คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.พ.พ. ม. 412

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 39 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1915/2531

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ตัวแทนรับฝากเช็คไม่ต้องรับผิดคืนเงิน หากมอบเงินให้ผู้ฝากแล้ว การคืนลาภมิควรได้คิดดอกเบี้ยจากวันฟ้อง
ผู้รับฝากเช็คไปเบิกเงินแทนแม้เป็นเช็คสั่งจ่ายแก่ผู้ถือก็มิใช่ผู้ทรง เป็นเพียงตัวแทนรับฝากเช็คไปเบิกเงินเท่านั้น
การคืนลาภมิควรได้ซึ่งเป็นเงินในกรณีที่รับไว้โดยสุจริตนั้น จะต้องคืนเพียงส่วนที่ยังมีอยู่ในขณะเมื่อเรียกคืนตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 412 การคิดดอกเบี้ยจึงเริ่มคิดคำนวณตั้งแต่วันฟ้องซึ่งเป็นเวลาในขณะที่โจทก์เรียกคืนเป็นต้นไป.(ที่มา-ส่งเสริม)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1164/2520

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การคืนเงินภาษีการค้าที่ชำระเกินเนื่องจากโจทก์ไม่ใช่ผู้ประกอบการค้าตามกฎหมาย
แม้โจทก์จดทะเบียนประกอบการค้าไว้ในฐานะผู้นำเข้าและผู้ผลิตก็ตามแต่เมื่อได้ความว่าโจทก์นำวัตถุดิบต่าง ๆ เข้ามาเพื่อใช้ผลิตเป็นสินค้าเพื่อขาย มิได้นำมาเพื่อขายในขณะที่เป็นวัตถุดิบ โจทก์จึงไม่ใช่ผู้ประกอบการค้าตามความหมายในประมวลรัษฎากร มาตรา 77 คือโจทก์ไม่ต้องเสียภาษีการค้าตามที่ระบุไว้ในบัญชีอัตราภาษีการค้าและรายการที่ประกอบการค้าตามมาตรา 78 วรรคแรก และโจทก์ไม่ต้องเสียภาษีการค้าในกรณีที่ให้ถือว่าโจทก์ซึ่งเป็นผู้นำเข้าเป็นผู้ประกอบการค้าตามมาตรา 78 วรรคสอง (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 1606/2512) และเมื่อโจทก์มิได้เป็นผู้ประกอบการค้าวัตถุดิบต่างๆ เพื่อขายโดยเฉพาะ ก็จะถือว่าการที่โจทก์นำวัตถุดิบต่างๆ เข้ามาเพื่อใช้ผลิตสินค้าเป็นการขายสินค้าตามมาตรา 79 ทวิ (3) ไม่ได้ด้วย โจทก์จึงไม่ต้องเสียภาษีการค้าสำหรับวัตถุดิบในฐานะผู้นำเข้า
โจทก์ไม่มีหน้าที่ต้องเสียภาษีการค้าสำหรับวัตถุดิบที่นำเข้า แต่โจทก์ได้นำส่งเงินเป็นภาษีการค้าสำหรับวัตถุดิบที่นำเข้านั้นไว้ต่อกรมสรรพากรจำเลยดังนี้ถือว่าโจทก์ได้ชำระไปโดยการเก็บภาษีการค้าของจำเลยซึ่งเป็นการเก็บโดยอาศัยกฎหมายบัญญัติให้เก็บ หาใช่เก็บโดยไม่มีมูลที่จะอ้างได้ตามกฎหมายไม่ จึงไม่อยู่ในลักษณะลาภมิควรได้ทั้งกรณีเช่นนี้ไม่มีการประเมินเรียกเก็บ โจทก์จึงไม่ต้องอุทธรณ์การประเมินตามประมวลรัษฎากร มาตรา 30 โจทก์มีอำนาจฟ้องเรียกคืนเงินภาษีการค้าที่ชำระไปได้ภายในอายุความ 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164 และเมื่อมิใช่ลาภมิควรได้กรณีจึงไม่เข้าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 412, 419 กรมสรรพากรจำเลยจึงจะอ้างว่าภาษีที่โจทก์ชำระไปแล้วเป็นรายได้ของรัฐ รัฐได้ใช้จ่ายหมดไปทุกปีตามงบประมาณโดยสุจริตไม่มีสิทธิเรียกคืนหาได้ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1164/2520 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การคืนภาษีการค้าสำหรับวัตถุดิบนำเข้าที่ไม่ใช่ผู้ประกอบการค้าตามประมวลรัษฎากร
แม้โจทก์จดทะเบียนประกอบการค้าไว้ในฐานะผู้นำเข้าและผู้ผลิตก็ตามแต่เมื่อได้ความว่าโจทก์นำวัตถุดิบต่าง ๆ เข้ามาเพื่อใช้ผลิตเป็นสินค้าเพื่อขาย มิได้นำมาเพื่อขายในขณะที่เป็นวัตถุดิบ โจทก์จึงไม่ใช่ผู้ประกอบการค้าตามความหมายในประมวลรัษฎากร มาตรา 77 คือโจทก์ไม่ต้องเสียการค้าตามที่ระบุไว้ในบัญชีอัตราภาษีการค้าและรายการที่ประกอบการค้าตามมาตรา 78 วรรคแรก และโจทก์ไม่ต้องเสียภาษีการค้าในกรณีที่ให้ถือว่าโจทก์ซึ่งเป็นผู้นำเข้าเป็นผู้ประกอบการค้าตามมาตรา 78 วรรคสอง (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 1606/2512) และเมื่อโจทก์มิได้เป็นผู้ประกอบการค้าวัตถุดิบต่าง ๆ เพื่อขายโดยเฉพาะ ก็จะถือว่าการที่โจทก์นำวัตถุดิบต่าง ๆ เข้ามาเพื่อใช้ผลิตสินค้าเป็นการขายสินค้าตามมาตรา 79 ทวิ (3) ไม่ได้ด้วย โจทก์จึงไม่ต้องเสียภาษีการค้าสำหรับวัตถุดิบในฐานะผู้นำเข้า
โจทก์ไม่มีหน้าที่ต้องเสียภาษีการค้าสำหรับวัตถุดิบที่นำเข้า แต่โจทก์ได้นำส่งเงินเป็นภาษีการค้าสำหรับวัตถุดิบที่นำเข้านั้นไว้ต่อกรมสรรพากรจำเลย ดังนี้ถือว่าโจทก์ได้ชำระไปโดยการเก็บภาษีการค้าของจำเลยซึ่งเป็นการเก็บโดยอาศัยกฎหมายบัญญัติให้เก็บ หาใช่เก็บโดยไม่มีมูลที่จะอ้างได้ตามกฎหมายไม่ จึงไม่อยู่ในลักษณะลาภมิควรได้ ทั้งกรณีเช่นนี้ไม่มีการประเมินเรียกเก็บ โจทก์จึงไม่ต้องอุทธรณ์การประเมินตามประมวลรัษฎากร มาตรา 30 โจทก์มีอำนาจฟ้องเรียกคืนเงินภาษีการค้าที่ชำระไปได้ภายในอายุความ 10 ปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164 และเมื่อมิใช่ลาภมิควรได้กรณีจึงไม่เข้าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 412, 419 กรมสรรพากรจำเลยจึงจะอ้างว่ากรณีที่โจทก์ชำระไปแล้วเป็นรายได้ของรัฐ รัฐได้ใช้จ่ายหมดไปทุกปีตามงบประมาณโดยสุจริตไม่มีสิทธิเรียกคืนหาได้ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 755/2506

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเบิกจ่ายเงินเกินระเบียบของเทศบาล: จำเลยต้องคืนเงินที่เบิกเกินไป แม้จะอ้างสุจริตไม่ได้
จำเลยให้การว่า ระเบียบและคำสั่งของกระทรวงมหาดไทยขัดต่อพระราชกฤษฎีกาและปลัดกระทรวงก็ไม่มีอำนาจลงนามในระเบียบและคำสั่ง โดยหาได้ยกข้อเท็จจริงขึ้นกล่าวอ้างว่าขัดต่อพระราชกฤษฎีกาบทใดข้อใดและเหตุใดปลัดกระทรวงจึงไม่มีอำนาจลงนามนั้นถือว่าไม่มีประเด็นที่ศาลจะต้องวินิจฉัยให้
จำเลยจะอ้างว่าไม่ต้องคืนลาภมิควรได้ก็ต่อเมื่อจำเลยเป็นผู้รับเงินไว้โดยสุจริตหากจำเลยเป็นผู้สั่งให้จ่ายเงินฝ่าฝืนระเบียบให้แก่ตนเองแล้ว ก็จะอ้างว่ารับเงินไว้โดยสุจริตมิได้ จำเลยจึงต้องคืนเงินที่รับเกินไป

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 755/2506 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเบิกจ่ายเงินเกินระเบียบและสุจริต: จำเลยสั่งจ่ายเงินให้ตนเองเกินกว่าที่กำหนด จึงไม่อาจอ้างสุจริตได้
จำเลยให้การว่า ระเบียบและคำสั่งของกระทรวงมหาดไทยขัดต่อพระราชกฤษฎีกาและปลัดกระทรวงก็ไม่มีอำนาจลงนามในระเบียบและคำสั่ง โดยหาได้ยกข้อเท็จจริงขึ้นกล่าวอ้างขัดต่อพระราชกฤษฎีกาบทใดข้อใดและเหตุใดปลัดกระทรวงจึงไม่มีอำนาจลงนามนั้น ถือว่าไม่มีประเด็นที่ศาลจะต้องวินิจฉัยให้
จำเลยจะอ้างว่าไม่ต้องคืนลาภมิควรได้ได้ก็ต่อเมื่อจำเลยเป็นผู้รับเงินไว้โดยสุจริตหากจำเลยเป็นผู้สั่งให้จ่ายเงินฝ่าฝืนระเบียบให้แก่ตนเองแล้ว ก็จะอ้างว่ารับเงินไว้โดยสุจริตมิได้ จำเลยจึงต้องคืนเงินที่รับเกินไป.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 433/2503

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ที่ดินธรณีสงฆ์ขายทอดตลาด: จำเลยไม่ต้องรับผิดชำระเงินคืน แม้โจทก์ซื้อแล้ว เพราะไม่ใช่ความผิดจำเลย
โจทก์ซื้อที่ดินจากการขายทอดตลาดของศาลเงินได้ชำระให้แก่เจ้าหนี้ของจำเลยตามคำพิพากษาไปหมดแล้ว ภายหลังปรากฏว่า ที่ดินที่ขายทอดตลาดของศาลเป็นที่ธรณีสงฆ์ โอนกรรมสิทธิ์ไม่ได้โดยไม่ใช่ความผิดของจำเลย ตั้งแต่ยึดจนกระทั่งขาย คือ เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาเป็นฝ่ายนำยึดศาลสั่งขาย จำเลยหาได้เกี่ยวข้องด้วยไม่ ทั้งจำเลยไม่ได้รับเงินค่าซื้อขายที่ดินอันไม่มีมูลหนี้จะต้องใช้คืนแก่โจทก์ จำเลยไม่ได้มาซึ่งทรัพย์สิ่งใด คดีไม่เข้าลักษณะลาภมิควรได้ โจทก์จะเรียกเงินคืนจากจำเลยไม่ได้ (ประชุมใหญ่ครั้งที่ 1/2503)
ผู้แทนเจ้าหนี้ตามคำพิพากษานำเจ้าพนักงานยึดทรัพย์ของจำเลยเป็นเหตุให้โจทก์ในคดีนี้ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกต้องเสียหาย เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาในคดีก่อนควรเป็นผู้รับผิดชอบในการยึดและขายทรัพย์สินโดยมิชอบนี้ หาใช่จำเลยไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 433/2503 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ที่ดินธรณีสงฆ์ขายทอดตลาด: จำเลยไม่ต้องรับผิดคืนเงินค่าที่ดิน ผู้เสียหายควรเรียกร้องจากเจ้าหนี้
โจทก์ซื้อที่ดินจากการขายทอดตลาดของศาล เงินได้ชำระให้แก่เจ้าหนี้ของจำเลยตามคำพิพากษาไปหมดแล้ว ภายหลังปรากฏว่า ที่ดินที่ขายทอดตลาดของศาลเป็นที่ธรณีสงฆ์ โอนกรรมสิทธิ์ไม่ได้ โดยไม่ใช่ความผิดของจำเลย ตั้งแต่ยึดจนกระทั้งขาย คือ เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาเป็นฝ่ายนำยึด ศาลสั่งขาย จำเลยหาได้เกี่ยวข้องด้วยไม่ ทั้งจำเลยไม่ได้รับเงินค่าซื้อขายที่ดินอันไม่มีมูลหนี้จะต้องใช้คืนแก่โจทก์ จำเลยไม่ได้มาซึ่งทรัพย์สิ่งใด คดีไม่เข้าลักษณะลาภมิควรได้ โจทก์จะเรียกเงินคืนจากจำเลยไม่ได้
(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 1/2503)
ผู้แทนเจ้าหนี้ตามคำพิพากษานำเจ้าพนักงานยึดทรัพย์ของจำเลยเป็นเหตุให้โจทก์ในคดีนี้ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกต้องเสียหาย เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาในคดีก่อนควรเป็นผู้รับผิดชอบในการยึดและขายทรัพย์สินโดยมิชอบนี้ หาใช่จำเลยไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1785/2492

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การหลอกลวงให้มอบเงินเพื่อจัดการเรื่องอากรแสตมป์แล้วนำไปใช้ส่วนตัว จำเลยต้องคืนเงินให้โจทก์
โจทก์มอบเงินให้จำเลยไปตามที่จำเลยหลอกลวงว่าจะนำใบรับเงินที่ไม่ได้ปิดอากรแสตมป์ไปให้เจ้าพนักงานปิดอากรแสตมป์ให้บริบูรณ์ มิฉะนั้นจะมีโทษ แล้วจำเลยเอาเงินนั้นไปเป็นประโยชน์ตนเสีย โดยมิได้จัดการประการใดนั้น โจทก์เรียกเงินคืนจากจำเลยได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1785/2492 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การคืนเงินที่ชำระเพื่อหลีกเลี่ยงโทษทางภาษี แต่จำเลยไม่ได้ดำเนินการตามที่ตกลง
โจทก์มอบเงินให้จำเลยไปตามที่จำเลยหลอกลวงว่าจะนำใบรับเงินที่ไม่ได้ปิดอากรแสตมป์ไปให้เจ้าพนักงานปิดอากรแสตมป์ให้บริบูรณ์ มิฉะนั้นจะมีโทษ แล้วจำเลยเอาเงินนั้นไปเป็นประโยชน์ตนเสีย โดยมิได้จัดการประการใดนั้น โจทก์เรียกเงินคืนจากจำเลยได้.
of 4