พบผลลัพธ์ทั้งหมด 907 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1545/2492
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อตกลงพิเศษนอกเหนือจากสัญญาซื้อขายและการวางมัดจำ ศาลไม่อาจรับฟังได้หากไม่ปรากฏในสัญญา
จำเลยได้ทำหนังสือสัญญาจะขายที่ดินให้แก่โจทก์และได้มีการวางมัดจำด้วย แต่ความประสงค์ของทั้งสองฝ่ายมุ่งจะผูกมัดกันโดยหนังสือสัญญานี้ ส่วนการวางมัดจำเป็นแต่ข้อสัญญากันข้อหนึ่ง หาใช่ตกลงกันทำสัญญาด้วยการวางมัดจำไม่ กรณีเข้า ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 คู่ความจะสืบว่ามีข้อตกลงเป็นพิเศษว่า จำเลยจะต้องให้ผู้เช่าออกไปจากที่ก่อนโอน โดยไม่ปรากฏในหนังสือสัญญาเช่นนี้ ศาลรับฟังไม่ได้โดยขัดกับมาตรา 94(ประชุมใหญ่ ครั้งที่21/92)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1540/2492 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนายิงเพื่อฆ่า แม้ไม่ถึงแก่ชีวิต ศาลพิพากษาฐานพยายามฆ่า
จำเลยเอาปืนแก๊ปยิง พ.ในระยะห่าง 1 วา กระสุนถูกหน้าอกและแขน แต่เป็นบาดแผลเพียงหนังขาด กระสุนฝังกล้ามเนื้อ เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยยิงโดยเจตนาจะฆ่าให้ตาย จำเลยก็มีความผิดตามมาตรา 249,60
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1540/2492
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนายิงเพื่อฆ่า แม้ไม่ถึงแก่ชีวิต ศาลพิพากษาฐานพยายามฆ่าได้
จำเลยเอาปืนแก๊ปยิง พ.ในระยะห่าง 1 วา กระสุนถูกหน้าอกและแขน แต่เป็นบาดแผลเพียงหนังขาด กระสุนฝังกล้ามเนื้อ เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยยิงโดยเจตนาจะฆ่าให้ตาย จำเลยก็มีความผิดตามมาตรา 249,60
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1518/2492 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การมีซุงแปรรูปโดยชอบด้วยกฎหมาย: ข้อยกเว้นตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ 2484
จำเลยซื้อซุงเหลี่ยมเนื้อไม้ 2.90 เมตรลูกบาศก์จากผู้ที่ได้รับอนุญาตให้ตัดพันไม้ซึ่งผู้ขายเลื่อยปีกทำเป็นซุงเหลี่ยมก่อนเคลื่อนที่จากที่ทำไม้ การกระทำของผู้ขายเข้าข้อยกเว้นไม่ต้องได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานตามมาตรา 50 ข้อ 1 พ.ร.บ.ป่าไม้ 2484 การที่จำเลยมีซุงเหลี่ยมรายนี้ไว้ในครอบครอง จึงไม่มีผิด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1518/2492
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การซื้อซุงแปรรูปจากผู้ได้รับอนุญาตตัดไม้ ไม่ถือว่าผิดกฎหมายป่าไม้
จำเลยซื้อซุงเหลี่ยมเนื้อไม้ 2.90 ลูกบาศก์เมตรจากผู้ที่ได้รับอนุญาตให้ตัดฟันไม้ซึ่งผู้ขายเลื่อยปีกทำเป็นซุงเหลี่ยมก่อนเคลื่อนที่จากที่ทำไม้ การกระทำของผู้ขายเข้าข้อยกเว้นไม่ต้องได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานตามมาตรา 50 ข้อ 1 พ.ร.บ.ป่าไม้ 2484. การที่จำเลยมีซุงเหลี่ยมรายนี้ไว้ในครอบครอง จึงไม่มีผิด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1482-1483/2492 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ค่าเสียหายจากผิดสัญญาซื้อขายที่ดิน คำนวณจากราคาตลาดเมื่อจำเลยผัดผ่อน
การให้ค่าสินไหมทดแทนในกรณีผิดสัญญา ก็เพื่อที่จะชดใช้ และให้ความพอใจแก่ฝ่ายที่ไม่ผิดสัญญาสำหรับความเสียหายที่ฝ่ายนั้นได้รับ ฉะนั้น จึงต้องกำหนดจำนวนเงินที่จะให้ให้เพียงพอที่จะทำให้ฝ่ายที่ไม่ผิดสัญญากลับไปอยู่ในฐานะเดิมเช่นเดียวกับเมื่อไม่มีการผิดสัญญาเกิดขึ้น
คดีโจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยโอนที่ให้โจทก์ตามสัญญาจะขาย ถ้าจำเลยโอนที่ให้โจทก์ โจทก์ก็ย่อมได้ที่ถ้าหากที่นั้นมีราคามากกว่าราคาที่ตกลงไว้ในสัญญาราคาที่ผิดกันนั้น ย่อมเป็นผลประโยชน์ที่โจทก์สูญเสียไปจึงเป็นหลักค่าคำนวณค่าเสียหายได้
ในกรณีที่ผู้ขายที่ดินผิดสัญญา มีปัญหาว่าจะเอาราคาอันใด เมื่อได้ไปเทียบกับราคาในสัญญา ป.ม.แพ่งฯมาตรา 222 ไม่ได้กำหนดข้อนี้ไว้ ทั้งเป็นกรณีไม่ได้กำหนดเบี้ยปรับกันไว้ในสัญญา จึงไม่เข้ามาตรา 380 เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าเมื่อครบกำหนดโอนตามสัญญา จำเลยผัดผ่อนเรื่อยมาเพิ่งมาปฏิเสธไม่ยอมขายในภายหลัง จึงจะถือเอาราคาที่ดินในวันที่ครบกำหนดโอนตามสัญญาไม่ได้
คดีโจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยโอนที่ให้โจทก์ตามสัญญาจะขาย ถ้าจำเลยโอนที่ให้โจทก์ โจทก์ก็ย่อมได้ที่ถ้าหากที่นั้นมีราคามากกว่าราคาที่ตกลงไว้ในสัญญาราคาที่ผิดกันนั้น ย่อมเป็นผลประโยชน์ที่โจทก์สูญเสียไปจึงเป็นหลักค่าคำนวณค่าเสียหายได้
ในกรณีที่ผู้ขายที่ดินผิดสัญญา มีปัญหาว่าจะเอาราคาอันใด เมื่อได้ไปเทียบกับราคาในสัญญา ป.ม.แพ่งฯมาตรา 222 ไม่ได้กำหนดข้อนี้ไว้ ทั้งเป็นกรณีไม่ได้กำหนดเบี้ยปรับกันไว้ในสัญญา จึงไม่เข้ามาตรา 380 เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าเมื่อครบกำหนดโอนตามสัญญา จำเลยผัดผ่อนเรื่อยมาเพิ่งมาปฏิเสธไม่ยอมขายในภายหลัง จึงจะถือเอาราคาที่ดินในวันที่ครบกำหนดโอนตามสัญญาไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1482-1483/2492
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ค่าเสียหายจากผิดสัญญาซื้อขายที่ดิน: หลักการชดใช้ความเสียหายให้กลับสู่สภาพเดิม
การให้ค่าสินไหมทดแทนในกรณีผิดสัญญา ก็เพื่อที่จะชดใช้และให้ความพอใจแก่ฝ่ายที่ไม่ผิดสัญญาสำหรับความเสียหายที่ฝ่ายนั้นได้รับ ฉะนั้น จึงต้องกำหนดจำนวนเงินที่จะให้ให้เพียงพอที่จะทำให้ฝ่ายที่ไม่ผิดสัญญากลับไปอยู่ในฐานะเดิมเช่นเดียวกับเมื่อไม่มีการผิดสัญญาเกิดขึ้น
คดีโจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยโอนที่ให้โจทก์ตามสัญญาจะขายถ้าจำเลยโอนที่ให้โจทก์ โจทก์ก็ย่อมได้ที่ถ้าหากที่นั้นมีราคามากกว่าราคาที่ตกลงไว้ในสัญญา ราคาที่ผิดกันนั้น ย่อมเป็นผลประโยชน์ที่โจทก์สูญเสียไป จึงเป็นหลักค่าคำนวณค่าเสียหายได้
ในกรณีที่ผู้ขายที่ดินผิดสัญญา มีปัญหาว่าจะเอาราคาอันใด เมื่อได้ไปเทียบกับราคาในสัญญาประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 222 ไม่ได้กำหนดข้อนี้ไว้ ทั้งเป็นกรณีไม่ได้กำหนดเบี้ยปรับกันไว้ในสัญญา จึงไม่เข้ามาตรา 380 เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าเมื่อครบกำหนดโอนตามสัญญา จำเลยผัดผ่อนเรื่อยมาเพิ่งมาปฏิเสธไม่ยอมขายในภายหลัง จึงจะถือเอาราคาที่ดินในวันที่ครบกำหนดโอนตามสัญญาไม่ได้
คดีโจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยโอนที่ให้โจทก์ตามสัญญาจะขายถ้าจำเลยโอนที่ให้โจทก์ โจทก์ก็ย่อมได้ที่ถ้าหากที่นั้นมีราคามากกว่าราคาที่ตกลงไว้ในสัญญา ราคาที่ผิดกันนั้น ย่อมเป็นผลประโยชน์ที่โจทก์สูญเสียไป จึงเป็นหลักค่าคำนวณค่าเสียหายได้
ในกรณีที่ผู้ขายที่ดินผิดสัญญา มีปัญหาว่าจะเอาราคาอันใด เมื่อได้ไปเทียบกับราคาในสัญญาประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 222 ไม่ได้กำหนดข้อนี้ไว้ ทั้งเป็นกรณีไม่ได้กำหนดเบี้ยปรับกันไว้ในสัญญา จึงไม่เข้ามาตรา 380 เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าเมื่อครบกำหนดโอนตามสัญญา จำเลยผัดผ่อนเรื่อยมาเพิ่งมาปฏิเสธไม่ยอมขายในภายหลัง จึงจะถือเอาราคาที่ดินในวันที่ครบกำหนดโอนตามสัญญาไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1472-1473/2492 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อุทธรณ์ต้องระบุประเด็นชัดเจนต่อเนื่องจากอุทธรณ์เดิม ศาลต้องพิจารณาตามประเด็นที่อุทธรณ์
ฟ้องอุทธรณ์หรือฟ้องฎีกาจะต้องตั้งประเด็นตามมาตรา 225 และต้องแสดงเหตุผลประกอบตามมาตรา 172 ป.ม.วิ.แพ่ง
ศาลชั้นต้นสืบพะยานของ ป.สองปากแล้วสั่งงดสืบพะยานของ ป. และพิพากษาให้ ป.แพ้คดี ป.ยื่นอุทธรณ์ว่าศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพะยานไม่ชอบ และว่าพะยานหลักฐานของ ป.เท่าที่สืบมาแล้วควรฟังได้ เพราะเหตุใด ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยแต่เรื่องงดสืบพะยาน แล้วพิพากษาให้ศาลชั้นต้นสืบพะยานต่อไปและพิพากษาใหม่ศาลชั้นต้นสืบพะยานแล้วพิพากษาให้ ป.แพ้คดีตามเดิม ป.ยื่นอุทธรณ์เป็นครั้งที่ 2 บรรยาย การดำเนินคดีมาตั้งแต่ต้นและกล่าวว่า คำพิพากษาศาลชั้นต้นคลาดเคลื่อนต่อเหตุผลและข้อกฎหมายดังที่ ป.ได้ยกเป็นองค์อุทธรณ์ ในคำฟ้องอุทธรณ์เดิมแล้วขอศาลอุทธรณ์ได้ถือเอาคำฟ้องอุทธรณ์ฉะบับเดิมของ ป.มาเป็นองค์อุทธรณ์ในชั้นนี้ทุกประการด้วย ดังนี้เห็นได้ว่า คำฟ้องอุทธรณ์ใหม่ของ ป.ต่อเนื่องมาจากคำฟ้องอุทธรณ์เดิม ไม่ได้อ้างถึงถ้อยคำอื่นในสำนวนเช่นคำแถลงการณ์เป็นต้น แต่ต้องอ้างถึงคำฟ้องอุทธรณ์ด้วยกันและต่อเนื่องกัน จึงเป็นอุทธรณ์ที่ใช้ได้ตามกฎหมาย
ศาลชั้นต้นสืบพะยานของ ป.สองปากแล้วสั่งงดสืบพะยานของ ป. และพิพากษาให้ ป.แพ้คดี ป.ยื่นอุทธรณ์ว่าศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพะยานไม่ชอบ และว่าพะยานหลักฐานของ ป.เท่าที่สืบมาแล้วควรฟังได้ เพราะเหตุใด ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยแต่เรื่องงดสืบพะยาน แล้วพิพากษาให้ศาลชั้นต้นสืบพะยานต่อไปและพิพากษาใหม่ศาลชั้นต้นสืบพะยานแล้วพิพากษาให้ ป.แพ้คดีตามเดิม ป.ยื่นอุทธรณ์เป็นครั้งที่ 2 บรรยาย การดำเนินคดีมาตั้งแต่ต้นและกล่าวว่า คำพิพากษาศาลชั้นต้นคลาดเคลื่อนต่อเหตุผลและข้อกฎหมายดังที่ ป.ได้ยกเป็นองค์อุทธรณ์ ในคำฟ้องอุทธรณ์เดิมแล้วขอศาลอุทธรณ์ได้ถือเอาคำฟ้องอุทธรณ์ฉะบับเดิมของ ป.มาเป็นองค์อุทธรณ์ในชั้นนี้ทุกประการด้วย ดังนี้เห็นได้ว่า คำฟ้องอุทธรณ์ใหม่ของ ป.ต่อเนื่องมาจากคำฟ้องอุทธรณ์เดิม ไม่ได้อ้างถึงถ้อยคำอื่นในสำนวนเช่นคำแถลงการณ์เป็นต้น แต่ต้องอ้างถึงคำฟ้องอุทธรณ์ด้วยกันและต่อเนื่องกัน จึงเป็นอุทธรณ์ที่ใช้ได้ตามกฎหมาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1472-1473/2492
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอุทธรณ์ต้องชัดเจนและต่อเนื่อง โดยอ้างอิงประเด็นเดิมได้ หากไม่ได้อ้างอิงถ้อยคำอื่นในสำนวน
ฟ้องอุทธรณ์หรือฟ้องฎีกาจะต้องตั้งประเด็นตามมาตรา 225 และต้องแสดงเหตุผลประกอบตามมาตรา 172ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
ศาลชั้นต้นสืบพยานของ ป.สองปากแล้วสั่งงดสืบพยานของป.และพิพากษาให้ป.แพ้คดี ป.ยื่นอุทธรณ์ว่าศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานไม่ชอบ และว่าพยานหลักฐานของ ป.เท่าที่สืบมาแล้วควรฟังได้ เพราะเหตุใด ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยแต่เรื่องงดสืบพยาน แล้วพิพากษาให้ศาลชั้นต้นสืบพยานต่อไปและพิพากษาใหม่ ศาลชั้นต้นสืบพยานแล้วพิพากษาให้ ป.แพ้คดีตามเดิม ป.ยื่นอุทธรณ์เป็นครั้งที่ 2 บรรยายการดำเนินคดีมาตั้งแต่ต้นและกล่าวว่า คำพิพากษาศาลชั้นต้นคลาดเคลื่อนต่อเหตุผลและข้อกฎหมายดังที่ ป. ได้ยกเป็นองค์อุทธรณ์ ในคำฟ้องอุทธรณ์เดิมแล้ว ขอศาลอุทธรณ์ได้ถือเอาคำฟ้องอุทธรณ์ฉบับเดิมของ ป.มาเป็นองค์อุทธรณ์ในชั้นนี้ทุกประการด้วยดังนี้เห็นได้ว่า คำฟ้องอุทธรณ์ใหม่ของ ป.ต่อเนื่องมาจากคำฟ้องอุทธรณ์เดิม ไม่ได้อ้างถึงถ้อยคำอื่นในสำนวนเช่นคำแถลงการณ์เป็นต้น จึงเป็นอุทธรณ์ที่ใช้ได้ตามกฎหมาย แต่อ้างถึงคำฟ้องอุทธรณ์ด้วยกันและต่อเนื่องกัน
ศาลชั้นต้นสืบพยานของ ป.สองปากแล้วสั่งงดสืบพยานของป.และพิพากษาให้ป.แพ้คดี ป.ยื่นอุทธรณ์ว่าศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานไม่ชอบ และว่าพยานหลักฐานของ ป.เท่าที่สืบมาแล้วควรฟังได้ เพราะเหตุใด ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยแต่เรื่องงดสืบพยาน แล้วพิพากษาให้ศาลชั้นต้นสืบพยานต่อไปและพิพากษาใหม่ ศาลชั้นต้นสืบพยานแล้วพิพากษาให้ ป.แพ้คดีตามเดิม ป.ยื่นอุทธรณ์เป็นครั้งที่ 2 บรรยายการดำเนินคดีมาตั้งแต่ต้นและกล่าวว่า คำพิพากษาศาลชั้นต้นคลาดเคลื่อนต่อเหตุผลและข้อกฎหมายดังที่ ป. ได้ยกเป็นองค์อุทธรณ์ ในคำฟ้องอุทธรณ์เดิมแล้ว ขอศาลอุทธรณ์ได้ถือเอาคำฟ้องอุทธรณ์ฉบับเดิมของ ป.มาเป็นองค์อุทธรณ์ในชั้นนี้ทุกประการด้วยดังนี้เห็นได้ว่า คำฟ้องอุทธรณ์ใหม่ของ ป.ต่อเนื่องมาจากคำฟ้องอุทธรณ์เดิม ไม่ได้อ้างถึงถ้อยคำอื่นในสำนวนเช่นคำแถลงการณ์เป็นต้น จึงเป็นอุทธรณ์ที่ใช้ได้ตามกฎหมาย แต่อ้างถึงคำฟ้องอุทธรณ์ด้วยกันและต่อเนื่องกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1470/2492 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การตีความสัญญา: ศาลมีหน้าที่ชี้ขาดความหมายเมื่อมีการโต้แย้ง และพิจารณาพยานหลักฐานประกอบ
เมื่อจำเลยให้การเถียงความหมายในการแปลสัญญาศาลจึงมีหน้าที่จะต้องชี้ขาดว่าสัญญานั้นมีความหมายว่าอย่างไร ถ้าหากสัญญามีข้อความชัดเจนเห็นความหมายได้แล้วศาลก็ย่อมตีความสัญญาไปตามนั้น หากถ้อยคำในสัญญาเป็นที่สงสัย ศาลก็อาจดำเนินการสืบพะยานถึงพฤตติการณ์ต่าง ๆ ตลอดจนประเพณี เพื่อนำมาใช้ประกอบในการตีความนั้นได้ตามกรณี ดังที่ ป.ม.วิ.แพ่ง มาตรา 94 ตอนท้ายอนุญาตไว้
มาตรา 11 ป.ม.แพ่ง ฯ ย่อมเป็นหลักในการแปลสัญญาจริง แต่มีความหมายเพียงว่าเมื่อศาลได้พิเคราะห์ถึงเหตุผลและพฤตติการณ์อันจะนำมาประกอบการแปลหมดแล้ว กรณียังมีข้อสงสัยอยู่ จึงให้ตีความไปตามหลักที่กล่าวในมาตรา 11 แต่ไม่ได้หมายความว่า ศาลจะใช้มาตรา 11 แปลสัญญาโดยไม่เหลียวแลถึงเหตุผลและพฤตติการณ์ประกอบสัญญานั้นเสียเลย เมื่อถ้อยคำในสัญญายังเป็นที่สงสัยและศาลล่างสั่งงดสืบพะยานมาศาลฎีกามีอำนาจให้ศาลล่างพิจารณาพิพากษาใหม่.
มาตรา 11 ป.ม.แพ่ง ฯ ย่อมเป็นหลักในการแปลสัญญาจริง แต่มีความหมายเพียงว่าเมื่อศาลได้พิเคราะห์ถึงเหตุผลและพฤตติการณ์อันจะนำมาประกอบการแปลหมดแล้ว กรณียังมีข้อสงสัยอยู่ จึงให้ตีความไปตามหลักที่กล่าวในมาตรา 11 แต่ไม่ได้หมายความว่า ศาลจะใช้มาตรา 11 แปลสัญญาโดยไม่เหลียวแลถึงเหตุผลและพฤตติการณ์ประกอบสัญญานั้นเสียเลย เมื่อถ้อยคำในสัญญายังเป็นที่สงสัยและศาลล่างสั่งงดสืบพะยานมาศาลฎีกามีอำนาจให้ศาลล่างพิจารณาพิพากษาใหม่.