พบผลลัพธ์ทั้งหมด 243 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7216/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิเรียกร้องหนี้และการบังคับชำระหนี้, การค้ำประกัน, อัตราดอกเบี้ย, และข้อจำกัดการฎีกา
จำเลยให้การว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมเพราะไม่ได้แสดงโดยชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหาว่าโจทก์อาศัยสิทธิใดในการเรียกดอกเบี้ยและโจทก์ได้รับชำระดอกเบี้ยกับต้นเงินจากจำเลยที่ 1 แล้วจำนวนเท่าใดแต่จำเลยฎีกาว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมเพราะบรรยายแต่เพียงลอย ๆระบุยอดหนี้รวมมา ไม่แยกแยะให้เห็นว่ามีการชำระหนี้เงินต้นเมื่อไรอย่างไร ชำระดอกเบี้ยกันอย่างไร กี่ครั้ง ครั้งสุดท้ายเมื่อไรข้อฎีกาของจำเลยจึงเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นต้องห้ามฎีกาตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249วรรคหนึ่ง สัญญากู้ยืมเงินมีกำหนดเวลาชำระหนี้เสร็จสิ้นใน 20 เดือน แต่มีข้อตกลงให้ผู้ให้กู้มีสิทธิเรียกร้องให้ผู้กู้ชำระหนี้ตามสัญญาทั้งหมดหรือบางส่วนก่อนถึงกำหนดได้โดยผู้ให้กู้ไม่จำต้องชี้แจงแสดงเหตุ ผู้ให้กู้จึงมีสิทธิฟ้องบังคับผู้กู้ให้ชำระหนี้ได้ทันทีโดยไม่ต้องบอกกล่าวก่อนแม้หนี้จะยังไม่ถึงกำหนดและผู้กู้ไม่ได้ผิดนัดและการที่หนี้ระหว่างผู้ให้กู้และผู้กู้เปลี่ยนเป็นหนี้ที่ไม่มีกำหนดเวลาชำระหนี้ ก็หาทำให้สิทธิของผู้ให้กู้ตามข้อตกลงดังกล่าวเปลี่ยนแปลงไปไม่ แม้สัญญาค้ำประกันจะไม่ได้ระบุอัตราดอกเบี้ยที่ผู้ค้ำประกันจะต้องรับผิดไว้ แต่ก็ได้เท้าความถึงสัญญากู้ยืมเงินที่ผู้ค้ำประกันตกลงค้ำประกันหนี้ไว้ชัดแจ้งและมีข้อความอีกว่า ถ้าลูกหนี้ผิดนัดการชำระหนี้ผู้ค้ำประกันตกลงชำระหนี้นั้นแก่ผู้ให้กู้ทันทีพร้อมดอกเบี้ย กรณีจึงถือได้ว่าผู้ค้ำประกันตกลงค้ำประกันหนี้ของลูกหนี้ทั้งต้นเงินและดอกเบี้ย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1220/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญากู้ที่มีมูลหนี้จากการพนันสลากกินรวบเป็นโมฆะ
จำเลยรับโพยสลากกินรวบจากผู้เล่นไปส่งให้ น. แล้ว น.นำไปส่งให้โจทก์อีกต่อหนึ่ง การที่จำเลยไม่ได้นำเงินส่วนให้และโจทก์ให้จำเลยทำสัญญากู้ไว้ เป็นสัญญากู้ที่มีมูลหนี้เกิดจากการพนันสลากกินรวบ ไม่ก่อให้เกิดหนี้อันจะเรียกร้องกันได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 144/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกู้ยืมเงิน: ข้อแตกต่างในการรับเงินก่อนหรือหลังทำสัญญากู้ ไม่ทำให้สัญญากู้เป็นโมฆะ
ฟ้องโจทก์บรรยายว่า จำเลยที่ 1 ได้กู้ยืมเงินโจทก์และทำหนังสือสัญญากู้เงินไว้ แม้ทางพิจารณาได้ความว่าจำเลยที่ 1กู้ยืมเงินไปสี่ห้าครั้งก่อนแล้วจึงได้ทำสัญญากู้เงินตามเอกสารหมาย ล.1 ก็ไม่เป็นพิรุธหรือข้อแตกต่างอันจะทำให้สัญญากู้เงินเสียไป เพราะข้อสาระสำคัญอยู่ที่ว่าจำเลยที่ 1 ได้กู้ยืมเงินและได้รับเงินจำนวนตามฟ้องจากโจทก์ไปแล้วก่อนทำสัญญากู้เงินหรือไม่ การที่จำเลยที่ 1 จะได้รับเงินจำนวนตามฟ้องจากโจทก์ในวันทำสัญญากู้เงินหรือก่อนวันทำสัญญาและรับเงินดังกล่าวครั้งเดียวหรือหลายครั้ง ก็ถือไม่ได้ว่าเป็นข้อแตกต่างกับฟ้องถึงรับฟังไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 945/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อจำกัดการขอวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้น, ฟ้องเคลือบคลุม, สิทธิเรียกร้องก่อนกำหนด, การส่งหนังสือบอกกล่าว, ความรับผิดของผู้ค้ำประกัน
เมื่อคดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา โจทก์ไม่มีสิทธิยื่นคำร้องขอให้ศาลฎีกาวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 24 ได้ คำให้การของจำเลยที่ 1 ไม่ชัดแจ้งว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมเพราะเหตุใด ส่วนจำเลยที่ 2 ไม่ได้ให้การต่อสู้ในประเด็นเรื่องฟ้องเคลือบคลุมไว้ คดีจึงไม่มีประเด็นว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่แม้ศาลล่างทั้งสองจะวินิจฉัยให้ก็เป็นการนอกประเด็น ถือได้ว่าเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลล่างทั้งสอง ฎีกาของจำเลยทั้งสองที่ว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมจึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 สัญญาเบิกเงินเกินบัญชีและสัญญากู้เงินมีข้อความว่า ระยะเวลาชำระหนี้ที่กำหนดไว้ไม่เป็นการตัดสิทธิโจทก์ที่จะเรียกร้องให้จำเลยที่ 1 ชำระหนี้ทั้งหมดหรือแต่บางส่วนก่อนกำหนด นั้น เกิดขึ้นด้วยใจสมัครของจำเลยที่ 1 เอง หาเกี่ยวกับสังคมหรือประชาชนไม่จึงไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชน เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกหนี้ผิดนัดไม่ชำระหนี้จำเลยที่ 2 ในฐานะผู้ค้ำประกันหนี้ของจำเลยที่ 1 ก็ต้องร่วมรับผิดด้วย แม้จะไม่มีข้อกำหนดในสัญญาว่าจำเลยที่ 2 จะต้องร่วมรับผิดตั้งแต่เมื่อใด จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลมีจำเลยที่ 2 เป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทน แม้จำเลยที่ 2 จะมีที่อยู่แยกต่างหากจากภูมิลำเนาของจำเลยที่ 1 แต่ก็ถือได้ว่าจำเลยที่ 2 มีหลักแหล่งที่ทำการเป็นปกติแห่งเดียวกับภูมิลำเนาของจำเลยที่ 1 การที่โจทก์ส่งหนังสือบอกกล่าวทวงถามให้ชำระหนี้และไถ่ถอนจำนองไปถึงจำเลยที่ 1 แล้วถือได้ว่าจำเลยที่ 2 ผู้จำนองได้รับหนังสือบอกกล่าวนั้นแล้วด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4173/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ประเด็นการต่อสู้ในคดีนอกคำให้การ และการฟ้องซ้ำที่มิได้มีประเด็นข้อเท็จจริงเดียวกัน
ปัญหาว่า ว.กรรมการบริษัทโจทก์ได้ลงลายมือชื่อในใบแต่งทนายความหรือไม่ จำเลยที่ 3 มิได้ยกขึ้นต่อสู้ไว้ในคำให้การฎีกาของจำเลยที่ 3 ในส่วนนี้จึงเป็นเรื่องนอกประเด็นนอกเหนือจากคำให้การ ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย โจทก์เคยฟ้องจำเลยทั้งสามในเรื่องเดียวกันครั้งหนึ่งแล้วแต่ศาลพิพากษายกฟ้องเนื่องจากพยานหลักฐานไม่พอรับฟังว่า ว.กรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนบริษัทโจทก์เป็นผู้กระทำการแทนโจทก์ในคดีดังกล่าว โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง แม้คดีก่อนศาลจะสืบพยานในประเด็นแห่งคดีจนเสร็จการพิจารณาแล้ว แต่ศาลก็พิพากษายกฟ้องเพราะเหตุพยานหลักฐานโจทก์เกี่ยวกับอำนาจฟ้องยังไม่พอรับฟังโดยยังมิได้วินิจฉัยชี้ขาดในประเด็นแห่งคดี ทั้งปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องในคดีก่อนกับคดีนี้ก็ต่างกัน การที่โจทก์มาฟ้องใหม่ในเรื่องเดียวกันนี้จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1500/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำรับของจำเลยทำให้สัญญากู้ที่ไม่ติดอากรแสตมป์ใช้เป็นหลักฐานได้ ภาระการพิสูจน์อยู่ที่จำเลย
จำเลยให้การรับว่าสัญญากู้ท้ายฟ้องเป็นเอกสารที่จำเลยทำให้กับผู้ตายซึ่งเป็นสามีโจทก์ไว้ โจทก์จึงไม่มีภาระจะต้องพิสูจน์และส่งอ้างเอกสารสัญญากู้นั้นเป็นพยานหลักฐาน แม้สัญญากู้ที่โจทก์อ้างจะมิได้ปิดอากรแสตมป์ ก็รับฟังได้ตามคำรับของจำเลยว่ามีการกู้กันจริงไม่ต้องด้วยประมวลรัษฎากร มาตรา 118 ที่ห้ามมิให้รับฟังตราสารที่ไม่ปิดแสตมป์บริบูรณ์เป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่ง จำเลยอ้างว่าการกู้เงินยังไม่บริบูรณ์เพราะจำเลยยังมิได้รับเงินกู้ ภาระการพิสูจน์จึงตกแก่จำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1500/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำรับของจำเลยทำให้สัญญากู้ที่ไม่ได้ปิดอากรแสตมป์ใช้เป็นหลักฐานได้ หากจำเลยพิสูจน์การไม่ได้รับเงินกู้ไม่ได้
เมื่อจำเลยให้การรับว่าสัญญากู้ท้ายฟ้องเป็นเอกสารที่จำเลยทำให้กับผู้ตายซึ่งเป็นสามีโจทก์ไว้ โจทก์จึงไม่มีภาระจะต้องพิสูจน์และส่งอ้างเอกสารสัญญากู้นั้นเป็นพยานหลักฐาน แม้สัญญากู้ที่โจทก์อ้างนั้นจะมิได้ปิดอากรแสตมป์ ก็รับฟังได้ตามคำรับของจำเลยว่ามีการกู้กันจริง จึงไม่มีกรณีต้องห้ามตามประมวลรัษฎากรมาตรา 118 ที่ห้ามมิให้รับฟังตราสารที่ไม่ปิดแสตมป์บริบูรณ์เป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่ง จำเลยอ้างว่าการกู้เงินยังไม่บริบูรณ์เพราะจำเลยยังมิได้รับเงินกู้ก็ต้องมีภาระการพิสูจน์ เมื่อจำเลยไม่อาจพิสูจน์ให้ศาลเชื่อฟังได้ตามข้ออ้าง ศาลย่อมฟังข้อเท็จจริงได้ว่าจำเลยได้รับเงินตามสัญญากู้ไปแล้วไม่ใช้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 599/2535 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยืมสิ่งของ, การผิดนัดชำระหนี้, สัญญาที่ไม่ต้องปิดอากรแสตมป์, และความถูกต้องของคำฟ้อง
ฎีกาของจำเลยที่คัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้น มิได้ฎีกาคัดค้านคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่วินิจฉัยให้
จำเลยยืมปุ๋ยและของอื่นไปจากโจทก์เพื่อใช้ในการทำใบยาสูบ จำเลยจะทำใบยาสูบเองหรือไม่ไม่ใช่ข้อสำคัญ แม้สัญญายืมสิ่งของดังกล่าวจะไม่ได้กำหนดเวลาคืนสิ่งของไว้แต่ตามพฤติการณ์การให้ยืมสิ่งของดังกล่าวเพื่อใช้ในฤดูกาลทำใบยาสูบ เมื่อสิ้นฤดูกาลแล้วก็ต้องส่งคืนหากใช้ไม่หมด ส่วนที่ใช้ไปแล้วไม่อาจส่งคืนได้ ก็ต้องใช้ราคา ดังนี้ เป็นกรณีที่ไม่ได้กำหนดเวลาชำระหนี้ไว้ตามวันแห่งปฏิทิน เป็นเพียงอนุมานจากพฤติการณ์ การที่จำเลยไม่ส่งคืนของที่ยืมเมื่อสิ้นระยะเวลาที่อนุมานจากพฤติการณ์ได้นั้น ก็ยังไม่ตกเป็นผู้ผิดนัด แต่ต่อมาเมื่อโจทก์มีหนังสือบอกกล่าวให้จำเลยคืนของที่ยืมภายในวันที่กำหนด จำเลยไม่คืน จึงตกเป็นผู้ผิดนัดนับแต่วันถัดจากวันที่กำหนดนั้น
สัญญายืมสิ่งของมิได้กำหนดไว้ในบัญชีอัตราอากรแสตมป์ ท้ายหมวด 6 แห่งประมวลรัษฎากรว่าต้องปิดอากรแสตมป์ สัญญาดังกล่าวแม้ไม่ได้ปิดอากรแสตมป์ก็รับฟังเป็นพยานหลักฐานได้ ไม่ต้องห้ามตามมาตรา 118 แห่งประมวลรัษฎากร
บรรยายฟ้องว่า จำเลยคืนสิ่งของแก่โจทก์บางส่วนเป็นเงิน 5,790 บาทต่อมาได้นำเงินมาชำระค่าสิ่งของแก่โจทก์ ยังคงเหลือสิ่งของรวมเป็นเงิน 48,480 บาท แต่โจทก์มีหนังสือบอกกล่าวทวงถามให้จำเลยคืนสิ่งของรวม 81,870 บาท เมื่อหนังสือบอกกล่าวท้ายฟ้องได้แสดงรายละเอียดของทรัพย์ที่จำเลยยืมโจทก์ไปเป็นเงิน 48,480 บาท ตรงตามคำฟ้อง โดยไม่รวมค่ากรรมกรขนของ คำฟ้องจึงไม่ขัดกันและจำเลยก็เข้าใจข้อหาต่อสู้คดีได้ถูกต้อง คำฟ้องจึงแสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหา ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม
จำเลยยืมปุ๋ยและของอื่นไปจากโจทก์เพื่อใช้ในการทำใบยาสูบ จำเลยจะทำใบยาสูบเองหรือไม่ไม่ใช่ข้อสำคัญ แม้สัญญายืมสิ่งของดังกล่าวจะไม่ได้กำหนดเวลาคืนสิ่งของไว้แต่ตามพฤติการณ์การให้ยืมสิ่งของดังกล่าวเพื่อใช้ในฤดูกาลทำใบยาสูบ เมื่อสิ้นฤดูกาลแล้วก็ต้องส่งคืนหากใช้ไม่หมด ส่วนที่ใช้ไปแล้วไม่อาจส่งคืนได้ ก็ต้องใช้ราคา ดังนี้ เป็นกรณีที่ไม่ได้กำหนดเวลาชำระหนี้ไว้ตามวันแห่งปฏิทิน เป็นเพียงอนุมานจากพฤติการณ์ การที่จำเลยไม่ส่งคืนของที่ยืมเมื่อสิ้นระยะเวลาที่อนุมานจากพฤติการณ์ได้นั้น ก็ยังไม่ตกเป็นผู้ผิดนัด แต่ต่อมาเมื่อโจทก์มีหนังสือบอกกล่าวให้จำเลยคืนของที่ยืมภายในวันที่กำหนด จำเลยไม่คืน จึงตกเป็นผู้ผิดนัดนับแต่วันถัดจากวันที่กำหนดนั้น
สัญญายืมสิ่งของมิได้กำหนดไว้ในบัญชีอัตราอากรแสตมป์ ท้ายหมวด 6 แห่งประมวลรัษฎากรว่าต้องปิดอากรแสตมป์ สัญญาดังกล่าวแม้ไม่ได้ปิดอากรแสตมป์ก็รับฟังเป็นพยานหลักฐานได้ ไม่ต้องห้ามตามมาตรา 118 แห่งประมวลรัษฎากร
บรรยายฟ้องว่า จำเลยคืนสิ่งของแก่โจทก์บางส่วนเป็นเงิน 5,790 บาทต่อมาได้นำเงินมาชำระค่าสิ่งของแก่โจทก์ ยังคงเหลือสิ่งของรวมเป็นเงิน 48,480 บาท แต่โจทก์มีหนังสือบอกกล่าวทวงถามให้จำเลยคืนสิ่งของรวม 81,870 บาท เมื่อหนังสือบอกกล่าวท้ายฟ้องได้แสดงรายละเอียดของทรัพย์ที่จำเลยยืมโจทก์ไปเป็นเงิน 48,480 บาท ตรงตามคำฟ้อง โดยไม่รวมค่ากรรมกรขนของ คำฟ้องจึงไม่ขัดกันและจำเลยก็เข้าใจข้อหาต่อสู้คดีได้ถูกต้อง คำฟ้องจึงแสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหา ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 599/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยืมสิ่งของ, การผิดนัดชำระหนี้, สัญญาที่ไม่ต้องปิดอากรแสตมป์, และความชัดเจนของคำฟ้อง
ฎีกาของจำเลยที่คัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้น มิได้ฎีกาคัดค้านคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่วินิจฉัยให้ จำเลยยืมปุ๋ยและของอื่นไปจากโจทก์เพื่อใช้ในการทำใบยาสูบจำเลยจะทำใบยาสูบเองหรือไม่ไม่ใช่ข้อสำคัญ แม้สัญญายืมสิ่งของดังกล่าวจะไม่ได้กำหนดเวลาคืนสิ่งของไว้แต่ตามพฤติการณ์การให้ยืมสิ่งของดังกล่าวเพื่อใช้ในฤดูกาลทำใบยาสูบ เมื่อสิ้นฤดูกาลแล้วก็ต้องส่งคืนหากใช้ไม่หมด ส่วนที่ใช้ไปแล้วไม่อาจส่งคืนได้ ก็ต้องใช้ราคา ดังนี้ เป็นกรณีที่ไม่ได้กำหนดเวลาชำระหนี้ไว้ตามวันแห่งปฏิทิน เป็นเพียงอนุมานจากพฤติการณ์ การที่จำเลยไม่ส่งคืนของที่ยืมเมื่อสิ้นระยะเวลาที่อนุมานจากพฤติการณ์ได้นั้น ก็ยังไม่ตกเป็นผู้ผิดนัด แต่ต่อมาเมื่อโจทก์มีหนังสือบอกกล่าวให้จำเลยคืนของที่ยืมภายในวันที่กำหนด จำเลยไม่คืน จึงตกเป็นผู้ผิดนัดนับแต่วันถัดจากวันที่กำหนดนั้น สัญญายืมสิ่งของมิได้กำหนดไว้ในบัญชีอัตราอากรแสตมป์ท้ายหมวด 6 แห่งประมวลรัษฎากรว่าต้องปิดอากรแสตมป์ สัญญาดังกล่าวแม้ไม่ได้ปิดอากรแสตมป์ก็รับฟังเป็นพยานหลักฐานได้ไม่ต้องห้ามตามมาตรา 118 แห่งประมวลรัษฎากร บรรยายฟ้องว่า จำเลยคืนสิ่งของแก่โจทก์บางส่วนเป็นเงิน5,790 บาท ต่อมาได้นำเงินมาชำระค่าสิ่งของแก่โจทก์ ยังคงเหลือสิ่งของรวมเป็นเงิน 48,480 บาท แต่โจทก์มีหนังสือบอกกล่าวทวงถามให้จำเลยคืนสิ่งของรวม 81,870 บาท เมื่อหนังสือบอกกล่าวท้ายฟ้องได้แสดงรายละเอียดของทรัพย์ที่จำเลยยืมโจทก์ไปเป็นเงิน48,480 บาท ตรงตามคำฟ้อง โดยไม่รวมค่ากรรมกรขนของ คำฟ้องจึงไม่ขัดกันและจำเลยก็เข้าใจข้อหาต่อสู้คดีได้ถูกต้อง คำฟ้องจึงแสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหา ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3600/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความสัญญากู้เงิน/ขายลดเช็ค: ฟ้องภายใน 10 ปีได้ แม้เช็คขาดอายุความ
โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองโดยอาศัยมูลของสัญญากู้เงินและสัญญาขายลดเช็ค มิใช่ฟ้องเรียกเงินตามเช็คโดยตรง สัญญากู้เงิน และขายลดเช็ค กฎหมายมิได้กำหนดอายุความไว้โดยเฉพาะจึงต้องใช้อายุความ 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164 แม้ เช็คตามฟ้องซึ่งจำเลยที่ 1 นำมาขายลดนั้นขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1002 ไปแล้ว โจทก์ก็ยังฟ้องให้บังคับจำเลยทั้งสองได้ภายในอายุความ 10 ปี จำเลยเป็นลูกหนี้โจทก์ มีหน้าที่ต้องชำระหนี้แก่โจทก์ให้ถูกต้องตามความประสงค์แห่งมูลหนี้ แต่กลับละเลยไม่สนใจชำระหนี้แก่โจทก์ โจทก์จึงย่อมมีสิทธิได้ดอกเบี้ยจากจำเลยเรื่อยไปตามกฎหมาย จะถือว่าโจทก์ใช้สิทธิโดยไม่สุจริตหาได้ไม่.