คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
กฎหมายลักษณะอาญา ม. 70

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 77 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1196/2502

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาลฎีกาในการลงโทษกระทงความผิดอื่น แม้ศาลชั้นต้นไม่ลงโทษ หากศาลฎีกายกฟ้องกระทงหลัก
เมื่อศาลชั้นต้นมิได้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯลฯไว้เพราะได้ลงโทษในกระทงหนักแล้ว คือ ความผิดฐานพยายามฆ่าคน หากศาลฎีกาวินิจฉัยฟังว่า จำเลยไม่ต้องรับโทษฐานพยายามฆ่าคน ดังนี้ ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจที่จะกำหนดโทษให้จำเลยต้องรับโทษในความผิดตาม พระราชบัญญัติอาวุธปืนฯลฯ ได้ ทั้งนี้โดยเห็นว่า เมื่อศาลชั้นต้นวางโทษจำเลยฐานพยายามฆ่าคน นั้น คงจะได้พิจารณาว่า เป็นการลงโทษหนักอยู่แล้ว จึงวางแต่กระทงหนัก เมื่อศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยไม่ต้องรับโทษฐานพยายามฆ่าคน ศาลฎีกาก็ควรวางโทษจำเลยในความผิดฐานมีอาวุธปืนไม่ได้รับอนุญาต (ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 15/2502)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 513/2500

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดทางอาญาจากการขับรถประมาททำให้ผู้อื่นได้รับบาดเจ็บสาหัส และประเด็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท
กรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท
บาดเจ็บถึงสาหัส
จำเลยขับรถรางโดยประมาทชนนางสาวอัมพรบาดเจ็บสาหัสเป็นการกระทำโดยกรรมเดียว ผิดกฎหมายหลายบท ผิด กฎหมายอาญา มาตรา259 และพระราชบัญญัติจราจรฯลฯ ลงโทษตามกฎหมายอาญา มาตรา 259 ซึ่งเป็นบทหนัก
ศีรษะของผู้บาดเจ็บกระแทกเข้ากับฐานซิเมนต์อย่างแรงจนกระเทือนถึงสมองทำให้เรียนหนังสือไม่ได้ อ่านหนังสือไม่ได้ตลอดเวลา 21 วันและตลอดเวลา 2 เดือน เศษแล้วก็ยังเรียนหนังสือไม่ได้ตามปรกติโดยจะดูหนังสือเกินชั่วโมงก็ปวดศีรษะ ถือว่าถึงความทุพพลภาพมีอาการประกอบด้วยทุกขเวทนาเกินกว่า 20 วัน เป็นบาดเจ็บถึงสาหัสตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 256(8)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 513/2500 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดจากอุบัติเหตุรถรางประมาท: บาดเจ็บสาหัส, กรรมเดียวผิดหลายบท, โทษตามกฎหมายอาญา
กรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท
บาดเจ็บถึงสาหัส
จำเลยขับรถรางโดยประมาทชนนางสาวอัมพรบาดเจ็บสาหัส เป็นการกระทำโดยกรรมเดียว ผิดกฎหมายหลายบท ผิด ก.ม.อาญา ม.259 และ พ.ร.บ.จราจร ฯลฯ ลงโทษตามก.ม. อาญา ม.259 ซึ่งเป็นบทหนัก
ศีรษะของผู้บาดเจ็บกระแทกเข้ากับฐานสิเมนต์อย่างแรงจนกระเทือนถึงสมองทำให้เรียนหนังสือไม่ได้ อ่านหนังสือไม่ได้ตลอดเวลา 21 วันและตลอดเวลา 2 เดือน เศษแล้วก็ยังเรียนหนังสือไม่ได้ตามปรกติ โดยจะดูหนังสือเกินชั่วโมงก็ปวดศีรษะ ถือว่าถึงความทุพพลภาพมีอาการประกอบด้วยทุกขเวทนากล้าเกินกว่า 20 วัน เป็นบาดเจ็บถึงสาหัสตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 256(8).

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1618/2499

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิจารณาความผิดฐานบุกรุกและพยายามฆ่า: แยกกระทงหรือรวมกระทง
การที่จะวินิจฉัยว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกระทงหรือเป็นความผิดกระทงเดียวแต่ต้องด้วยกฎหมายหลายบท มีหลักวินิจฉัยดังนี้คือ ถ้าการกระทำใดเป็นความผิดต้องด้วยกฎหมายหลายบทแล้วจะแยกการกระทำนั้นออกจากกันไม่ได้ ก็เป็นความผิดที่ต้องด้วยกฎหมายหลายบท แต่ถ้ากฎหมายบัญญัติการกระทำเป็นความผิดไว้คนละอย่างต่างกัน เช่นลักทรัพย์กับทำร้ายร่างกาย หรือทำร้ายร่างกายกับบุกรุกดังนี้ ผู้ที่กระทำผิดทั้งสองอย่างก็ต้องเป็นความผิด 2 กระทงไม่ใช่ต้องด้วยกฎหมายหลายบทเพราะต่างกรรมต่างวาระกัน
การที่จำเลยที่ 1 ทำผิดทั้งบุกรุกและพยายามฆ่าคนเป็นความผิด 2 ฐาน ไม่ใช่เป็นการกระทำเพียงอย่างเดียวจำเลยที่ 1 จึงต้องมีความผิดเป็นสองกระทงคือฐานบุกรุกกระทงหนึ่งและฐานพยายามฆ่าคนอีกกระทงหนึ่ง แต่ถ้าความผิดอาญานั้นเกี่ยวเนื่องกันศาลอาจใช้ดุลพินิจรวมกระทงลงโทษจำเลยได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 995/2499

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องซ้ำ - เจตนาเดียว - การยักย้ายน้ำมันเพื่อออกนอกประเทศ - ลงโทษซ้ำไม่ได้
การลักลอบขนน้ำมันออกจากสถานที่เก็บซึ่งเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติป้องกันการค้ากำไรเกินควร พ.ศ.2490 ต่อเนื่องกับการลักลอบขนน้ำมันออกนอกประเทศไทย เมื่อโจทก์แยกฟ้องจำเลยเป็นความผิดสองสำนวน และความผิดตามพระราชบัญญัติป้องกันการค้ากำไรเกินควรศาลพิพากษาลงโทษไปแล้ว ส่วนอีกสำนวนหนึ่งคือฐานนำน้ำมันออกนอกประเทศ ซึ่งตามพฤติการณ์เห็นได้ว่าการกระทำทั้งหลายของจำเลยตั้งแต่เริ่มยักย้ายก็ด้วยเจตนาอันเดียวที่จะนำออกนอกราชอาณาจักร จึงถือว่าการกระทำของจำเลยต้องด้วย กฎหมายหลายบทและไม่อาจแยกเป็นกระทงหนึ่งต่างหากได้ เมื่อจำเลยถูกลงโทษแล้ว ก็ลงโทษจำเลยอีกไม่ได้ ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 9(4) ถือว่าเป็นฟ้องซ้ำ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 817/2499

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องสมคบหน่วงเหนี่ยวกักขังเพื่อเรียกค่าไถ่ แม้ไม่มีรายละเอียดการกระทำของจำเลยแต่ละคน ก็ไม่ถือเป็นฟ้องเคลือบคลุม
ความผิดฐานสมคบหน่วงเหนี่ยวกักขังคนเพื่อสินไถ่นั้นโจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยทั้ง 5 สมคบกันกระทำผิดเริ่มแต่วันที่ 13 ธ.ค. ถึง 17 ธ.ค.95 ทั้งเวลากลางวันและกลางคืนอันเป็นเวลาระหว่างที่จำเลยลักพาเด็กไปหน่วงเหนี่ยวกักขังไว้เพื่อสินไถ่ ไม่จำต้องระบุว่าจำเลยคนใดทำอะไรความละเอียดนอกจากนี้เป็นข้อที่นำสืบจำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีและไม่หลงข้อต่อสู้ จึงไม่เป็นการฟ้องเคลือบคลุม
แม้ข้อเท็จจริงตามทางพิจารณาจะไม่ได้ความว่าจำเลยคนไหนเป็นผู้กักขังหน่วงเหนี่ยวและไม่มีพยานโจทก์เห็นผู้เสียหายถูกกักขังอยู่ในลังเมื่อเหตุอื่นๆ ฟังได้ว่าจำเลยสมคบกันหน่วงเหนี่ยวกักขังจริงจึงไม่ใช่ข้อเท็จจริงต่างกับฟ้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 570/2499

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดหลายบท vs. หลายกระทง และการเพิ่มโทษตามกฎหมายอาญา
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษและเพิ่มโทษตาม กฎหมายลักษณะอาญามาตรา 73 แต่ข้อเท็จจริงได้ความว่าจะต้องเพิ่มโทษจำเลยตาม มาตรา 72 ศาลก็เพิ่มโทษจำเลยตาม มาตรา 72 ได้ไม่เป็นการเกินคำขอ
จำเลยทำการชิงทรัพย์และได้ทำให้ทรัพย์ของเจ้าทรัพย์เสียหายด้วยเมื่อปรากฏว่าการกระทำของจำเลยเกิดขึ้นในสถานที่เดียวกันในเวลาติดต่อเนื่องกันด้วยเจตนามุ่งหวังในทรัพย์ไม่ขาดตอนกันเช่นนี้การกระทำของจำเลยถือว่าเป็นความผิดหลายบทไม่ใช่หลายกระทง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 264/2499

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การลงโทษกระทงความผิดฐานทำร้ายร่างกายหลายคน: การพิจารณาต่างกรรมต่างวาระและการบังคับใช้ตามฟ้อง
ในคดีที่จำเลยหลายคนสมคบกันทำร้ายผู้เสียหายหลายคนโจทก์บรรยายฟ้องว่า 'จำเลยต่างมีมีดเป็นอาวุธสมคบกันฟันและแทงทำร้ายร่างกายนายสอาดกับนายใจถึงบาดเจ็บสาหัสทุพพลภาพฯ'ในฟ้องมิได้กล่าวว่าการกระทำของจำเลยเป็นกิจจะลักษณะต่างกรรมต่างวาระและโจทก์ก็มิได้นำสืบว่าการกระทำร้ายได้เกิดขึ้นในลักษณะอย่างไรทั้งคำขอท้ายฟ้องโจทก์มิได้อ้าง มาตรา71 ให้เรียงกระทงลงโทษ เพียงเท่านี้ยังไม่พอฟังว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกระทง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 512/2498 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฉุดคร่าอนาจาร-หน่วงเหนี่ยวกักขัง: การกระทำผิดต่างกรรมต่างวาระ ศาลรวมโทษได้
จำเลยฉุดคร่าผู้เสียหายไปเพื่อการอนาจารและเมื่อพาไปถึงบ้านผู้อื่นแล้ว จำเลยยังได้บังอาจหน่วงเหนึ่ยวกักขังผู้เสียหายไว้อีกดังนี้ เป็นการกระทำผิด 2 ตอน ต่างกรรมต่างวาระกัน จำเลยย่อมมีผิดฐานฉุดคร่าห์อนาจารและฐานหน่วงเหนี่ยวกักขังตาม ก.ม.ลักษณะอาญา ม. 276,270 เป็นสองกะทง และศาลมีอำนาจให้รวมกะลงลงโทษจำเลยได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 246/2497

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การกำหนดบทหนักในความผิดหลายบท ต้องพิจารณาอัตราโทษจำคุกสูงสุด ไม่ใช่อัตราโทษปรับ
การใช้บทกฎหมายที่อาญาหนักลงโทษความผิดที่ละเมิดกฎหมายหลายบทนั้นต้องถืออัตราโทษจำคุกสูงสุดที่ศาลอาจวางกำหนดลงโทษแก่จำเลยสำหรับความผิดที่จำเลยกระทำลงได้นั้นเป็นสำคัญ มิใช่ถืออัตราโทษปรับมากน้อยหรือต้องลงโทษทั้งจำทั้งปรับ
ตาม พระราชบัญญัติศุลกากรนั้น ความผิดฐานพยายามมีโทษเท่ากับความผิดสำเร็จ เมื่อความผิดของจำเลยเป็นความผิดฐานพยายามพระราชบัญญัติศุลกากรจึงเป็นบทหนักกว่า พระราชบัญญัติควบคุมการส่งออกไปนอกฯ
ประชุมใหญ่ครั้งที่ 5/2497
of 8