คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.อ. ม. 277

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 179 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1839/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การกระทำอนาจารและการพรากผู้เยาว์: การพิจารณาเจตนาในการกระทำความผิดทางเพศ
จำเลยพาผู้เสียหายไปที่ป่าละเมาะและใช้อวัยวะเพศของจำเลยทิ่มตำอวัยวะเพศของผู้เสียหายกับใช้นิ้วชี้ใส่เข้าไปในอวัยวะเพศของผู้เสียหายแล้วใช้มือของจำเลยชักอวัยวะเพศของตนจนสำเร็จความใคร่ด้วยตนเองโดยไม่มีเจตนากระทำชำเราผู้เสียหายการกระทำของจำเลยจึงเป็นการกระทำอนาจารแก่ผู้เสียหายและพรากผู้เสียหายไปจากบิดามารดาผู้ดูแลเท่านั้นหาใช่เป็นความผิดฐานพยายามกระทำชำเราผู้เสียหายไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1839/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การกระทำอนาจารและการพรากผู้เยาว์: ไม่เข้าข่ายพยายามกระทำชำเรา
จำเลยพาผู้เสียหายไปที่ป่าละเมาะและใช้อวัยวะเพศของจำเลยทิ่มตำอวัยวะเพศของผู้เสียหายกับใช้นิ้วชี้ใส่เข้าไปในอวัยวะเพศของผู้เสียหาย แล้วใช้มือของจำเลยชักอวัยวะเพศของตนจนสำเร็จความใคร่ด้วยตนเอง โดยไม่มีเจตนากระทำชำเราผู้เสียหาย การกระทำของจำเลยจึงเป็นการกระทำอนาจารแก่ผู้เสียหายและพรากผู้เสียหายไปจากบิดามารดาผู้ดูแลเท่านั้น หาใช่เป็นความผิดฐานพยายามกระทำชำเราผู้เสียหายไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1839/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การกระทำอนาจารเด็กชายและการพรากผู้เยาว์ ศาลฎีกาตัดสินว่าพฤติการณ์ไม่ถึงขั้นพยายามข่มขืน
จำเลยพาผู้เสียหายไปที่ป่าละเมาะและใช้อวัยวะเพศของจำเลยทิ่มตำอวัยวะเพศของผู้เสียหายกับใช้นิ้วชี้ใส่เข้าไปในอวัยวะเพศของผู้เสียหายแล้วจำเลยสำเร็จความใคร่ด้วยตนเองจึงเป็นการพรากผู้เสียหายไปจากบิดามารดาผู้ดูแลและกระทำอนาจารแก่ผู้เสียหายเท่านั้นหาใช่เป็นความผิดฐาน พยายามกระทำชำเราผู้เสียหายไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1131/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กรรมเดียวหรือหลายกรรม: เจตนาของผู้กระทำเป็นสำคัญ แม้กระทำผิดหลายฐานในคราวเดียว
การพิจารณาว่าการกระทำเป็นกรรมเดียวหรือหลายกรรมต่างกันมิใช่จะพิจารณาแต่เพียงว่าถ้าเป็นการกระทำความผิดหลายฐานในครั้งเดียวคราวเดียวแล้วจะต้องเป็นกรรมเดียวเสมอไป การกระทำผิดหลายฐานในครั้งเดียวคราวเดียวอาจเป็นหลายกรรมต่างกันได้ หากผู้กระทำมีเจตนาที่จะให้เกิดผลต่างกันหรือประสงค์จะให้เกิดผลเป็นความผิดหลายฐาน จำเลยพยายามข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายและพรากผู้เสียหายไปจากมารดาของผู้เสียหาย ซึ่งได้กระทำในคราวเดียวกัน อันเป็นความผิดต่อผู้เสียหายกับเป็นความผิดต่อมารดาผู้เสียหาย ถือได้ว่าจำเลยมีเจตนากระทำความผิดให้เกิดผลในกรรมในความผิดต่างฐานต่างหากจากกัน จึงเป็นความผิดหลายกรรม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 968/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรับฟังพยานหลักฐานในคดีชำเรา ความเชื่อมโยงระหว่างข้อเท็จจริงในฟ้องและคำวินิจฉัยของศาล
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยกระทำชำเราผู้เสียหายไม่สำเร็จเพราะอวัยวะเพศของผู้เสียหายมีขนาดเล็กและผู้เสียหายหนีบขาไว้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า จำเลยกระทำชำเราผู้เสียหายแต่ผลการตรวจของแพทย์ไม่พบร่องรอยการร่วมประเวณีคงเป็นเพราะอวัยวะเพศของผู้เสียหายเล็กเกินไปจนอวัยวะเพศของจำเลยล่วงล้ำเข้าไปลึกเพียงเล็กน้อยเท่านั้น และตรวจหลังเกิดเหตุถึง 3 วัน ดังนี้ ข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ จึงหาแตกต่างกับข้อเท็จจริงดังที่กล่าวในฟ้องไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1774/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ขอบเขตการลงโทษจำเลยตามคำฟ้อง: ศาลจำกัดการลงโทษเฉพาะความผิดที่โจทก์ฟ้องเท่านั้น
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยได้พรากเด็กหญิงผู้เสียหายไปเพื่อการอนาจารและข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายจนสำเร็จความใคร่โดยผู้เสียหายไม่ยินยอมขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277,317,90 ซึ่งมิได้มีรายละเอียดให้เห็นว่าโจทก์ประสงค์ให้ลงโทษทุกกรรม ทั้งอ้างประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 มาด้วย ดังนี้แม้ทางพิจารณาได้ความว่าจำเลยกระทำความผิดฐานพรากผู้เยาว์กับข่มขืนกระทำชำเรา อันเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ศาลจะลงโทษจำเลยในแต่ละกรรมนอกเหนือจากคำฟ้องและคำขอของโจทก์หาได้ไม่ ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ โดยให้ลงโทษในความผิดฐานพรากผู้เยาว์ตาม มาตรา 317 วรรคสาม กรรมเดียว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 591/2536 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การปรับบทลงโทษในคดีพรากเด็กและกระทำชำเรา การพิพากษาต้องถูกต้องตามวรรคของกฎหมาย
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยพรากเด็กหญิง พ.อายุ 14 ปีเศษยังไม่เกิน 15 ปี ไปเสียจากบิดาและผู้ปกครองโดยปราศจากเหตุอันสมควรและเพื่อการอนาจาร และในวันที่เกิดเหตุนั้น จำเลยได้กระทำชำเราเด็กหญิง พ. ซึ่งมิใช่ภริยาของตนโดยเด็กหญิง พ.ไม่ยินยอม ฟ้องของโจทก์ดังกล่าวนี้แสดงว่า โจทก์ประสงค์จะให้ลงโทษจำเลยในความผิดข้อหากระทำชำเราตาม ป.อ.มาตรา 277วรรคแรก กระทงหนึ่ง และในความผิดข้อหาพรากเด็กไปเสียจากบิดามารดาหรือผู้ปกครองโดยปราศจากเหตุอันสมควรและเพื่อการอนาจารตาม ป.อาญามาตรา 317 วรรคสาม อีกกระทงหนึ่ง แม้ความผิดทั้งสองข้อหาโจทก์มิได้ระบุวรรคมาก็ตาม ฟ้องโจทก์ก็เป็นฟ้องที่สมบูรณ์ตามกฎหมาย แต่เมื่อความผิดตามมาตรา 317 วรรคสาม มีอัตราโทษอย่างต่ำจำคุกตั้งแต่ 5 ปี ขึ้นไป หากจำเลยให้การรับสารภาพก็เป็นหน้าที่ของโจทก์ที่จะต้องนำสืบพยานหลักฐานประกอบคำรับสารภาพของจำเลยและศาลจะต้องฟังพยานหลักฐานโจทก์ดังกล่าวจนกว่าจะพอใจว่าจำเลยได้กระทำผิดจริงตาม ป.วิ.อ.มาตรา 176 เมื่อโจทก์แถลงไม่ติดใจสืบพยานโจทก์จึงไม่มีพยานหลักฐานที่จะให้ศาลฟังลงโทษจำเลยในบทมาตราดังกล่าวได้อย่างไรก็ตามเมื่อความผิดในมาตราดังกล่าวในวรรคแรกมีอัตราโทษจำคุกอย่างต่ำตั้งแต่ 3 ปี ขึ้นไป ไม่อยู่ในบังคับที่โจทก์จะต้องสืบพยานประกอบคำรับสารภาพของจำเลย และศาลไม่จำต้องฟังพยานหลักฐานของโจทก์เสียก่อน หากศาลจะพิพากษาลงโทษจำเลยตามคำรับสารภาพ ศาลก็คงลงโทษจำเลยในบทมาตราดังกล่าวได้เฉพาะในวรรคแรกเท่านั้น ดังนั้น คดีนี้แม้ศาลชั้นต้นจะฟังว่าจำเลยกระทำผิดตามฟ้องและลงโทษจำเลยตาม มาตรา 317 โดยมิได้ระบุวรรคซึ่งเป็นการไม่ถูกต้องแต่ก็มิได้หมายความว่า ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยตาม มาตรา 317 วรรคสามหากศาลอุทธรณ์จะพิพากษาแก้โดยปรับบทลงโทษและลงโทษจำเลยใหม่ให้ถูกต้องก็มีอำนาจกระทำได้ แต่การที่ศาลอุทธรณ์ปรับบทลงโทษจำเลยว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 317 วรรคสาม ทั้งวางโทษจำเลยโดยอาศัยบทมาตราดังกล่าว จึงเป็นการไม่ถูกต้อง ปัญหาดังกล่าวนี้เป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาชอบที่จะยกขึ้นวินิจฉัย และแก้ไขเสียให้ถูกต้องได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 31/2536 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดฐานกระทำชำเราเด็กหญิง: ศาลลงโทษตามข้อเท็จจริงที่ได้ความในการพิจารณา แม้มีข้อแตกต่างในรายละเอียด
ข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในทางพิจารณาฟังได้ว่า จำเลยกระทำผิดฐานกระทำชำเราเด็กหญิงอายุยังไม่เกินสิบสามปีในคืนวันที่ 11 ธันวาคม2533 เวลากลางคืนหลังเที่ยง เวลาเกิดเหตุดังกล่าวแตกต่างกับข้อเท็จจริงในฟ้อง ซึ่งกล่าวว่าเหตุเกิดวันที่ 11 ธันวาคม 2533 เวลากลางคืนก่อนเที่ยง เป็นเพียงข้อแตกต่างในรายละเอียดซึ่งมิใช่ข้อสาระสำคัญ ทั้งจำเลยนำสืบสู้คดีเพียงว่าวันที่ 2 ธันวาคม 2533 ผู้เสียหายไปนอนค้างที่กระท่อมของจำเลย และเห็นจำเลยร่วมเพศกับมารดาผู้เสียหาย เช้าวันรุ่งขึ้นผู้เสียหายจึงกลับไปอยู่บ้านยายแล้วไม่มาที่กระท่อมของจำเลยอีกเลย ข้อเท็จจริงที่จำเลยนำสืบเป็นการกล่าวอ้างถึงเวลาก่อนเกิดเหตุหลายวันไม่เกี่ยวข้องกับเวลาเกิดเหตุตามฟ้อง แสดงว่าจำเลยมิได้หลงต่อสู้ จึงลงโทษจำเลยตามข้อเท็จจริงที่ได้ความในการพิจารณาดังกล่าวได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคสอง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 31/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อแตกต่างรายละเอียดวันเวลากระทำผิดไม่กระทบสาระสำคัญ ศาลฎีกาใช้ข้อเท็จจริงจากการพิจารณาเพื่อลงโทษจำเลยได้
ข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในทางพิจารณาฟังได้ว่า จำเลยกระทำผิดฐานกระทำชำเราเด็กหญิงอายุยังไม่เกินสิบสามปีในคืนวันที่ 11 ธันวาคม 2533 เวลากลางคืนหลังเที่ยง เวลาเกิดเหตุดังกล่าวแตกต่างกับข้อเท็จจริงในฟ้อง ซึ่งกล่าวว่าเหตุเกิดวันที่ 11 ธันวาคม 2533 เวลากลางคืนก่อนเที่ยงเป็นเพียงข้อแตกต่างในรายละเอียดซึ่งมิใช่ข้อสาระสำคัญทั้งจำเลยนำสืบสู้คดีเพียงว่าวันที่ 2 ธันวาคม 2533ผู้เสียหายไปนอนค้างที่กระท่อมของจำเลย และเห็นจำเลยร่วมเพศกับมารดาผู้เสียหาย เช้าวันรุ่งขึ้นผู้เสียหายจึงกลับไปอยู่บ้านย้าย แล้วไม่มาที่กระท่อมของจำเลยอีกเลยข้อเท็จจริงที่จำเลยนำสืบเป็นการกล่าวอ้างถึงเวลาก่อนเกิดเหตุหลายวันไม่เกี่ยวข้องกับเวลาเกิดเหตุตามฟ้องแสดงว่าจำเลยมิได้หลงต่อสู้ จึงลงโทษจำเลยตามข้อเท็จจริงที่ได้ความในการพิจารณาดังกล่าวได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสอง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1035/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำฟ้องอาญา: รายละเอียดการกระทำความผิดไม่จำเป็นต้องระบุในคำฟ้อง เพียงแต่ต้องให้จำเลยเข้าใจข้อหา
คำฟ้องโจทก์ที่บรรยายว่า จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันใช้กำลังประทุษร้าย โดยจับแขนผู้เสียหายไว้ ทำให้ผู้เสียหายอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ แล้วจำเลยทั้งสองได้ร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายเป็นการบรรยายถึงการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยที่ 2 ได้กระทำผิดพอสมควรเท่าที่จะให้จำเลยที่ 2เข้าใจข้อหาได้ดีแล้ว ส่วนข้อที่ว่าจำเลยทั้งสองได้ร่วมกันใช้กำลังประทุษร้ายโดยจำเลยคนใดเป็นผู้จับแขนข้างใด จำเลยร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายอย่างไร จำเลยคนใดทำหน้าที่อะไรนั้นเป็นเพียงรายละเอียดที่โจทก์นำสืบได้ในชั้นพิจารณาไม่จำเป็นต้องบรรยายมาในคำฟ้อง เป็นคำฟ้องที่ชอบ
of 18