทางแพ่งได้ว่า หนองพิพาทเป็นหนองสาธารณะหรือไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1223/2495 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ขอบเขตการดำเนินคดีอาญาเมื่อข้อพิพาทเรื่องสิทธิในที่ดินยังไม่สิ้นสุด และการโต้แย้งสิทธิในที่ดินในทางแพ่ง
โจทก์ฟ้องหาว่าจำเลยขัดคำสั่งนายอำเภอที่สั่งให้จำเลยออกจากหนองสาธารณะตาม พ.ร.บ.ปกครองท้องที่ ขอให้ลงโทษตาม ก.ม.ลักษณะอาญามาตรา 334(2) จำเลยต่อสู้ว่า ที่พิพาทไม่ใช่หนองสาธารณะ หากเป็นที่ของจำเลยมีกรรมสิทธิ
ศาลชั้นต้นฟังว่า ที่พิพาทไม่ใช่หนองสาธารณะ จึงพิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์ฟังว่าที่พิพาทเป็นหนองสาธารณะ แต่คงเห็นว่าจำเลยไม่ผิดในทางอาญา จึงพิพากษายืนให้ยกฟ้อง ดังนี้ดดจำเลยจะฎีกาให้ศาลฎีกาวินิจฉัยให้ว่าที่พิพาทไม่ใช่หนองสาธารณะ ศาลฎีกาย่อมไม่รับวินิจฉัยให้ โดยเห็นว่าประเด็นข้อขัดคำสั่งทางอาญานั้นได้ยุติลงแล้วคู่ความชอบที่จะโต้แย้งกันในทางแพ่งได้ว่า หนองพิพาทเป็นหนองสาธารณะหรือไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 501/2494

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฎีกาในคดีอาญาเมื่อจำเลยหลบหนี ศาลฎีกาวินิจฉัยเฉพาะจำเลยที่ศาลอุทธรณ์พิพากษา
จำเลยในคดีอาญาหลบหนียังไม่ได้ฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เสียคนหนึ่ง คงฟังแต่จำเลยอีกคนหนึ่งเพียงคนเดียว แม้โจทก์จะฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยทั้ง 2 คนก็ตาม ก็ถือว่าคดีเฉพาะจำเลยที่หลบหนี โจทก์ยังฎีกาไม่ได้ ศาลฎีกาคงวินิจฉัยเฉพาะจำเลยที่ฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์แล้วเท่านั้น
of 45