คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.พ.พ. ม. 1299

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 899 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 263/2520

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กรรมสิทธิ์ที่ดินจากการครอบครองปรปักษ์ & การคุ้มครองสิทธิของผู้นำยึดทรัพย์
โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินของจำเลยซึ่งรวมทั้งที่พิพาทด้วยผู้ร้องยื่นคำร้องว่าที่พิพาทเป็นของผู้ร้องผู้ร้องได้เข้าครอบครองที่พิพาทตั้งแต่วันซื้อขาย โดยสงบเปิดเผย และด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันมาเป็นเวลาเกินกว่า 10 ปีแล้ว หากเป็นความจริงดังที่ผู้ร้องอ้างผู้ร้องก็ได้กรรมสิทธิ์ในที่พิพาทตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1382 การที่จำเลยมีชื่อเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่พิพาทแต่ผู้เดียวเป็นแต่เพียงข้อสันนิษฐานเบื้องต้นว่า ผู้มีชื่อในโฉนดเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์และโจทก์ผู้นำยึดทรัพย์ไม่อยู่ในฐานะที่จะได้รับความคุ้มครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1299วรรค 2 ศาลชั้นต้นควรที่จะฟังข้อเท็จจริงให้สิ้นกระแสความเสียก่อนไม่ชอบที่จะสั่งงดสืบพยานผู้ร้องและโจทก์แล้วพิพากษายกคำร้อง (อ้างฎีกาที่ 456-458/2491)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 263/2520 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กรรมสิทธิ์ที่ดินจากการครอบครองปรปักษ์และการบังคับคดี ศาลต้องฟังข้อเท็จจริงให้สิ้นกระแสความก่อน
โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินของจำเลยซึ่งรวมทั้งที่พิพาทด้วย ผู้ร้องยื่นคำร้องที่พิพาทเป็นของผู้ร้อง ผู้ร้องได้เข้าครอบครองที่พิพาทตั้งแต่วันซื้อขาย โดยสงบเปิดเผย และด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันมาเป็นเวลาเกินกว่า 10 ปีแล้ว หากเป็นความจริงดังที่ผู้ร้องอ้าง ผู้ร้องก็ได้กรรมสิทธิ์ในที่พิพาทตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1382 การที่จำเลยมีชื่อเป็นเจ้าของกรมสิทธิ์ที่พิพาทแต่ผู้เดียว เป็นแต่เพียงข้อสันนิษฐานเบื้องต้นว่า ผู้มีชื่อในโฉนดเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ และโจทก์ผู้นำยึดทรัพย์ไม่อยู่ในฐานะที่จะได้รับความคุ้มครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1299 วรรค 2 ศาลชั้นต้นควรที่จะฟังข้อเท็จจริงให้สิ้นกระแสความเสียก่อน ไม่ชอบที่จะสั่งงดสืบพยานผู้ร้องและโจทก์แล้วพิพากษายกคำร้อง (อ้างฎีกาที่ 456-458/2491)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2314/2519

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กรรมสิทธิ์จากการครอบครองปรปักษ์ vs. การขายฝากสุจริต: สิทธิใครเหนือกว่า
เดิมโจทก์ฟ้อง บ. ซึ่งเป็นผู้มีชื่อถือกรรมสิทธิ์ในโฉนดที่พิพาท โดยอ้างว่าได้ครอบครองปรปักษ์มาเกิน 10 ปีคดีหนึ่ง และโจทก์ได้ฟ้อง บ. กับจำเลยคดีนี้ขอให้เพิกถอนนิติกรรมที่ บ. นำที่พิพาทไปจดทะเบียนขายฝากจำเลยอีกคดีหนึ่ง แม้ศาลฎีกาได้พิพากษาคดีแรกว่าโจทก์ได้กรรมสิทธิ์ที่พิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ แต่ก็ได้พิพากษาคดีหลังว่าการขายฝากระหว่าง บ. กับจำเลยเป็นไปโดยสุจริตและมีค่าตอบแทน ย่อมผูกพันโจทก์มิให้โต้เถียงได้อีกว่าการขายฝากที่พิพาทเป็นไปโดยสมยอมกัน การขายฝากสมบูรณ์ตามกฎหมายโจทก์หาอาจฟ้องคดีใหม่ขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนการขายฝากได้ไม่ ทั้งโจทก์ก็ไม่มีทางไถ่ถอนได้เพราะเวลาไถ่ถอนได้ล่วงพ้นไปแล้ว การที่โจทก์ยังอยู่ในที่พิพาทมาตั้งแต่วันฟ้องแย้งย่อมเป็นการละเมิดสิทธิของจำเลย โจทก์ต้องรับผิดชอบชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้จำเลยตามฟ้องแย้ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2302/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบุกรุกที่ดิน, สิทธิครอบครอง, การซื้อขายที่ดินโดยไม่สุจริต, และค่าเสียหายจากการละเมิด
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 ได้บุกรุกเข้าไปในที่ดินของโจทก์เฉพาะภายในเส้นสีแดงประตามรูปแผนที่สังเขปท้ายฟ้อง ปรากฏว่าตามรูปแผนที่ได้แสดงเขตที่กล่าวหาว่าจำเลยบุกรุกไว้ 3 ด้าน ด้านเหนือจดถนนสาธารณะ ด้านใต้จดลำน้ำแม่ประจันต์ ด้านตะวันตกจดลำห้วย แผนที่สังเขปท้ายฟ้องเป็นส่วนหนึ่งของฟ้อง ฟ้องของโจทก์ดังกล่าวได้บรรยายโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาทำให้จำเลยเข้าใจได้แล้ว จึงไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม
ในระหว่างการพิจารณาได้มีการทำแผนที่พิพาทใหม่ จำเลยที่ 2 ไม่รับรองความถูกต้อง แต่เป็นผลมาจากการที่จำเลยที่ 2 แถลงว่า จำเลยที่ 2 ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องทำแผนที่ใหม่ หากโจทก์จะทำแผนที่ใหม่ก็ให้โจทก์เสียค่าธรรมเนียมไปเอง ซึ่งเท่ากับจำเลยยินยอมให้โจทก์กระทำไปฝ่ายเดียวได้ แม้แผนที่พิพาทที่ทำมาใหม่ตามที่โจทก์นำชี้จะเหมือนกับแผนที่สังเขปท้ายฟ้องของโจทก์ ก็เป็นแผนที่พิพาทที่ชอบ และแม้คำขอท้ายฟ้องจะขอให้ศาลพิพากษาว่า ที่ดินภายในวงสีแดงตามแผนที่สังเขปท้ายฟ้องเป็นของโจทก์ ศาลก็มีอำนาจพิพากษาว่า ที่พิพาทในเส้นประสีแดงในแผนที่พิพาทเป็นของโจทก์ได้ หาได้พิพากษาผิดไปจากคำขอท้ายฟ้องแต่ประการใดไม่
เมื่อที่พิพาทเป็นของโจทก์ โจทก์เป็นผู้ครอบครอง การที่จำเลยร่วมซื้อที่พิพาทจากจำเลยที่ 2 ซึ่งไม่ใช่เจ้าของ ไม่มีอำนาจโอนขาย จำเลยร่วมหาได้สิทธิ์ในที่พิพาทไม่ ถึงหากจะซื้อที่พิพาทไว้โดยสุจริตก็จะนำมาตรา 1299, 1300 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาบังคับมิได้
จำเลยร่วมซื้อที่พิพาทจากจำเลยที่ 2 หลังจากโจทก์ฟ้องคดีนี้แล้ว โดยคำแนะนำของทนายจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้รู้ดีว่าโจทก์ จำเลยที่ 2 กำลังมีเรื่องพิพาทกันอยู่เกี่ยวกับที่ดินพิพาทนี้ แต่ก็ยังแนะนำให้จำเลยร่วมซื้อจากจำเลยที่ 2 เมื่อเป็นเช่นนี้จะฟังว่าการซื้อขายที่ดินพิพาทของจำเลยร่วมเป็นไปโดยสุจริตหาได้ไม่ โจทก์จึงมีสิทธิ์ห้ามจำเลยร่วมเข้าเกี่ยวข้องกับที่พิพาทได้
เมื่อมีการละเมิดย่อมมีความเสียหาย การที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 บุกรุกเข้าไปในที่พิพาทของโจทก์ โจทก์จึงได้รับความเสียหายที่ขาดประโยชน์อันควรจะได้รับในที่พิพาท แม้โจทก์จะยังไม่เข้าทำประโยชน์อย่างใดในที่พิพาท ศาลก็ยังกำหนดว่าค่าเสียหายให้จำเลยชดใช้ให้แก่โจทก์ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2302/2519

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบุกรุกที่ดิน, ความสมบูรณ์ของฟ้อง, แผนที่พิพาท, การซื้อขายที่ดินโดยไม่สุจริต และค่าเสียหายจากการละเมิด
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 ได้บุกรุกเข้าไปในที่ดินของโจทก์เฉพาะภายในเส้นสีแดงประตามรูปแผนที่สังเขปท้ายฟ้อง ปรากฏว่าตามรูปแผนที่ได้แสดงเขตที่กล่าวหาว่าจำเลยบุกรุกไว้ 3 ด้าน ด้านเหนือจดถนนสาธารณะ ด้านใต้จดลำน้ำแม่ประจันต์ ด้านตะวันตกจดลำห้วย แผนที่สังเขปท้ายฟ้องเป็นส่วนหนึ่งของฟ้อง ฟ้องของโจทก์ดังกล่าวได้บรรยายโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาทำให้จำเลยเข้าใจได้แล้ว จึงไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม
ในระหว่างการพิจารณาได้มีการทำแผนที่พิพาทใหม่ จำเลยที่ 2 ไม่รับรองความถูกต้อง แต่เป็นผลมาจากการที่จำเลยที่ 2 แถลงว่าจำเลยที่ 2 ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องทำแผนที่ใหม่ หากโจทก์จะทำแผนที่ใหม่ก็ให้โจทก์เสียค่าธรรมเนียมไปเอง ซึ่งเท่ากับจำเลยยินยอมให้โจทก์กระทำไปฝ่ายเดียวได้ แม้แผนที่พิพาทที่ทำมาใหม่ตามที่โจทก์นำชี้จะเหมือนกับแผนที่สังเขปท้ายฟ้องของโจทก์ ก็เป็นแผนที่พิพาทที่ชอบ และแม้คำขอท้ายฟ้องจะขอให้ศาลพิพากษาว่า ที่ดินภายในวงสีแดงตามแผนที่สังเขปท้ายฟ้องเป็นของโจทก์ ศาลก็มีอำนาจพิพากษาว่า ที่พิพาทในเส้นประสีแดงในแผนที่พิพาทเป็นของโจทก์ได้ หาได้พิพากษาผิดไปจากคำขอท้ายฟ้องแต่ประการใดไม่
เมื่อที่พิพาทเป็นของโจทก์ โจทก์เป็นผู้ครอบครอง การที่จำเลยร่วมซื้อที่พิพาทจากจำเลยที่ 2 ซึ่งไม่ใช่เจ้าของ ไม่มีอำนาจโอนขาย จำเลยร่วมหาได้สิทธิในที่พิพาทไม่ ถึงหากจะซื้อที่พิพาทไว้โดยสุจริตก็จะนำมาตรา 1299,1300 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาบังคับมิได้
จำเลยร่วมซื้อที่พิพาทจากจำเลยที่ 2 หลังจากโจทก์ฟ้องคดีนี้แล้ว โดยคำแนะนำของทนายจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้รู้ดีว่าโจทก์ จำเลยที่ 2 กำลังมีเรื่องพิพาทกันอยู่เกี่ยวกับที่ดินพิพาทนี้ แต่ก็ยังแนะนำให้จำเลยร่วมซื้อจากจำเลยที่ 2 เมื่อเป็นเช่นนี้จะฟังว่าการซื้อขายที่ดินพิพาทของจำเลยร่วมเป็นไปโดยสุจริตหาได้ไม่ โจทก์จึงมีสิทธิห้ามจำเลยร่วมเข้าเกี่ยวข้องกับที่พิพาทได้
เมื่อมีการละเมิดย่อมมีความเสียหาย การที่จำเลยที่1 ที่ 2 บุกรุกเข้าไปในที่พิพาทของโจทก์ โจทก์จึงได้รับความเสียหายที่ขาดประโยชน์อันควรจะได้รับในที่พิพาท แม้โจทก์จะยังไม่เข้าทำประโยชน์อย่างใดในที่พิพาท ศาลก็ยังกำหนดค่าเสียหายให้จำเลยชดใช้ให้แก่โจทก์ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2293/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องกรณีข้อผูกพันก่อนซื้อฝาก และสิทธิอุทธรณ์คำสั่งงดสืบพยาน
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ทั้งสองเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินร่วมกับเจ้าของรวมอีกคนหนึ่ง โจทก์ได้ครอบครองที่ดินนั้นเป็นส่วนสัดอยู่ก่อนจำเลยได้รับซื้อฝากที่ดินสืบต่อมาจากเจ้าของรวมคนนั้นแล้ว และจำเลยได้รู้เห็นยินยอมในการที่โจทก์กับเจ้าของรวมคนดังกล่าวขอรังวัดแบ่งแยกโฉนดไปตามส่วนของที่ดิน ที่โจทก์ครอบครอง ขอบังคับจำเลยให้แบ่งแยกโฉนดตามที่เจ้าพนักงานรังวัดไว้นั้น ดังนี้ เป็นเรื่องที่โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยปฏิบัติตามข้อผูกพันที่จำเลยได้รู้และมีอยู่ก่อนจำเลยได้รับซื้อฝากที่ดิน ไม่ใช่เรื่องฟ้องขอให้บังคับตามสัญญา หรือตามเรื่องประนีประนอมยอมความ กรณีเช่นนี้ แม้มิได้มีหนังสือระหว่างโจทก์จำเลย โจทก์ก็มีอำนาจฟ้องจำเลย
การที่ศาลชั้นต้นสั่งว่า ตามคำฟ้อง คำให้การ คดีพอวินิจฉัยได้แล้ว จึงงดสืบพยานแล้วพิพากษาคดีไปโดยข้อกฎหมายนั้น เป็นการที่ศาลวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในข้อกฎหมายซึ่งทำให้คดีเสร็จไปทั้งเรื่องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 24 ไม่เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 227 ดังนั้น แม้โจทก์จะมิได้โต้แย้งคำสั่งไว้ โจทก์ก็มีสิทธิ์อุทธรณ์คำสั่งได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2183/2519

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การซื้อขายที่ดินยังไม่ชำระราคาครบถ้วน กรรมสิทธิ์ยังไม่ตกเป็นของผู้ซื้อ เจ้าหนี้มีสิทธิยึดได้
ผู้ร้องตกลงซื้อที่ดินมีโฉนดแต่ยังมิได้ชำระราคาครบถ้วน แม้ผู้ขายจะได้มอบที่ดินให้ครอบครองก็ถือว่า เป็นการครอบครองแทนผู้ขาย กรรมสิทธิ์ในที่ดินยังเป็นของผู้ขายอยู่ยังมิได้ตกเป็นของผู้ร้อง เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาย่อมมีสิทธิยึดที่ดินแปลงดังกล่าวขายทอดตลาดชำระหนี้ได้ ผู้ร้องไม่มีสิทธิร้องขัดทรัพย์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2183/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การซื้อขายที่ดินยังไม่โอนกรรมสิทธิ์ เจ้าหนี้มีสิทธิยึดได้ ผู้ซื้อไม่มีสิทธิร้องขัดทรัพย์
ผู้ร้องตกลงซื้อที่ดินมีโฉนดแต่ยังมิได้ชำระราคาครบถ้วน แม้ผู้ขายจะได้มอบที่ดินให้ครอบครองก็ถือว่า เป็นการครอบครองแทนผู้ขาย กรรมสิทธิ์ในที่ดินยังเป็นของผู้ขายอยู่ยังมิได้ตกเป็นของผู้ร้อง เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาย่อมมีสิทธิ์ยึดที่ดินแปลงดังกล่าวขายทอดตลาดชำระหนี้ได้ ผู้ร้องไม่มีสิทธิร้องขัดทรัพย์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2038/2519

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การซื้อขายที่ดินโดยโฉนดผิดพลาด โจทก์ทราบข้อเท็จจริงแต่ยังซื้อขาย ถือเป็นการได้สิทธิไม่สุจริต
น. มีที่ดินสองแปลงคือ ที่พิพาทและที่ดินโฉนดที่2785 น. ได้ขายที่พิพาทให้บิดาของภริยาจำเลย แต่ด้วยความเข้าใจผิดได้นำโฉนดที่ 2785 มาจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ บิดาของภริยาจำเลยครอบครองที่พิพาทมากว่า 30 ปีแล้วถึงแก่กรรม ภริยาจำเลยรับมรดกที่พิพาทแต่จดทะเบียนในโฉนดที่ 2785 แล้วจำเลยกับภริยาครอบครองที่พิพาทตลอดมาส่วนที่ดินตามโฉนดเลขที่ 2785 น. ขายให้กับผู้มีชื่อโดยจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์กันในโฉนดสำหรับที่พิพาท แล้วโอนกันต่อมาจนตกเป็นของ จ. จ. จดทะเบียนโอนขายให้โจทก์เมื่อได้ความว่าโจทก์มีเจตนาจะซื้อที่ดินแปลงที่ จ.ครอบครองเป็นเจ้าของอยู่เป็นสำคัญยิ่งกว่าที่ดินแปลงตามหน้าโฉนดที่ถูกต้อง โจทก์จึงไม่มีสิทธอ้างเอาที่พิพาทการมีชื่อ จ. เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ทางทะเบียนในโฉนดสำหรับที่พิพาท ไม่ทำให้ จ. มีสิทธิขายที่ดินตามหน้าโฉนดนี้เพราะที่ดินไม่ใช่ของ จ. เมื่อโจทก์รู้อยู่แล้วเช่นนี้ ยังรับซื้อและรับโอนทะเบียนมา ถือได้ว่าเป็นการได้สิทธิและได้จดทะเบียนสิทธิโดยไม่สุจริตไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่พิพาท

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2038/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การซื้อขายที่ดินโฉนดไขว้กัน โจทก์รู้ข้อเท็จจริงแต่ยังซื้อขาย ถือเป็นการได้สิทธิโดยไม่สุจริต
น. มีที่ดินสองแปลงคือ ที่พิพาทและที่ดินโฉนดที่ 2785 น. ได้ขายที่พิพาทให้กับบิดาของภริยาจำเลย แต่ด้วยความเข้าใจผิดได้นำโฉนดที่ 2785 มาจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ บิดาของภริยาจำเลยครอบครองที่พิพาทมากว่า 30 ปีแล้วถึงแก่กรรม ภริยาจำเลยรับมรดกที่พิพาทแต่จดทะเบียนในโฉนดที่ 2785 แล้วจำเลยกับภริยาครอบครองที่พิพาทตลอดมา ส่วนที่ดินตามโฉนดเลขที่ 2785 น. ขายให้กับผู้มีชื่อโดยจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์กันในโฉนดสำหรับที่พิพาท แล้วโอนกันต่อมาจนตกเป็นของ จ. จ. จดทะเบียนโอนขายให้โจทก์ เมื่อได้ความว่าโจทก์มีเจตนาจะซื้อที่ดินแปลงที่ จ. ครอบครองเป็นเจ้าของอยู่เป็นสำคัญยิ่งกว่าที่ดินแปลงตามหน้าโฉนดที่ถูกต้อง โจทก์จึงไม่มีสิทธิ์อ้างเอาที่พิพาท การมีชื่อ จ. เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ทางทะเบียนในโฉนดสำหรับที่พิพาท ไม่ทำให้ จ. มีสิทธิ์ขายที่ดินตามหน้าโฉนดนี้เพราะที่ดินไม่ใช่ของ จ. เมื่อโจทก์รู้อยู่แล้วเช่นนี้ ยังรับซื้อและรับโอนทางทะเบียนมา ถือได้ว่าเป็นการได้สิทธิ์และได้จดทะเบียนสิทธิ์โดยไม่สุจริต ไม่มีสิทธิ์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่พิพาท
of 90