พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,319 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 793/2492
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาคดีอาญาผูกพันคดีแพ่ง หากมีประเด็นข้อเท็จจริงและคู่ความเดียวกัน
คู่ความได้ขอให้ศาลรอฟังคำพิพากษาคดีอาญา เมื่อศาลอาญาได้พิพากษาชี้ขาดคดีอาญาแล้ว โจทก์ได้แถลงต่อศาลว่าศาลอาญาได้ชี้ขาดว่าผู้ร้องคดีนี้ได้เข้ามาอยู่บ้านรายนี้โดยอาศัยจำเลย ผู้ร้องมิได้โต้แย้งและเมื่อศาลชั้นต้นรับฟังผู้ร้องก็มิได้คัดค้าน ตลอดจนคำอุทธรณ์ของผู้ร้องก็มิได้โต้แย้งความข้อนี้ ฉะนั้นแม้ว่าโจทก์จะได้อ้าง แต่ยังไม่ได้ทำพิธีเรียกสำนวนมา คดีก็ย่อมรับฟังได้ว่าศาลอาญาได้พิพากษาไว้ดังโจทก์แถลงจริง
การวินิจฉัยคดีแพ่งต้องถือข้อเท็จจริงตามคำชี้ขาดของศาลในคดีอาญาซึ่งมีประเด็นข้อเท็จจริงอย่างเดียวกันและคู่ความชุดเดียวกัน
การวินิจฉัยคดีแพ่งต้องถือข้อเท็จจริงตามคำชี้ขาดของศาลในคดีอาญาซึ่งมีประเด็นข้อเท็จจริงอย่างเดียวกันและคู่ความชุดเดียวกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 728/2492
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกระทำความผิดฐานสมคบเพื่อการค้าประเวณีโดยไม่จำกัดอายุผู้เสียหาย
โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยได้สมคบกันเพื่อให้สำเร็จความใคร่ของผู้อื่นจำเลยได้ใช้อุบายทุจริตล่อลวงเป็นธุระจัดหา ล่อ และชักพานางสาวสวิงอายุ 19 ปีไปเพื่อการอนาจาร ดังนี้ การกระทำของจำเลย ควรมีความผิดตามบทบัญญัติแห่ง พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายลักษณะอาญา พ.ศ.2474 มาตรา 3 ตอนท้าย ซึ่งหาได้กำหนดอายุของหญิงเจ้าทุกข์ไว้ด้วยไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 689/2492
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขนย้ายข้าวออกนอกเขตจังหวัด: การพิสูจน์เจตนาและขอบเขตการบังคับใช้ พ.ร.บ.สำรวจและห้ามกักกันข้าว
โจทก์ฟ้องหาว่าจำเลยย้ายข้าวออกนอกเขตในทางทะเลโดยไม่ได้รับอนุญาต เมื่อคดีฟังไม่ได้ว่าจำเลยพยายามจะขนออกมานอกเขตคดีก็ไม่มีทางลงโทษจำเลยตาม พระราชบัญญัติสำรวจและห้ามกักกันข้าว พ.ศ.2489 มาตรา 10,13 เพราะสองมาตรานี้เอาผิดแก่ผู้ขนย้ายข้าวออกนอกเขตซึ่งคณะกรรมการกำหนด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 673/2492
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
พยายามปล้นทรัพย์ด้วยการขู่เข็ญและต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงาน
จำเลยกับพวกรวมกันกว่า 3 คน มีศาตราวุธมาเรียกผู้เสียหายในเวลาดึก เพื่อทำการชิงทรัพย์ แต่หากผู้เสียหายรู้ทันไม่ยอมเปิด และเจ้าพนักงานตำรวจเข้าจับเสียก่อน ทั้งพวกจำเลยยังได้ใช้ปืนยิงต่อสู้เจ้าพนักงานเพื่อให้หลีกเลี่ยงให้พ้นอาญาอีก ดังนี้ ย่อมเป็นความผิดฐานพยายามปล้นทรัพย์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 667/2492
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การคุ้มครองสัญญาเช่าตามพ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่าฯ เมื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัยควบคู่กับที่เก็บสินค้า
ปัญหาโต้เถียงกันว่า สัญญาเช่าจะได้รับความคุ้มครองตามพะราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าฯ หรือไม่นั้น เมื่อตามสัญญาเช่าที่รับกัน ปรากฏว่าเช่าเพื่อเป็นที่ไว้เฉพาะแต่สินค้าเท่านั้น แต่จำเลยยังเถียงอยู่ว่า จำเลยและบริวารได้ใช้เป็นที่อยู่อาศัยด้วยโดยโจทก์รู้เห็นยินยอมมิว่ากล่าวทักท้วงประการใด ซึ่งเป็นประเด็นโต้เถียงกันในข้อเท็จจริง ซึ่งศาลต้องดำเนินการสืบพยานฟังข้อเท็จจริงกันต่อไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 665/2492
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การปล้นทรัพย์โดยใช้ปืนขู่และยิงจริง รวมถึงการสมคบกันกระทำผิด แม้ไม่มีเจตนาตั้งแต่แรก
โจทก์ฟ้องหาว่าจำเลยปล้นทรัพย์โดยใช้ปืนยิงขู่ การใช้ปืนยิงขู่ก็เป็นการขู่เข็ญว่าจะทำร้าย และทางพิจารณาก็ได้ความว่าจำเลยได้ใช้ปืน ทั้งยิงขู่และยิงจริง เข้าลักษณะปล้นสมฟ้องแล้ว
จำเลยกับพวกได้มาร่วมมือกันใช้ปืนทั้งยิงขู่และยิงจริงโดยจำเลยมิได้แก้ตัวว่าได้เจตนากระทำเพื่ออะไร และทางพิจารณาก็ไม่ได้ความว่าเพื่อเหตุอื่นใด จึงต้องฟังตามกรรมของจำเลยว่าได้สมคบกันมาปล้นแม้ในเบื้องต้นมิได้มีเจตนาสมคบกันมาปล้นแต่ในภายหลังได้ร่วมมือกันทำการปล้นแล้ว ก็ต้องมีความผิดฐานปล้น
คำฟ้องของโจทก์มิได้กล่าวหาว่าจำเลยได้ทำให้คนตายในการปล้น แต่ได้แยกการฆ่านั้นไว้อีกกระทงหนึ่งต่างหากต่างกรรมต่างวาระกันในชั้นฎีกาศาลฎีกาก็ลงโทษจำเลยเพียงฐานปล้นทรัพย์ตามมาตรา 301 ตอนต้นเท่านั้น
จำเลยกับพวกได้มาร่วมมือกันใช้ปืนทั้งยิงขู่และยิงจริงโดยจำเลยมิได้แก้ตัวว่าได้เจตนากระทำเพื่ออะไร และทางพิจารณาก็ไม่ได้ความว่าเพื่อเหตุอื่นใด จึงต้องฟังตามกรรมของจำเลยว่าได้สมคบกันมาปล้นแม้ในเบื้องต้นมิได้มีเจตนาสมคบกันมาปล้นแต่ในภายหลังได้ร่วมมือกันทำการปล้นแล้ว ก็ต้องมีความผิดฐานปล้น
คำฟ้องของโจทก์มิได้กล่าวหาว่าจำเลยได้ทำให้คนตายในการปล้น แต่ได้แยกการฆ่านั้นไว้อีกกระทงหนึ่งต่างหากต่างกรรมต่างวาระกันในชั้นฎีกาศาลฎีกาก็ลงโทษจำเลยเพียงฐานปล้นทรัพย์ตามมาตรา 301 ตอนต้นเท่านั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 663/2492
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาเช่าเพื่อค้าขายไม่คุ้มครองตาม พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่า ผู้เช่าช่วงไม่มีสิทธิอ้างคุ้มครองกับเจ้าของที่ดิน
จำเลยทำสัญญาเช่าที่ดินจากโจทก์ไปเพื่อปลูกเป็นอาคารให้ผู้อื่นเช่าทำการค้าขาย เมื่อโจทก์บอกเลิกแล้ว ก็เป็นอันยุติจำเลยไม่ได้รับความคุ้มครองตาม พระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าฯ แต่อย่างใดเลย
เมื่อจำเลยไม่มีสิทธิที่จะคงเช่าอยู่ต่อไปแล้วผู้ที่เช่าจากจำเลยก็ไม่มีทางที่จะอ้าง พระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าฯมาคุ้มครองหรือใช้ยันแก่โจทก์ได้ เพราะบุคคลเหล่านี้มิใช่เป็นผู้เช่าจากโจทก์ (อ้างฎีกาที่1216/2491)
เมื่อจำเลยไม่มีสิทธิที่จะคงเช่าอยู่ต่อไปแล้วผู้ที่เช่าจากจำเลยก็ไม่มีทางที่จะอ้าง พระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าฯมาคุ้มครองหรือใช้ยันแก่โจทก์ได้ เพราะบุคคลเหล่านี้มิใช่เป็นผู้เช่าจากโจทก์ (อ้างฎีกาที่1216/2491)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 643/2492
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาเช่าและกรรมสิทธิ์สิ่งปลูกสร้าง: ผู้ให้เช่าต้องแจ้งล่วงหน้าและปฏิบัติตามสัญญา
โจทก์ฟ้องขอให้ศาลแสดงว่าโรงเรือนและรั้วสังกะสีซึ่งผู้เช่าปลูกขึ้นเป็นของโจทก์ ซึ่งตามสัญญาเช่าที่ดินมีความว่า 'บรรดารั้ว และโรงเรือนต่างๆที่ผู้เช่าได้ปลูกสร้างลงในที่ดินของผู้ให้เช่าเมื่อจะครบกำหนดสัญญา 15 ปีแล้วผู้ให้เช่าไม่มีความประสงค์จะให้ผู้เช่ากระทำการต่อไปแล้ว ผู้ให้เช่าจะแจ้งให้ผู้เช่าทราบล่วงหน้าก่อนกำหนด 15 ปี เป็นเวลา 6 เดือนเมื่อครบ 15 ปีแล้วผู้เช่าต้องรื้อถอนขนเอาไปให้หมดสิ้น ภายในเวลา 3เดือน ถ้าพ้น 3 เดือนไปแล้ว จะต้องตกเป็นของผู้ให้เช่า ผู้เช่าจะรื้อถอนขนเอาไปไม่ได้เป็นอันขาด' สัญญาข้อนี้หมายความว่าถ้าผู้ให้เช่าประสงค์จะไม่ให้อยู่เมื่อครบ 15 ปี ผู้ให้เช่าต้องบอกล่วงหน้า 6 เดือนและผู้เช่าต้องรื้อสิ่งปลูกสร้างไปภายใน 3 เดือน(แต่วันครบกำหนดตามสัญญาเช่า) มิฉะนั้นสิ่งปลูกสร้างตกเป็นของผู้ให้เช่า เมื่อผู้ให้เช่ามิได้ปฏิบัติตามข้อสัญญาดังกล่าวแล้ว และเมื่อก่อนถึงกำหนด 3 เดือน ยังซ้ำให้บุคคลภายนอกเช่าแต่ที่ดินในราคาค่าเช่าเท่ากับสัญญาฉบับก่อนต่อมาอีก โดยไม่ได้ระบุถึงสิ่งปลูกสร้างเลยดังนั้น โดยข้อความตามสัญญาก็ดี โดยพฤติการณ์ที่ปฏิบัติก็ดี โจทก์จะถือว่าสิ่งปลูกสร้างรายนี้ตกเป็นของโจทก์ไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 642/2492
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การตีความคำว่า 'อับเฉา' ในกฎหมายศุลกากร: ความหมายตามพจนานุกรมและข้อเท็จจริงเป็นสำคัญ
ตามมาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติศุลกากรแก้ไขเพิ่มเติม(ฉบับที่ 3)2474ซึ่งแก้ไขมาตรา 49 พระราชบัญญัติศุลกากร2469 หมายถึง เรือที่ที่บรรทุกสินค้าหรือมิฉะนั้นก็เป็นเรือที่ไม่ได้บรรทุกสินค้าแต่เป็นเรือที่ต้องมีอับเฉา
โจทก์ยอมรับอยู่แล้วว่าอับเฉาหมายถึงของหนักอื่นๆที่ถ่วงท้องเรือกันมิให้เรือโคลง โจทก์จะขอสืบพยานเพื่อแปลความหมายของคำว่า อับเฉาให้เป็นอย่างอื่น หาได้ไม่
(อ้างฎีกา 6/2484)
โจทก์ยอมรับอยู่แล้วว่าอับเฉาหมายถึงของหนักอื่นๆที่ถ่วงท้องเรือกันมิให้เรือโคลง โจทก์จะขอสืบพยานเพื่อแปลความหมายของคำว่า อับเฉาให้เป็นอย่างอื่น หาได้ไม่
(อ้างฎีกา 6/2484)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 640/2492
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตอำนาจตำรวจนอกเหนือหน้าที่และการตรวจค้น พนักงานเจ้าหน้าที่ต้องส่งของกลาง
ตำรวจที่ลาราชการไปธุระต่างท้องที่นั้น คงเป็นตำรวจอยู่นั่นเองเมื่อไปทำการตรวจค้นบุคคลใดในที่สาธารณะสถานย่อมได้รับความคุ้มครองตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 93
จำเลยเป็นตำรวจ ได้ลาราชการมา และได้ทำการตรวจค้นผู้พกสนับมือแล้วไม่นำสนับมือกับผู้นั้นส่งต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ย่อมมีความผิดตาม กฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 131,142
(อ้างฎีกา 140/2490)
ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุกจำเลย 1 ปี 6 เดือนตามมาตรา127,128,293 ศาลอุทธรณ์แก้ว่าจำเลยมีผิดตามมาตรา 293 กระทงเดียวกำหนดโทษยืนตามนั้น จำเลยฎีกาในข้อเท็จจริงไม่ได้ต้องห้ามตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218
จำเลยเป็นตำรวจ ได้ลาราชการมา และได้ทำการตรวจค้นผู้พกสนับมือแล้วไม่นำสนับมือกับผู้นั้นส่งต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ย่อมมีความผิดตาม กฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 131,142
(อ้างฎีกา 140/2490)
ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุกจำเลย 1 ปี 6 เดือนตามมาตรา127,128,293 ศาลอุทธรณ์แก้ว่าจำเลยมีผิดตามมาตรา 293 กระทงเดียวกำหนดโทษยืนตามนั้น จำเลยฎีกาในข้อเท็จจริงไม่ได้ต้องห้ามตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218