คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.อ. ม. 317

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 141 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 750/2543 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาพรากผู้เยาว์ - การกระทำไม่ถึงองค์ประกอบความผิด
จำเลยมาพบผู้เสียหายขณะที่ผู้เสียหายกำลังเดินทางไปโรงเรียนก็เนื่องจากผู้เสียหายนัดจำเลยให้มาพบเพื่อให้จำเลยนำเสื้อมาให้ แต่จำเลยไม่ได้นำเสื้อมาให้ เมื่อผู้เสียหายบอกว่าจะต้องใช้เสื้อ จำเลยจึงพาผู้เสียหายไปที่ห้องเช่าของจำเลยเพื่อไปเอาเสื้อ โดยผู้เสียหายรออยู่ที่ปากซอย หลังจากผู้เสียหายได้เสื้อแล้วขณะนั้นเป็นเวลา 8.30 นาฬิกา ผู้เสียหายบอกจำเลยว่าไปโรงเรียนไม่ทันแล้วจะไปโรงเรียนเวลาเที่ยง จำเลยจึงชวนผู้เสียหายให้คอยที่ห้องเช่าของจำเลยก่อน นั่งอยู่ได้ประมาณครึ่งชั่วโมงจำเลยบอกจะออกไปเอาหนังสือการ์ตูนข้างนอก ผู้เสียหายขอตามจำเลยไปด้วย ไปที่บ้านเพื่อนจำเลยประมาณ 30 นาที จำเลยก็พาผู้เสียหายกลับไปที่ห้องเพื่อให้ผู้เสียหายไปโรงเรียนตอนเที่ยง ตามพฤติการณ์แห่งคดียังไม่พอฟังว่าจำเลยมีเจตนาพรากผู้เสียหายไปเสียจากบิดามารดาโดยปราศจากเหตุอันสมควร แม้ต่อมาจำเลยจะกระทำชำเราผู้เสียหายก็ตาม
คดีนี้แม้จำเลยจะให้การรับสารภาพ แต่เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าการกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดฐานพรากผู้เยาว์ ศาลจึงไม่อาจลงโทษจำเลยได้ตาม ป.วิ.อ.มาตรา 185 วรรคหนึ่ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 750/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาพรากผู้เยาว์ต้องปรากฏชัด แม้มีการกระทำชำเราภายหลังก็ไม่ถือเป็นเหตุพราก
จำเลยมาพบผู้เสียหายขณะที่ผู้เสียหายกำลังเดินทางไปโรงเรียนก็เนื่องจากผู้เสียหายนัดจำเลยให้มาพบเพื่อให้จำเลยนำเสื้อมาให้ แต่จำเลยไม่ได้นำเสื้อมาให้ เมื่อผู้เสียหายบอกว่าจะต้องใช้เสื้อ จำเลยจึงพาผู้เสียหายไปที่ห้องเช่าของจำเลยเพื่อไปเอาเสื้อ โดยผู้เสียหายรออยู่ที่ปากซอย หลังจากผู้เสียหายได้เสื้อแล้วขณะนั้นเป็นเวลา 8.30 นาฬิกา ผู้เสียหายบอกจำเลยว่าไปโรงเรียนไม่ทันแล้วจะไปโรงเรียนเวลาเที่ยง จำเลยจึงชวนผู้เสียหายให้คอยที่ห้องเช่าของจำเลยก่อน นั่งอยู่ได้ประมาณครึ่งชั่วโมงจำเลยบอกจะออกไปเอาหนังสือการ์ตูนข้างนอก ผู้เสียหายขอตามจำเลยไปด้วย ไปที่บ้านเพื่อนจำเลยประมาณ30 นาที จำเลยก็พาผู้เสียหายกลับไปที่ห้องเพื่อให้ผู้เสียหายไปโรงเรียนตอนเที่ยงตามพฤติการณ์แห่งคดียังไม่พอฟังว่าจำเลยมีเจตนาพรากผู้เสียหายไปเสียจากบิดามารดาโดยปราศจากเหตุอันสมควร แม้ต่อมาจำเลยจะกระทำชำเราผู้เสียหายก็ตาม
คดีนี้แม้จำเลยจะให้การรับสารภาพ แต่เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าการกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดฐานพรากผู้เยาว์ ศาลจึงไม่อาจลงโทษจำเลยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 185 วรรคหนึ่ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 750/2543

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาพรากผู้เยาว์เพื่ออนาจารไม่พอฟัง แม้มีการกระทำชำเรา ศาลไม่อาจลงโทษฐานพรากผู้เยาว์ได้
การที่จำเลยมาพบผู้เสียหายเนื่องจากผู้เสียหายนัดให้จำเลยมาพบเพื่อให้จำเลยนำเสื้อมาให้ จำเลยพาผู้เสียหายไปที่ห้องเช่าของจำเลยก็เพื่อธุระของผู้เสียหายเอง หลังจากได้เสื้อแล้วที่จำเลยให้ผู้เสียหายรออยู่ที่ห้องก็สืบเนื่องมาจากผู้เสียหายไปโรงเรียนไม่ทันซึ่งผู้เสียหายก็เต็มใจที่จะรออยู่ที่ห้องจำเลยเพื่อไปโรงเรียนเวลาเที่ยงตอนจำเลยไปเอาหนังสือการ์ตูนที่บ้านเพื่อนจำเลย ผู้เสียหายเป็นฝ่ายขอตามจำเลยไปด้วย จำเลยไม่ได้เป็นฝ่ายชักชวนให้ผู้เสียหายไปกับจำเลยการที่จำเลยพาผู้เสียหายกลับมาที่ห้องจำเลยอีกก็เพื่อให้ผู้เสียหายไปโรงเรียนตอนเที่ยงตามที่ผู้เสียหายบอกตามพฤติการณ์แห่งคดียังไม่พอฟังว่าจำเลยมีเจตนาพรากผู้เสียหายไปเสียจากบิดามารดาโดยปราศจากเหตุอันสมควร แม้ต่อมาจำเลยจะกระทำชำเราผู้เสียหายและจำเลยจะให้การรับสารภาพ แต่เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าการกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดในความผิดฐานพรากผู้เยาว์ ศาลไม่อาจลงโทษจำเลยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 185 วรรคหนึ่ง
ความผิดฐานกระทำชำเรา ศาลชั้นต้นลงโทษจำคุกจำเลย 5 ปีศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นลงโทษจำคุก 2 ปี เป็นการแก้ไขเฉพาะ โทษมิได้แก้บทกฎหมายด้วย จึงเป็นการแก้ไขเล็กน้อย โจทก์ฎีกา ขอให้ลงโทษหนักขึ้น เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 635/2543

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดฐานพรากเด็กเพื่ออนาจารและกระทำชำเรา ศาลยืนตามคำพิพากษาเดิม
ผู้เสียหายเบิกความบรรยายพฤติกรรมของจำเลยตั้งแต่ต้นก่อนและขณะกระทำชำเรา เป็นขั้นเป็นตอนตามลำดับว่ามีการใช้กำลังกายอย่างไร พูดจาบังคับขู่เข็ญอย่างไร และกระทำการกระทำชำเราเป็นเหตุเป็นผลไม่ขัดต่อหลักความจริงของธรรมชาติ หากมิได้มีข้อเท็จจริงเกิดขึ้นแล้ว ผู้เสียหายซึ่งเป็นเด็กก็จะไม่สามารถเบิกความในลักษณะเช่นนั้นได้ จึงยากที่ผู้เสียหายจะปั้นแต่งขึ้นมาเองประกอบกับผู้เสียหายยังเป็นนักเรียนถูกล่วงละเมิดทางเพศ จึงเป็นสิ่งน่าอับอายที่จะนำมาเปิดเผยให้ผู้อื่นล่วงรู้ ผู้เสียหายย่อมไม่มีจริตเสแสร้งเอาความอันเป็นเท็จพูดบอกแก่ผู้อื่นให้เสื่อมเสียแก่ตัวเองและครอบครัว และเมื่อจำเลยพาผู้เสียหายมาถึงบ้าน ผู้เสียหายก็วิ่งเข้ากอด อ. ทันทีแล้วร้องไห้และบอกเรื่องที่ถูกจำเลยกระทำชำเราต่อ ท. และชาวบ้านอีกหลายคน เมื่อจำเลยถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยรับว่าเป็นผู้กระทำผิด แม้การตรวจร่างกายผู้เสียหายในวันนั้นจะไม่พบน้ำอสุจิในช่องคลอดก็มิได้หมายความว่าผู้เสียหายไม่ถูกกระทำชำเรา เพราะผู้เสียหายยืนยันว่าจำเลยเอาอวัยวะเพศสอดใส่เข้าไปในอวัยวะเพศของผู้เสียหายแล้วความผิดจึงสำเร็จ ซึ่งการที่ไม่พบน้ำอสุจินี้ย่อมสันนิษฐานว่าจำเลยได้หลั่งน้ำอสุจินอกช่องคลอด แต่ผลจากการตรวจยังพบว่าเยื่อพรหมจารีผู้เสียหายฉีกขาดมีเลือดซึมผนังช่องคลอด ปากมดลูกบวมแดง แสดงว่าผู้เสียหายผ่านการร่วมประเวณีมา จึงเป็นข้อสนับสนุนคำเบิกความของผู้เสียหายว่ามีการล่วงล้ำอวัยวะเพศของผู้เสียหายจริง
บิดามารดาผู้เสียหายนำผู้เสียหายไปฝากให้ อ. ป้าของผู้เสียหายช่วยดูแลแทนเนื่องจากต้องไปรับจ้างทำงานที่กรุงเทพมหานคร วันเกิดเหตุจำเลยขับรถจักรยานยนต์ไปรับผู้เสียหายจากบ้าน ส. เพื่อไปส่งที่บ้าน อ. แต่จำเลยกลับพาผู้เสียหายไปกระทำชำเราที่ป่าข้างทาง โดยที่ผู้เสียหายมิได้รักใคร่และยินยอมร่วมประเวณีด้วย การกระทำของจำเลยจึงเป็นการพรากเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี ไปเสียจากผู้ดูแลโดยปราศจากเหตุอันสมควรเพื่อการอนาจารโดยไม่ต้องคำนึงว่าจำเลยจะมีภริยาและบุตรหรือไม่
จำเลยมีความมุ่งหมายที่จะกระทำชำเราผู้เสียหาย เมื่อจำเลยขับรถจักรยานยนต์ไปรับผู้เสียหายจากบ้าน ส. ไปเพื่อการอนาจารเป็นการกระทำความผิดสำเร็จในข้อหาพรากเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี เพื่อการอนาจารสำเร็จไปตอนหนึ่งแล้วเมื่อจำเลยพาผู้เสียหายไปถึงที่เกิดเหตุแล้วลงมือกระทำชำเรา จึงเป็นการกระทำกรรมใหม่อันเป็นความผิดขึ้นอีก แยกต่างหากจากการพรากเด็ก จึงเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 544/2543

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ พรากเด็กเพื่ออนาจาร – การกระทำของจำเลยล่วงละเมิดอำนาจปกครองบิดาและเข้าข่ายความผิดฐานพรากเด็ก
ผู้เสียหายหลบหนีออกจากบ้านมาอยู่กับจำเลยโดยไม่ได้รับอนุญาตจากบิดา แต่ขณะเกิดเหตุผู้เสียหายมีอายุเพียง 13 ปีเศษ อยู่ในอำนาจปกครองของบิดา จำเลยได้พาผู้เสียหายไปตามห้องอาหารต่าง ๆ โดยบิดาผู้เสียหายมิได้ยินยอมด้วยเป็นการล่วงอำนาจปกครองของบิดาผู้เสียหาย แม้ผู้เสียหายจะสมัครใจยินยอมไปกับจำเลยก็ถือไม่ได้ว่าได้รับความยินยอมเห็นชอบจากบิดาการกระทำของจำเลยจึงเป็นการพรากผู้เสียหายซึ่งเป็นเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี ไปเสียจากบิดาแล้ว ทั้งการเดินโชว์ชุดว่ายน้ำของเด็กหรือการต้องยอมให้แขกผู้ชายที่มาเที่ยวจับหน้าอกในห้องอาหารต่าง ๆ ถือได้ว่าเป็นการพรากเด็กไปโดยปราศจากเหตุอันสมควรเพื่อหากำไรหรือเพื่อการอนาจาร
คำฟ้องโจทก์มีคำขอให้ริบกาวสังเคราะห์ของกลาง แต่ศาลล่างทั้งสองยังมิได้มีคำวินิจฉัยในเรื่องของกลาง จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 186(9) แม้โจทก์จะไม่อุทธรณ์ฎีกา แต่ปัญหาข้อนี้เป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจแก้ไขให้ถูกต้องได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบ มาตรา 225

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3382/2542 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ พรากเด็กหญิงและการกระทำโดยประมาทจนถึงแก่ความตาย: จำเลยไม่มีความผิดฐานประมาท
ในวันที่ 7 ตุลาคม 2539 ตอนเช้าเด็กหญิง ณ.(อายุ 14 ปีเศษ)มาหา จ เพื่อขอตามไปทำงานที่จังหวัดสระบุรี จ.กับเด็กหญิง ณ.ไปหา ส.เพื่อขอให้พาไปส่งที่บ้านดงบัง พบจำเลย บ.และ ฉ.กับพวกอีก 1 คน ส.วานจำเลยกับพวกให้ไปส่งแทน จ.กับเด็กหญิง ณ.นั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ของ ส. ส่วนจำเลยกับพวกขับรถจักรยานยนต์นั่งซ้อนท้ายไปอีกคันหนึ่ง แต่ ส.ขับรถจักรยานยนต์พา จ.กลับไปที่บ้านโนนฤาษีและพักค้างคืนที่บ้านเพื่อน บ. รุ่งขึ้นวันที่ 8 ส.พาเด็กหญิง ณ.ไปพบจำเลยและพากันมารับพยานไปเที่ยว จ.ขอให้ ส.ไปส่ง จ.กับเด็กหญิง ณ.ที่บ้านดงบัง บ.ไม่ยอมพาไป คืนนั้นจำเลยพา จ.กับเด็กหญิง ณ.ไปพักค้างคืนที่กระท่อมของญาติจำเลยจนถึงคืนวันที่ 10 ตุลาคม 2539 การที่จำเลยที่ 1 พบ จ.กับเด็กหญิงณ.ครั้งแรกที่บ้านนายสมัยไม่ใช่บ้านของนายบุญส่งหรือส่งและจำเลยทราบดีว่า จ.กับเด็กหญิง ณ.จะไปบ้านดงบัง ดังนี้ การที่จำเลยพาเด็กหญิง ณ.ไปนอนค้างที่กระท่อมของญาติจำเลยตั้งแต่วันที่ 8 ตุลาคม 2539 ถึงวันที่ 10 ตุลาคม 2539 โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ปกครองและผู้ดูแล และไม่ปรากฏว่ามีเหตุอันสมควร ทั้งก่อนหน้านั้น จำเลยก็ทราบดีว่า จ.กับเด็กหญิง ณ.ต้องการจะไปบ้านดงบัง และในวันที่8 ตุลาคม 2539 ที่จำเลยกับ บ.พา จ.กับเด็กหญิง ณ.ไปเที่ยว จ.ขอร้อง บ.ให้ไปส่งคนทั้งสองที่บ้านดงบัง บ.ไม่ยอมพาไป แต่จำเลยกลับพา จ.กับเด็กหญิง ณ.ไปนอนค้างที่กระท่อมของญาติจำเลย พฤติการณ์ถือได้ว่าเป็นการกระทำโดยปราศจากเหตุอันสมควร การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานพรากเด็กหญิง ณ.ไปเสียจากผู้ปกครองและผู้ดูแล
การที่จะเป็นความผิดตาม ป.อ.มาตรา 291 จะต้องมีการกระทำโดยประมาทและการกระทำโดยประมาทนั้นต้องเป็นผลโดยตรงให้เกิดความตายการที่จำเลยร้องบอกให้เด็กหญิง ณ.ว่ายน้ำข้ามแม่น้ำไปโดยบอกว่าจะลงมาช่วยก็ตามซึ่งเป็นแต่เพียงคำชี้แนะของจำเลย จำเลยหาได้บังคับเด็กหญิง ณ.ให้ต้องว่ายน้ำข้ามไปไม่ เด็กหญิง ณ.มีอายุ 14 ปีเศษ มีวุฒิภาวะพอที่จะรู้ว่าตนเองมีความสามารถพอที่จะว่ายน้ำข้ามไปได้หรือไม่ เมื่อเด็กหญิง ณ.ตัดสินใจว่ายน้ำข้ามไปเป็นการสมัครใจเข้าเสี่ยงภัยเอง และเด็กหญิง ณ.จมน้ำและถึงแก่ความตายอันเนื่องมาจากกระแสน้ำไหลเชี่ยว โดยจำเลยกับพวกไม่สามารถช่วยเด็กหญิง ณ.ได้ เช่นความตายของเด็กหญิง ณ.หาได้เกิดจากการกระทำของจำเลยไม่ ทั้งไม่ใช่เป็นผลโดยตรงอันเนื่องมาจากการชี้แนะของจำเลย จำเลยจึงมิได้กระทำโดยประมาท เป็นเหตุให้เด็กหญิงจรุณีถึงแก่ความตาย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3382/2542 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ พรากเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี และประมาททำให้ถึงแก่ความตาย ศาลฎีกายกฟ้องฐานประมาท แต่ยืนโทษฐานพรากเด็ก
แม้เด็กหญิง จ. ออกจากบ้านโดยบอกผู้เสียหายที่ 1ซึ่งเป็นผู้ปกครองและผู้ดูแลว่าไปหานางสาว ร. เมื่อพบก็ขอตามไปทำงานที่จังหวัดสระบุรีด้วย นางสาว ร.กับเด็กหญิง จ. ไปหานาย ส.เพื่อขอให้ไปส่งที่บ้านดงบัง และนาย ส. วานจำเลยที่ 1 กับพวกไปส่งแทนก็ตาม แต่การที่จำเลยที่ 1 กับพวกไม่พานางสาว ร.กับเด็กหญิง จ. ไปส่งที่บ้านดงบัง จำเลยที่ 1 กลับพาเด็กหญิง จ. ไปเที่ยวและค้างคืนที่กระท่อมญาติของจำเลยที่ 1 โดยหาได้รับความยินยอมจากผู้เสียหายที่ 1 ไม่ทั้งที่ทราบดีว่า นางสาว ร. กับเด็กหญิง จ. จะไปบ้านดงบัง พฤติการณ์ถือได้ว่าเป็นการกระทำโดยปราศจากเหตุอันสมควร เป็นความผิดฐานพรากเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี การที่จะเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291 ต้องมีการกระทำโดยประมาทและการกระทำโดยประมาทนี้เป็นผล โดยตรงให้เกิดความตาย คำของจำเลยที่ 1 ที่ร้องบอก ให้เด็กหญิง จ. ว่ายน้ำข้ามไป โดยบอกว่าจะลงมาช่วยนั้นคงเป็นแต่เพียงคำชี้แนะ หาได้บังคับให้เด็กหญิง จ. ว่ายน้ำข้ามไปไม่ เมื่อเด็กหญิง จ. ตัดสินใจว่ายน้ำ ข้ามไปและจมน้ำเพราะกระแสน้ำไหลเชี่ยว จนถึงแก่ความตายโดยจำเลยที่ 1 กับพวกไม่สามารถช่วยได้จึงนับได้ว่าเป็นการสมัครใจเข้าเสี่ยงภัยของเด็กหญิง จ. เองเหตุความตายหาได้เกิดจากการกระทำของจำเลยที่ 1 กับพวกไม่ ทั้งมิใช่เป็นผลโดยตรงอันเนื่องมาจากการชี้แนะของ จำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 กับพวกจึงมิได้กระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้เด็กหญิง จ. ถึงแก่ความตาย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1258/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดพรากเด็กและการสมรสภายหลัง – ผลต่อการดำเนินคดีอาญา
ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคแรก ต่อมาระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้จำเลย และผู้เสียหายสมรสกันโดยบิดามารดาผู้เสียหายอนุญาต ดังนั้น จำเลยจึงไม่ต้องรับโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคท้าย โดยศาลยกขึ้นเอง ได้ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 185,215,225 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 317 มิได้จำกัดว่าการพรากเด็ก จะต้องกระทำโดยวิธีการอย่างใด แม้เด็กจะมีรูปร่างใหญ่โต แต่อายุไม่เกิน 15 ปี และเด็กเต็มใจไปด้วยก็ตามก็เป็นความผิดและต้องเป็นการกระทำโดยปราศจากเหตุอันสมควรการที่เด็กอยู่ในความอุปการะเลี้ยงดูและให้การศึกษาและ บิดามารดา โดยบิดามารดามีอำนาจปกครองและมีสิทธิกำหนดที่อยู่ของบุตรนั้น เมื่อจำเลยพาเด็กไปถือเป็นการกระทำ โดยปราศจากเหตุอันสมควรเป็นความผิดตามมาตรา 317 วรรคแรก แล้วส่วนการที่จำเลยกับผู้เสียหายรักกันด้วยความสุจริตใจต่างมี เจตนาอยู่กินด้วยกันฉันสามีภริยา การกระทำของจำเลย ขาดเจตนาเพื่อการอนาจาร จึงไม่เป็นความผิดตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 317 วรรคสาม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1258/2542 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพรากเด็กและการกระทำโดยปราศจากเหตุอันสมควร ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 317
ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตาม ป.อ.มาตรา 277วรรคแรก ต่อมาระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้จำเลยและผู้เสียหายสมรสกันโดยบิดามารดาผู้เสียหายอนุญาต ดังนั้น จำเลยจึงไม่ต้องรับโทษตาม ป.อ.มาตรา 277 วรรคท้าย โดยศาลยกขึ้นเองได้ตาม ป.วิ.อ.มาตรา185, 215, 225
ป.อ.มาตรา 317 มิได้จำกัดว่าการพรากเด็กจะต้องกระทำโดยวิธีการอย่างใด แม้เด็กจะมีรูปร่างใหญ่โตแต่อายุไม่เกิน 15 ปี และเด็กเต็มใจไปด้วยก็ตามก็เป็นความผิด และต้องเป็นการกระทำโดยปราศจากเหตุอันสมควรการที่เด็กอยู่ในความอุปการะเลี้ยงดูและให้การศึกษาของบิดามารดา โดยบิดามารดามีอำนาจปกครองและมีสิทธิกำหนดที่อยู่ของบุตรนั้น เมื่อจำเลยพาเด็กไปถือเป็นการกระทำโดยปราศจากเหตุอันสมควรเป็นความผิดตามมาตรา 317 วรรคแรก แล้วส่วนการที่จำเลยกับผู้เสียหายรักกันด้วยความสุจริตใจต่างมีเจตนาอยู่กินด้วยกันฉันสามีภริยา การกระทำของจำเลยขาดเจตนาเพื่อการอนาจาร จึงไม่เป็นความผิดตามป.อ.มาตรา 317 วรรคสาม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1258/2542 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ พรากเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี ความผิดตามมาตรา 317 วรรคแรก เหตุอันสมควร และข้อยกเว้นความผิด
ความมุ่งหมายของประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 317เพื่อเอาโทษแก่ผู้ที่พรากเด็ก แม้เด็กเต็มใจไปด้วยการพรากเด็กตามมาตรานี้มิได้จำกัดว่าพรากไปโดยวิธีการอย่างใด ถ้าเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีแล้วย่อมเป็นความผิดแม้เด็กจะมีรูปร่างใหญ่โต มีความรู้สึกผิดชอบเกินกว่า ปกติก็ตาม และการพรากก็มิได้จำกัดว่าพรากไปเพื่อประสงค์ใด หรือประโยชน์อย่างใดเพียงแต่มีเจตนาพรากเด็กไปเสียจาก บิดามารดาก็เป็นความผิดแล้ว แต่ถ้าจำเลยพรากเด็กไปโดยมีเหตุอันสมควรก็ไม่มีความผิดตามมาตรานี้ ปรากฏว่าผู้เสียหายกำลังศึกษาเล่าเรียนยังไม่บรรลุนิติภาวะต้องอยู่ใต้อำนาจปกครองของบิดามารดา การที่จำเลยพราก ผู้เสียหายไปเสียจากบิดามารดาขณะที่บิดามารดาจำต้อง อุปการะเลี้ยงดูและให้การศึกษาตามสมควรแก่บุตรในระหว่าง ที่เป็นผู้เยาว์และมีสิทธิกำหนดที่อยู่ของบุตรอันเป็นสิทธิ และหน้าที่ของบิดามารดาและบุตรตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ การกระทำของจำเลยจึงปราศจากเหตุอันสมควร จึงเป็น ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 317 วรรคแรก แต่เมื่อจำเลยกับผู้เสียหายรักกันด้วยความสุจริตใจ ต่างมีเจตนาอยู่กินด้วยกันฉันสามีภริยาและศาลมีคำสั่ง อนุญาตให้สมรสและมีบุตรด้วยกัน การกระทำของจำเลย ขาดเจตนากระทำเพื่อการอนาจาร จึงไม่มีความผิดตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 317 วรรคสาม
of 15