พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,319 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1208/2496
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองปรปักษ์และการแย่งสิทธิครอบครองจากมารดา: คดีไม่ขาดอายุความ
บุตรเช่านาของมารดาส่วนหนึ่งทำกิน ครั้นน้องมาทวงค่าเช่าก็ไม่ให้ และกลับว่าเป็นที่ของตนเช่นนี้จะถือว่ามารดาถูกแย่งสิทธิครอบครองตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 ไม่ได้เพราะเป็นเรื่องเนื่องจากการเช่าที่ส่วนหนึ่งของมารดา แล้วจะกลับมาเถียงสิทธิกับน้องแย่งการครอบครองจากมารดาย่อมไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1191/2496
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้ำและการวินิจฉัยข้อฎีกาของผู้ให้เช่าในคดีพิพาทการเช่าห้อง
โจทก์จำเลยต่างร่วมกันเช่าห้องอยู่อาศัยและค้าขายร่วมกันรวม 2 ห้อง อยู่มาโจทก์ไม่อยู่ จำเลยกั้นห้องเช่าแบ่งให้คนอื่นเช่าแทนเสีย 1 ห้อง โจทก์กลับมาจึงฟ้องจำเลยขอให้ขับไล่จำเลยออกจากห้องเช่าที่ยังเหลือ และเรียกค่าเสียหาย คดีถึงที่สุดโดยศาลพิพากษายกฟ้อง โจทก์กลับมาฟ้องจำเลยใหม่โดยฟ้องผู้ให้เช่าและผู้เช่าห้องพิพาทแทนเป็นจำเลยด้วย โดยโจทก์ฟ้องขอให้ศาลแสดงว่าห้องที่จำเลยให้ผู้เช่าเช่าแทนไปนั้น โจทก์มีสิทธิการเช่าอยู่ ขอให้จำเลยกับผู้ให้เช่าผู้เช่าแทนร่วมใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ ดังนี้คดีเฉพาะเดิมย่อมเป็นฟ้องซ้ำ
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่าโจทก์จำเลยเป็นผู้เช่าห้องพิพาทร่วมกัน แต่การที่จำเลยเอาห้องพิพาทไปให้ผู้อื่นเช่าแทนต่อไปนั้น ผู้ให้เช่าไม่ต้องรับผิด ดังนี้ผู้ให้เช่าซึ่งถูกฟ้องเป็นจำเลยด้วยจะฎีกาว่าความจริงจำเลยเป็นผู้เช่าแต่ฝ่ายเดียว โจทก์ไม่ได้เป็นผู้เช่าร่วมด้วย ดังนี้ข้อโต้เถียงดังกล่าวย่อมไม่ทำให้ผู้ให้เช่ากลับแพ้คดีนี้ได้ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัยข้อเท็จจริงดังกล่าวให้
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่าโจทก์จำเลยเป็นผู้เช่าห้องพิพาทร่วมกัน แต่การที่จำเลยเอาห้องพิพาทไปให้ผู้อื่นเช่าแทนต่อไปนั้น ผู้ให้เช่าไม่ต้องรับผิด ดังนี้ผู้ให้เช่าซึ่งถูกฟ้องเป็นจำเลยด้วยจะฎีกาว่าความจริงจำเลยเป็นผู้เช่าแต่ฝ่ายเดียว โจทก์ไม่ได้เป็นผู้เช่าร่วมด้วย ดังนี้ข้อโต้เถียงดังกล่าวย่อมไม่ทำให้ผู้ให้เช่ากลับแพ้คดีนี้ได้ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัยข้อเท็จจริงดังกล่าวให้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1155/2496
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิสูจน์ข้อเท็จจริงในสัญญา: จำเลยต้องนำสืบเมื่ออ้างว่าถูกหลอกลวงเฉพาะบางส่วนของสัญญา
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทำหนังสือให้ไว้แก่โจทก์ว่าจะรื้อถอนอาคารออกไปจากที่ดินของโจทก์ภายในกำหนด โดยจำเลยยินยอมรับเงินค่ารื้อถอนเป็นเงินจำนวนหนึ่ง ครั้นเมื่อโจทก์ให้เงินจำเลยแล้ว และถึงกำหนดเวลาแล้ว จำเลยก็ไม่รื้อจึงขอให้ศาลบังคับ จำเลยรับว่าได้ลงชื่อในสัญญาที่โจทก์อ้างจริง แต่เป็นเพราะถูกโจทก์หลอกลวงให้ลงชื่อโดยความจริงโจทก์จำเลยตกลงกันให้จำเลยรื้ออาคารเพียงส่วนน้อยเพื่อให้ได้ระดับกับห้องแถวที่ปลูกอยู่ข้างเคียง แล้วโจทก์ให้จำเลยลงนามในเอกสารโดยไม่อ่านข้อความให้จำเลยฟัง ดังนี้เป็นเรื่องจำเลยมิได้ปฏิเสธสัญญาที่โจทก์ฟ้องเสียทั้งหมด เป็นแต่กล่าวอ้างว่าไม่ถูกต้องเพียงบางส่วน เช่นนี้จำเลยจึงต้องเป็นฝ่ายนำสืบก่อน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1135/2496
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจ้าของร่วมขายที่ดินโดยไม่ได้รับความยินยอม สัญญาผูกพันเฉพาะส่วนของตน
เจ้าของร่วมเพียงคนเดียวไปทำสัญญาจะขายที่ดินให้แก่เขาหมดทั้งแปลงโดยมิได้รับความยินยอมจากเจ้าของร่วมคนอื่นๆนั้น สัญญาจะซื้อขายนั้นย่อมผูกพันเฉพาะส่วนของเจ้าของร่วมผู้ทำสัญญาจะขายเท่านั้น ไม่ผูกพันส่วนของเจ้าของร่วมคนอื่นด้วย
ฟ้องขอให้จำเลยโอนที่ดินให้ทั้งแปลงตามสัญญา เมื่อปรากฏว่าที่ดินนั้นมีผู้อื่นเป็นเจ้าของร่วมด้วยอีกหลายคน จะให้โอนทั้งแปลงไม่ได้ได้แต่โอนเฉพาะส่วนของจำเลยเท่านั้น ดังนี้ เมื่อคดีไม่ปรากฏว่าส่วนของจำเลยมีอยู่เท่าใด ศาลก็จะพิพากษาให้แบ่งไป ไม่ได้ ได้แต่พิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์เสียเท่านั้นแต่ไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะฟ้องร้องว่ากล่าวเป็นเรื่องใหม่
ฟ้องขอให้จำเลยโอนที่ดินให้ทั้งแปลงตามสัญญา เมื่อปรากฏว่าที่ดินนั้นมีผู้อื่นเป็นเจ้าของร่วมด้วยอีกหลายคน จะให้โอนทั้งแปลงไม่ได้ได้แต่โอนเฉพาะส่วนของจำเลยเท่านั้น ดังนี้ เมื่อคดีไม่ปรากฏว่าส่วนของจำเลยมีอยู่เท่าใด ศาลก็จะพิพากษาให้แบ่งไป ไม่ได้ ได้แต่พิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์เสียเท่านั้นแต่ไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะฟ้องร้องว่ากล่าวเป็นเรื่องใหม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1130/2496
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การโอนทรัพย์สินเพื่อฉ้อฉลเจ้าหนี้หลังมีคำชี้ขาดคดี ทำให้เจ้าหนี้เสียเปรียบ
อำเภอชี้ขาดให้จำเลยชำระค่านายหน้าแก่โจทก์ จำเลยลงชื่อยินยอมปฏิบัติตามสัญญายอมความของอำเภอ ต่อมาอีก 5 วันจำเลยจึงโอนขายที่ดินของจำเลยให้ผู้ร้อง สัญญาระบุว่าซื้อขาย แต่ความจริงไม่มีค่าตอบแทน ดังนี้
เมื่อจำเลยไม่ชำระค่านายหน้าให้โจทก์ๆ ฟ้องคดี จนศาลพิพากษาให้โจทก์ชนะคดี โจทก์ย่อมนำยึดที่ดินของจำเลยดังกล่าวเพื่อการบังคับคดีได้ เพราะการโอนให้ผู้ร้องดังกล่าว เป็นการทำให้โจทก์เสียเปรียบ โจทก์ย่อมขอให้เพิกถอนการฉ้อฉลได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 237
เมื่อจำเลยไม่ชำระค่านายหน้าให้โจทก์ๆ ฟ้องคดี จนศาลพิพากษาให้โจทก์ชนะคดี โจทก์ย่อมนำยึดที่ดินของจำเลยดังกล่าวเพื่อการบังคับคดีได้ เพราะการโอนให้ผู้ร้องดังกล่าว เป็นการทำให้โจทก์เสียเปรียบ โจทก์ย่อมขอให้เพิกถอนการฉ้อฉลได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 237
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1129/2496
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเสนอคดีต่อศาลต้องมีข้อพิพาททางกฎหมาย หากมีคดีมีข้อพิพาทแล้ว ศาลฎีกาสามารถวินิจฉัยข้อเท็จจริงได้
การเสนอคดีต่อศาลนั้น ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 บัญญัติว่าต้องมีข้อโต้แย้งเกี่ยวกับสิทธิหรือหน้าที่ของบุคคลใดตามกฎหมาย หรือบุคคลใดจะใช้สิทธิในทางศาล ซึ่งต้องมีกฎหมายสนับสนุน ไม่ใช่ว่ามีความปรารถนาหรือข้องใจอย่างใดเกิดขึ้นก็มาร้องขอให้ศาลชี้ขาดได้
ในกรณีที่มีผู้ยื่นคำร้องต่อศาลเป็นคดีไม่มีข้อพิพาทแม้จะเป็นเรื่องที่ไม่จำต้องมาร้องต่อศาล ซึ่งศาลย่อมจะต้องยกคำร้องเสียนั้น เมื่อศาลชั้นต้นสั่งรับคำร้องเช่นว่านั้นไว้แล้ว และมีผู้ร้องคัดค้านเข้ามาจนศาลชั้นต้นสั่ง และดำเนินการพิจารณาเป็นคดีมีข้อพิพาทนั้น เรื่องสิทธิเสนอคดีต่อศาลดังกล่าวข้างต้น ก็เป็นอันผ่านไป
ในคดีที่ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโดยอาศัยข้อเท็จจริงศาลอุทธรณ์พิพากษายืนโดยข้อกฎหมาย ยังมิได้วินิจฉัยข้อเท็จจริงนั้น เมื่อคดีขึ้นมาสู่ศาลฎีกาศาลฎีกาย่อมมีอำนาจที่จะฟังข้อเท็จจริง แล้วพิพากษาคดีไปทีเดียวได้ โดยไม่จำต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงใหม่อีก
ในกรณีที่มีผู้ยื่นคำร้องต่อศาลเป็นคดีไม่มีข้อพิพาทแม้จะเป็นเรื่องที่ไม่จำต้องมาร้องต่อศาล ซึ่งศาลย่อมจะต้องยกคำร้องเสียนั้น เมื่อศาลชั้นต้นสั่งรับคำร้องเช่นว่านั้นไว้แล้ว และมีผู้ร้องคัดค้านเข้ามาจนศาลชั้นต้นสั่ง และดำเนินการพิจารณาเป็นคดีมีข้อพิพาทนั้น เรื่องสิทธิเสนอคดีต่อศาลดังกล่าวข้างต้น ก็เป็นอันผ่านไป
ในคดีที่ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโดยอาศัยข้อเท็จจริงศาลอุทธรณ์พิพากษายืนโดยข้อกฎหมาย ยังมิได้วินิจฉัยข้อเท็จจริงนั้น เมื่อคดีขึ้นมาสู่ศาลฎีกาศาลฎีกาย่อมมีอำนาจที่จะฟังข้อเท็จจริง แล้วพิพากษาคดีไปทีเดียวได้ โดยไม่จำต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงใหม่อีก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1127/2496
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การสมคบกระทำผิด แม้ผู้ร่วมกระทำผิดบางคนไม่มีความผิด ก็ไม่ทำให้การสมคบกระทำผิดของผู้อื่นเป็นโมฆะ
ฟ้องว่าจำเลยที่ 2 สมคบกับจำเลยที่ 1 ทำการลักทรัพย์ แม้ศาลจะฟังว่าคดีสำหรับจำเลยที่ 1 นั้นหลักฐานยังไม่พอลงโทษจึงปล่อยตัวจำเลยที่ 1 ไปก็ดี แต่จะถือเอาเป็นเหตุให้ฟังว่า จำเลยที่ 2 ไม่ได้สมคบกระทำผิดดังฟ้องหาได้ไม่ เมื่อคดีสำหรับตัวจำเลยที่ 2 มีพยานหลักฐานฟังได้ ศาลก็ย่อมลงโทษจำเลยที่ 2 ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1126/2496
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจผู้จัดการซื้อสินค้าจากตนเอง: ต้องได้รับความยินยอมจากคณะกรรมการ
กรรมการร้านค้าซึ่งเป็นนิติบุคคล ได้มีมติแต่งตั้งให้ผู้ใดเป็นผู้จัดการร้านค้านั้น ย่อมเป็นเรื่องแต่งตั้งผู้จัดการตามธรรมดา ฉะนั้นผู้จัดการย่อมไม่มีอำนาจที่จะซื้อสินค้าจากร้านของผู้จัดการเอง โดยไม่ได้รับความยินยอมจากคณะกรรมการของร้านค้านั้นก่อน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1125/2496
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การควบคุมตัวผู้ต้องหาและการขังขังเกินสมควรแก่เหตุ ศาลมีอำนาจพิจารณาความจำเป็นในการขัง
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 87 เป็นบทบัญญัติคุ้มครองผู้ต้องหามิให้ต้องถูกควบคุมหรือกักขังนานเกินสมควรแก่เหตุ และความจำเป็น ฉะนั้น เมื่อศาลสั่งไม่ยอมออกหมายขังผู้ต้องหาต่อไปเพราะเห็นว่าไม่มีความจำเป็นที่จะขังแล้ว ก็ไม่เป็นเหตุที่จะอุทธรณ์ฎีกา เพื่อให้ขังผู้ต้องหาต่อไปอีกได้ (ประชุมใหญ่ครั้งที่ 5/96)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1124/2496
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คดีซ้ำซ้อน: ศาลไม่รับฟ้องคดีเดิม หากมีคดีอาญาเดียวกันถูกพิจารณาและมีคำพิพากษาแล้ว แม้ฟ้องก่อน
เจ้าทุกข์เป็นโจทก์ฟ้องจำเลยหาว่าสมคบกันฆ่าบุตรโจทก์ตายโดยไม่เจตนาตาม กฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 251 ศาลจึงสั่งนัดไต่สวน ในระหว่างนั้นอัยการเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยในกรณีเดียวกันนี้ หาว่าจำเลยกับบุตรเจ้าทุกข์วิวาทกันและ บุตรเจ้าทุกข์ตาย ขอให้ลงโทษตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 253
จำเลยรับสารภาพตามที่อัยการฟ้อง ศาลจึงพิพากษาในคดีที่อัยการเป็นโจทก์ฟ้องว่า จำเลยผิดตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 253 คดีถึงที่สุดแล้ว ดังนี้ สำหรับ คดีที่เจ้าทุกข์เป็นโจทก์ฟ้องไว้ก่อนนั้น แม้จะได้ยื่นคำฟ้องไว้ก่อน แต่ศาลก็ยังมิได้ไต่สวนและประทับฟ้อง กรณีจึงต้องด้วย ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(4) ศาลจึงต้องไม่รับฟ้องโจทก์ไว้พิจารณาต่อไป (ประชุมใหญ่ครั้งที่ 5/2496)
จำเลยรับสารภาพตามที่อัยการฟ้อง ศาลจึงพิพากษาในคดีที่อัยการเป็นโจทก์ฟ้องว่า จำเลยผิดตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 253 คดีถึงที่สุดแล้ว ดังนี้ สำหรับ คดีที่เจ้าทุกข์เป็นโจทก์ฟ้องไว้ก่อนนั้น แม้จะได้ยื่นคำฟ้องไว้ก่อน แต่ศาลก็ยังมิได้ไต่สวนและประทับฟ้อง กรณีจึงต้องด้วย ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(4) ศาลจึงต้องไม่รับฟ้องโจทก์ไว้พิจารณาต่อไป (ประชุมใหญ่ครั้งที่ 5/2496)