พบผลลัพธ์ทั้งหมด 141 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1258/2542 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานพรากเด็กและการสมรสหลังเกิดเหตุการณ์ ทำให้จำเลยไม่ต้องรับโทษในความผิดฐานชำเรา
ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคแรก แต่ต่อมาระหว่าง การพิจารณาของศาลฎีกาศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้จำเลยและ ผู้เสียหายสมรสกันโดยบิดามารดาผู้เสียหายอนุญาต จำเลยจึง ไม่ต้องรับโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคท้าย โดยศาลยกขึ้นเองได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 185,215,225 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 317 มิได้จำกัดว่าการพรากเด็ก จะต้องกระทำโดยวิธีการอย่างใด แม้เด็กจะมีรูปร่างใหญ่โต แต่อายุไม่เกิน 15 ปี และเด็กเต็มใจไปด้วยก็ตามก็เป็น ความผิด และต้องเป็นการกระทำโดยปราศจากเหตุอันสมควร การที่ เด็กอยู่ในความอุปการะเลี้ยงดูและให้การศึกษาของบิดามารดา โดยบิดามารดามีอำนาจปกครองและมีสิทธิกำหนดที่อยู่ของ บุตรนั้น เมื่อจำเลยพาเด็กไปถือเป็นการกระทำโดยปราศจากเหตุ อันสมควรเป็นความผิดตามมาตรา 317 วรรคแรก แล้ว ส่วนการที่ จำเลยกับผู้เสียหายรักกันด้วยความสุจริตใจต่างมีเจตนาอยู่กินด้วยกันฉันสามีภริยาการกระทำของจำเลยขาดเจตนาเพื่อการอนาจาร จึงไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 317 วรรคสาม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 584/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดพรากผู้เยาว์และการข่มขืนกระทำชำเรา: ผู้เสียหายแสดงเจตจำนงและไม่มีหลักฐานการกระทำผิด
ขณะเกิดเหตุผู้เสียหายที่ 1 อายุ 13 ปีเศษ น่าเชื่อว่ามีความรู้สึกผิดชอบแล้ว ซึ่งก่อนเกิดเหตุเคยไปนอนค้างที่บ้านพี่สาวจำเลย เนื่องจากกลัวผู้เสียหายที่ 2 จึงไม่กล้ากลับบ้านหลังจากนั้น 3 ถึง 4 วัน ผู้เสียหายที่ 1 กลับไปบ้านแล้วกลับมาอยู่กับพี่สาวจำเลยและนอนค้างคืน ที่บ้านมารดาจำเลยอีกจนกระทั่งผู้เสียหายที่ 2 พาเจ้าพนักงาน ตำรวจไปจับจำเลยขณะผู้เสียหายที่ 1 กับจำเลยอยู่ภายในบ้าน น่าเชื่อว่าผู้เสียหายที่ 1 ไปพักอาศัยอยู่ที่บ้าน พี่สาวจำเลยและบ้านมารดาจำเลยเอง หาใช่ถูกจำเลยหลอกลวง พาไปอยู่ด้วยกันไม่ แม้จะปรากฏว่าผู้เสียหายที่ 2 เคยไปตาม ผู้เสียหายที่ 1 กลับมาอยู่ที่บ้านและอยู่ในอำนาจปกครอง ของผู้เสียหายที่ 2 แล้ว แต่ต่อมาผู้เสียหายที่ 1 ก็กลับไปอยู่กับจำเลยอีก ฟังไม่ได้ว่าจำเลยโดยปราศจากเหตุ อันสมควรพรากผู้เสียหายที่ 1 อายุยังไม่เกินสิบห้าปี ไปเสียจากบิดาผู้ดูแล จำเลยไม่มีความผิดฐานพรากผู้เยาว์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 564/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานกระทำชำเราเด็กหญิง และพรากเด็กอายุไม่เกินสิบห้าปีเพื่อการอนาจาร
จำเลยรู้จักผู้เสียหายมาก่อนเกิดเหตุประมาณ 1 เดือนและได้พบพูดคุยกันทุกวันแสดงว่าจำเลยย่อมมีความสนิทสนมกับผู้เสียหายเป็นพิเศษ ดังนั้น เมื่อพี่ชายผู้เสียหาย มาพบเห็นเข้า ผู้เสียหายกลัวบิดาและยาย จะตี จำเลยจึง ถือโอกาสนั้นพาผู้เสียหายหลบหนีโดยปราศจากเหตุอันสมควรและหลังจากพาผู้เสียหายหลบหนีแล้ว จำเลยได้กระทำชำเราผู้เสียหายด้วย การกระทำของจำเลยจึงเป็นการพรากผู้เสียหายไปเสียจากบิดาเพื่อการอนาจาร จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 317 วรรคสาม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6321/2541 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพรากผู้เยาว์เพื่ออนาจารและการกระทำชำเรา ถือเป็นความผิด 2 กรรม
การที่จำเลยได้พาหรือชักจูงผู้เสียหาย(อายุ 12 ปีเศษ)ไปจากบริเวณถนนหน้าบ้านอาของผู้เสียหายที่ผู้เสียหายพักอาศัยอยู่ ไปยังบ้านเพื่อนของจำเลยและได้กระทำชำเราผู้เสียหาย ย่อมเป็นการไม่ถูกต้องด้วยทำนองคลองธรรม แล้วจำเลยพาผู้เสียหายกลับมาส่งที่บ้านพัก กรณีถือได้ว่าจำเลยโดยปราศจากเหตุอันสมควรได้พรากผู้เสียหายอายุไม่เกิน 15 ปี ไปเสียจากบิดามารดาหรือผู้ดูแลเพื่อการอนาจารตอนหนึ่งแล้ว ครั้นจำเลยกระทำชำเราหรือร่วมเพศกับผู้เสียหายอายุไม่เกิน 13 ปีไม่ว่าผู้เสียหายยินยอมหรือไม่ก็ตาม การกระทำของจำเลยในตอนหลังก็เป็นความผิดสำเร็จในอีกขั้นตอนหนึ่ง อันถือเป็นคนละขั้นตอนหรือเป็นคนละกรรมกับการกระทำความผิดในขั้นตอนแรก การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิด 2 กรรม
การที่จำเลยกอดปล้ำถอดเสื้อผ้าผู้เสียหายก็เพื่อการกระทำชำเราผู้เสียหาย และในเวลาเดียวกันจำเลยก็ได้กระทำชำเราหรือร่วมเพศกับผู้เสียหายจนสำเร็จความใคร่รวม 8 ครั้ง หลังจากนั้นตอนที่จำเลยพาผู้เสียหายมาไว้ที่หอพักจนกระทั่งจำเลยพาผู้เสียหายไปส่งที่บ้านพักก็ไม่ปรากฏว่าจำเลยได้กระทำอนาจารหรือกอดจูบลูบคลำผู้เสียหายใด ๆ อีก จำเลยจึงไม่มีความผิดฐานกระทำอนาจารแก่เด็กอายุยังไม่เกิน 15 ปี ตาม ป.อ.มาตรา 279 วรรคแรก ข้อนี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้จำเลยจะไม่ฎีกาศาลฎีกามีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้ตาม ป.วิ.อ.มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบด้วยมาตรา 225
การที่จำเลยกอดปล้ำถอดเสื้อผ้าผู้เสียหายก็เพื่อการกระทำชำเราผู้เสียหาย และในเวลาเดียวกันจำเลยก็ได้กระทำชำเราหรือร่วมเพศกับผู้เสียหายจนสำเร็จความใคร่รวม 8 ครั้ง หลังจากนั้นตอนที่จำเลยพาผู้เสียหายมาไว้ที่หอพักจนกระทั่งจำเลยพาผู้เสียหายไปส่งที่บ้านพักก็ไม่ปรากฏว่าจำเลยได้กระทำอนาจารหรือกอดจูบลูบคลำผู้เสียหายใด ๆ อีก จำเลยจึงไม่มีความผิดฐานกระทำอนาจารแก่เด็กอายุยังไม่เกิน 15 ปี ตาม ป.อ.มาตรา 279 วรรคแรก ข้อนี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้จำเลยจะไม่ฎีกาศาลฎีกามีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้ตาม ป.วิ.อ.มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบด้วยมาตรา 225
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6321/2541
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพรากเด็กเพื่ออนาจาร และกระทำชำเราเด็กอายุไม่เกิน 13 ปี ถือเป็นความผิด 2 กรรม
การที่จำเลยได้พาหรือชักจูงผู้เสียหาย (อายุ 12 ปีเศษ)ไปจากบริเวณถนนหน้าบ้านอาของผู้เสียหายที่ผู้เสียหายพักอาศัยอยู่ ไปยังบ้านเพื่อนของจำเลยและได้กระทำชำเราผู้เสียหาย ย่อมเป็นการไม่ถูกต้องด้วยทำนองคลองธรรมแล้วจำเลยพาผู้เสียหายกลับมาส่งที่บ้านพัก กรณีถือได้ว่าจำเลยโดยปราศจากเหตุอันสมควรได้พรากผู้เสียหายอายุไม่เกิน 15 ปี ไปเสียจากบิดามารดาหรือ ผู้ดูแลเพื่อการอนาจารตอนหนึ่งแล้ว ครั้นจำเลยกระทำชำเราหรือร่วมเพศกับผู้เสียหายอายุไม่เกิน 13 ปี ไม่ว่าผู้เสียหายยินยอมหรือไม่ก็ตาม การกระทำของจำเลยในตอนหลังก็เป็นความผิดสำเร็จในอีกขั้นตอนหนึ่ง อันถือเป็นคนละขั้นตอน หรือเป็นคนละกรรมกับการกระทำความผิดในขั้นตอนแรก การกระทำ ของจำเลยจึงเป็นความผิด 2 กรรม การที่จำเลยกอดปล้ำถอดเสื้อผ้าผู้เสียหายก็เพื่อกระทำชำเราผู้เสียหาย และในเวลาเดียวกันจำเลยก็ได้กระทำชำเราหรือร่วมเพศกับผู้เสียหายจนสำเร็จความใคร่รวม 8 ครั้ง หลังจากนั้นตอนที่จำเลยพาผู้เสียหายมาไว้ที่หอพักจนกระทั่งจำเลยพาผู้เสียหายไปส่งที่บ้านพักก็ไม่ปรากฏว่าจำเลยได้กระทำอนาจารหรือกอดจูบลูบคลำผู้เสียหายใด ๆ อีก จำเลยจึงไม่มีความผิดฐานกระทำอนาจารแก่เด็กอายุยังไม่เกิน 15 ปี ตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 279 วรรคแรก ข้อนี้ เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้จำเลยจะไม่ฎีกาศาลฎีกามีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบด้วยมาตรา 225
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6207/2541 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพรากเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี ต้องพิจารณาการยินยอมของผู้ปกครองหรือผู้ดูแล หากมีการยินยอม การกระทำนั้นไม่เป็นความผิด
เด็กชาย ด. มีอายุไม่เกิน 15 ปี หลังจากบิดามารดาของเด็กชาย ด. ถึงแก่ความตาย จ. ผู้เสียหายซึ่งเป็นพี่สาวของบิดาเด็กชาย ด.ได้เป็นผู้ดูแลเด็กชายด. ตลอดมา จ. อนุญาตให้จำเลยพาเด็กชาย ด. ไปทำงานที่กรุงเทพมหานครตามที่จำเลยร้องขอ ไม่ปรากฏว่า การขออนุญาตของจำเลยดังกล่าวมีเลศนัยอันส่อให้เห็น ถึงความไม่สุจริตของจำเลยแต่อย่างใด การที่ จ. อนุญาตให้จำเลยพาเด็กชาย ด. ไป ทำให้การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดฐานพรากเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี ไปเสียจาก ผู้ปกครองหรือผู้ดูแลตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 317 วรรคแรก ส่วนกรณีที่เด็กชาย ด. ได้หายไปหลังจากไปอยู่กรุงเทพมหานครกับจำเลยนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่งต่างหาก ไม่ทำให้จำเลย ต้องรับผิดตามบทมาตราดังกล่าว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2874/2541 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาต่างกัน ความผิด 2 กรรม: พรากเด็กหญิงเพื่ออนาจาร กับ ข่มขืนกระทำชำเรา
ขณะเกิดเหตุผู้เสียหายมีอายุ 14 ปีเศษ อยู่ในความปกครองดูแลของ ด.มารดา ตามวันและเวลาเกิดเหตุจำเลยพาผู้เสียหายไปโดยไม่ได้ขออนุญาตด.ก่อน และจำเลยพาผู้เสียหายไปข่มขืนกระทำชำเราโดยมิได้มีเจตนาที่จะเลี้ยงดูผู้เสียหายหรืออยู่กินกันฉันสามีภริยา การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานพรากเด็กหญิงอายุยังไม่เกิน 15 ปี ไปเสียจากมารดาโดยปราศจากเหตุอันสมควรเพื่อการอนาจาร และกระทำชำเราเด็กหญิงอายุยังไม่เกิน 15 ปี ซึ่งมิใช่ภริยาของตนโดยเด็กหญิงนั้นไม่ยินยอม ดังนั้น แม้การกระทำของจำเลยดังกล่าวจะเป็นการกระทำต่อเนื่องในวันเดียวกันก็ตาม แต่เห็นได้ชัดว่าจำเลยได้กระทำไปโดยมีเจตนาต่างกันกล่าวคือ จำเลยมีเจตนาพรากผู้เสียหายไปเสียจากมารดาผู้เสียหายเพื่อการอนาจารอันเป็นเจตนาที่กระทำต่อมารดาผู้เสียหาย ส่วนที่จำเลยกระทำต่อผู้เสียหายเป็นเจตนาข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายอันเป็นเจตนาต่างกันกับเจตนาพรากดังกล่าว จึงมิใช่การกระทำโดยมีเจตนาเดียวกัน การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิด 2 กรรมต่างกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2874/2541
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาต่างกัน พรากเด็กและข่มขืนเป็นความผิด 2 กรรม
ขณะเกิดเหตุผู้เสียหายมีอายุ 14 ปีเศษ อยู่ในความปกครองดูแลของ ด. มารดา ตามวันและเวลาเกิดเหตุจำเลยพาผู้เสียหายไปโดยไม่ได้ขออนุญาต ด.ก่อน และจำเลยพาผู้เสียหายไปข่มขืนกระทำชำเราโดยมิได้เจตนาที่จะเลี้ยงดูผู้เสียหายหรืออยู่กินฉันสามีภริยา การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานพรากเด็กหญิงอายุยังไม่เกิน 15 ปี ไปเสียจาก มารดาโดยปราศจากเหตุอันสมควรเพื่อการอนาจาร และกระทำชำเรา เด็กหญิงอายุยังไม่เกิน 15 ปี ซึ่งไม่ใช่ภริยาของตนโดย เด็กหญิงนั้นไม่ยินยอม ดังนั้น แม้การกระทำของจำเลยดังกล่าวจะเป็นการกระทำต่อเนื่องในวันเดียวกันก็ตาม แต่เห็นได้ชัดว่าจำเลยได้กระทำไปโดยมีเจตนาต่างกัน กล่าวคือ จำเลยมีเจตนาพรากผู้เสียหายไปเสียจากมารดาผู้เสียหายเพื่อการอนาจารอันเป็นเจตนาที่กระทำต่อมารดาผู้เสียหาย ส่วนที่จำเลยกระทำต่อผู้เสียหายเป็นเจตนาข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายอันเป็นเจตนาต่างกันกับเจตนาพรากดังกล่าว จึงมิใช่การกระทำโดยมีเจตนาเดียวกัน การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิด 2 กรรม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2429/2541
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การสมรสภายหลังเกิดเหตุพรากผู้เยาว์และการกระทำชำเรา ผลกระทบต่อความผิดทางอาญา
ขณะเกิดเหตุเด็กหญิง ม. มีอายุไม่ครบ 17 ปีบริบูรณ์จึงมิอาจสมรสได้ เว้นแต่ศาลจะอนุญาตตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1448 กรณีที่จำเลยต้องการอยู่กินฉันสามีภริยากับเด็กหญิง ม. โดยนาง จ.มารดาเด็กหญิง ม. ยื่นคำร้องต่อศาลเยาวชนและครอบครัวกลางขออนุญาตให้เด็กหญิง ม. จดทะเบียนสมรสกับจำเลยนั้นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นภายหลังเกิดเหตุแล้วแม้ต่อมาศาลเยาวชนและครอบครัวกลางจะอนุญาตตามคำร้องดังกล่าวก็มิอาจลบล้างความผิดที่จำเลยได้กระทำมา ดังนั้นที่ศาลล่างทั้งสองเห็นว่าจำเลยกระทำความผิดฐานพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจารจึงชอบแล้ว แต่เมื่อศาลเยาวชนและครอบครัวกลางได้อนุญาตให้จำเลยและเด็กหญิง ม. สมรสกันการกระทำของจำเลยในข้อหากระทำชำเราเด็กหญิงอายุยังไม่เกิน 15 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคแรกจำเลยจึงไม่ต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้ในวรรคท้ายแม้จำเลยจะมิได้ฎีกามาแต่ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจวินิจฉัยได้เอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1102/2541
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข่มขืนในบ้านผู้กระทำ ไม่ถือว่าพรากผู้เยาว์หากยังอยู่ในความดูแลของผู้ปกครอง
ผู้เสียหายอายุ 9 ปี บ้านจำเลยกับบ้านผู้เสียหายอยู่ใกล้กันก่อนเกิดเหตุผู้เสียหายโดยสารรถของจำเลยไปและกลับจากโรงเรียนเป็นประจำทุกวัน เมื่อกลับจากโรงเรียนแล้วมีบ่อยครั้งที่ผู้เสียหายเล่นอยู่กับบุตรสาวจำเลยก่อนจะกลับบ้านหรือบางครั้งกลับมาถึงบ้านแล้วก็ไปเล่นกับบุตรสาวจำเลยที่บ้านจำเลย พฤติการณ์เช่นนี้แม้ขณะที่ผู้เสียหายเล่นอยู่ที่บ้านจำเลยก็ถือว่าผู้เสียหายยังอยู่ในความปกครองดูแลของ ช.ผู้ปกครองของผู้เสียหายเองก็ตาม แต่การที่จำเลยเรียกผู้เสียหายให้เข้าไปในบ้านจำเลยแล้วพาไปข่มขืนกระทำชำเราในห้องนอนของจำเลย เมื่อเป็นการกระทำในบริเวณบ้านจำเลยนั้นเอง จำเลยมิได้พาผู้เสียหายไปยังสถานที่อื่น กรณีจึงถือไม่ได้ว่าจำเลยพรากผู้เสียหายไปเสียจากความปกครองดูแลของ ช. การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดฐานพรากผู้เยาว์ตาม ป.อ.มาตรา 317 วรรคสาม