พบผลลัพธ์ทั้งหมด 899 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 37/2513 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ภารจำยอม-ทางจำเป็น: พยานบุคคลสำคัญกว่าเอกสาร, หนังสือยินยอมไม่ผูกพันตลอดไป
การนำสืบข้อเท็จจริงว่า ที่พิพาทเป็นทางภารจำยอมหรือไม่ ไม่มีกฎหมายบังคับให้ต้องมีพยานเอกสารมาแสดง แม้จะมีหนังสือของเจ้าของที่ดินระบุว่าที่พิพาทเป็นทางเดินมาก่อนนานแล้ว ก็เป็นเพียงพยานหลักฐานอย่างหนึ่ง ซึ่งอาจนำสืบพยานบุคคลเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในเอกสารนั้นได้
จำเลยทำหนังสือยินยอมว่ายอมให้โจทก์ใช้ที่ดินของจำเลยเป็นทางเข้าออกสู่ถนนสาธารณะได้ โดยไม่ขอรับค่าตอบแทนใด ๆ และบุคคลคนหนึ่งเป็นผู้นำหนังสือนั้นมาให้โจทก์ยึดถือไว้ ก็มีผลเป็นแต่เพียงให้โจทก์มีสิทธิเดินตามทางพิพาทได้โดยไม่เป็นละเมิด แต่โจทก์ไม่มีสิทธิยกเอาความยินยอมนั้นผูกพันจำเลยตลอดไป จำเลยอาจเลิกไม่ให้ใช้เดินเสียเมื่อไรก็ได้ (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 1084/2507)
จำเลยทำหนังสือยินยอมว่ายอมให้โจทก์ใช้ที่ดินของจำเลยเป็นทางเข้าออกสู่ถนนสาธารณะได้ โดยไม่ขอรับค่าตอบแทนใด ๆ และบุคคลคนหนึ่งเป็นผู้นำหนังสือนั้นมาให้โจทก์ยึดถือไว้ ก็มีผลเป็นแต่เพียงให้โจทก์มีสิทธิเดินตามทางพิพาทได้โดยไม่เป็นละเมิด แต่โจทก์ไม่มีสิทธิยกเอาความยินยอมนั้นผูกพันจำเลยตลอดไป จำเลยอาจเลิกไม่ให้ใช้เดินเสียเมื่อไรก็ได้ (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 1084/2507)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 37/2513
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ภารจำยอม-ทางจำเป็น: การพิสูจน์สิทธิ-หนังสือยินยอม-การเลิกสัญญา
การนำสืบข้อเท็จจริงว่า ที่พิพาทเป็นทางภารจำยอมหรือไม่ ไม่มีกฎหมายบังคับให้ต้องมีพยานเอกสารมาแสดง แม้จะมีหนังสือของเจ้าของที่ดินระบุว่าที่พิพาทเป็นทางเดินมาก่อนนานแล้ว ก็เป็นเพียงพยานหลักฐานอย่างหนึ่งซึ่งอาจนำสืบพยานบุคคลเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในเอกสารนั้นได้
จำเลยทำหนังสือยินยอมว่ายอมให้โจทก์ใช้ที่ดินของจำเลยเป็นทางเข้าออกสู่ถนนสาธารณะได้โดยไม่ขอรับค่าตอบแทนใดๆและบุคคลคนหนึ่งเป็นผู้นำหนังสือนั้นมาให้โจทก์ยึดถือไว้ ก็มีผลเป็นแต่เพียงให้โจทก์มีสิทธิเดินตามทางพิพาทได้โดยไม่เป็นละเมิด แต่โจทก์ไม่มีสิทธิยกเอาความยินยอมนั้นผูกพันจำเลยตลอดไป จำเลยอาจเลิกไม่ให้ใช้เดินเสียเมื่อไรก็ได้(อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 1084/2507)
จำเลยทำหนังสือยินยอมว่ายอมให้โจทก์ใช้ที่ดินของจำเลยเป็นทางเข้าออกสู่ถนนสาธารณะได้โดยไม่ขอรับค่าตอบแทนใดๆและบุคคลคนหนึ่งเป็นผู้นำหนังสือนั้นมาให้โจทก์ยึดถือไว้ ก็มีผลเป็นแต่เพียงให้โจทก์มีสิทธิเดินตามทางพิพาทได้โดยไม่เป็นละเมิด แต่โจทก์ไม่มีสิทธิยกเอาความยินยอมนั้นผูกพันจำเลยตลอดไป จำเลยอาจเลิกไม่ให้ใช้เดินเสียเมื่อไรก็ได้(อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 1084/2507)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1303/2512 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การซื้อที่ดินจากการขายทอดตลาดโดยสุจริต แม้ประกาศขายจะผิดพลาด ย่อมได้รับสิทธิตามมาตรา 1330
เจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินมีโฉนดของโจทก์มาขายทอดตลาดเพื่อชำระหนี้ตามคำพิพากษาในคดีที่โจทก์ร่วมซึ่งเป็นสามีโจทก์ถูกจำเลยฟ้องเรียกหนี้เงินกู้ แม้ในการยึดเจ้าพนักงานบังคับคดีจะยึดอย่างที่ดินมือเปล่าโดยนำ ส.ค.1 สำหรับที่ดินแปลงอื่นของโจทก์ร่วมมา และประกาศขายทอดตลาดว่าเป็นที่ดินมี ส.ค. 1 โดยระบุเลขที่ เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า เจ้าพนักงานบังคับคดีกระทำโดยสุจริต และจำเลยเป็นผู้ซื้อที่ดินดังกล่าวจากการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาลโดยสุจริต จำเลยย่อมได้สิทธิตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1330
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1120/2512
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์และการคุ้มครองผู้รับโอนสิทธิโดยสุจริต
เมื่อจำเลยครอบครองที่พิพาทโดยสงบและเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของตลอดมาเป็นเวลากว่า 10 ปี. จำเลยได้กรรมสิทธิ์ในที่พิพาทซึ่งจำเลยอาจอ้างสิทธินี้ยันเจ้าของเดิมได้ แต่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1299วรรคสอง. สิทธิของจำเลยอันยังมิได้จดทะเบียนนั้น. จำเลยจะยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้โจทก์ผู้รับโอนกรรมสิทธิ์มาโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริต และได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตแล้วไม่ได้.
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 6 ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าบุคคลทุกคนทำการโดยสุจริต. เมื่อจำเลยมิได้ยกข้อต่อสู้ว่า.โจทก์รับโอนที่พิพาทจากเจ้าของเดิมโดยไม่สุจริต. คดีต้องฟังว่าโจทก์รับโอนกรรมสิทธิ์ที่พิพาทจากเจ้าของเดิมโดยสุจริตและได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตแล้ว.จำเลยอ้างกรรมสิทธิ์ในที่พิพาทโดยทางครอบครองตามมาตรา1382 ยันโจทก์มิได้.
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 6 ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าบุคคลทุกคนทำการโดยสุจริต. เมื่อจำเลยมิได้ยกข้อต่อสู้ว่า.โจทก์รับโอนที่พิพาทจากเจ้าของเดิมโดยไม่สุจริต. คดีต้องฟังว่าโจทก์รับโอนกรรมสิทธิ์ที่พิพาทจากเจ้าของเดิมโดยสุจริตและได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตแล้ว.จำเลยอ้างกรรมสิทธิ์ในที่พิพาทโดยทางครอบครองตามมาตรา1382 ยันโจทก์มิได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1120/2512 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์และการคุ้มครองผู้รับโอนสิทธิโดยสุจริต
เมื่อจำเลยครอบครองที่พิพาทโดยสงบและเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของตลอดมาเป็นเวลากว่า 10 ปี จำเลยได้กรรมสิทธิ์ในที่พิพาทซึ่งจำเลยอาจอ้างสิทธินี้ยันเจ้าของเดิมได้ แต่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1299 วรรค 2 สิทธิของจำเลยอันยังมิได้จดทะเบียนนั้น จำเลยจะยกขึ้นต่อสู้โจทก์ผู้รับโอนกรรมสิทธิ์มาโดยเสยค่าตอบแทนและโดยสุจริต และได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตแล้วไม่ได้
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 6 ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าบุคคลทุกคนทำการโดยสุจริต เมื่อจำเลยมิได้ยกข้อต่อสู้ว่าโจทก์รับโอนที่พิพาทจากเจ้าของเดิมโดยไม่สุจริต คดีต้องฟังว่าโจทก์รับโอนกรรมสิทธิ์ที่พิพาทจากเข้าของเดิมโดยสุจริตและได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริต จำเลยอ้างกรรมสิทธิ์ในที่พิพาทโดยทางครอบครองตามมาตรา 1328 ยันโจทก์มิได้
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 6 ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าบุคคลทุกคนทำการโดยสุจริต เมื่อจำเลยมิได้ยกข้อต่อสู้ว่าโจทก์รับโอนที่พิพาทจากเจ้าของเดิมโดยไม่สุจริต คดีต้องฟังว่าโจทก์รับโอนกรรมสิทธิ์ที่พิพาทจากเข้าของเดิมโดยสุจริตและได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริต จำเลยอ้างกรรมสิทธิ์ในที่พิพาทโดยทางครอบครองตามมาตรา 1328 ยันโจทก์มิได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1120/2512 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การได้กรรมสิทธิ์จากการครอบครองปรปักษ์และการคุ้มครองผู้รับโอนสิทธิโดยสุจริต
เมื่อจำเลยครอบครองที่พิพาทโดยสงบและเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของตลอดมาเป็นเวลากว่า 10 ปี จำเลยได้กรรมสิทธิ์ในที่พิพาทซึ่งจำเลยอาจอ้างสิทธินี้ยันเจ้าของเดิมได้ แต่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1299 วรรคสอง สิทธิของจำเลยอันยังมิได้จดทะเบียนนั้น จำเลยจะยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้โจทก์ผู้รับโอนกรรมสิทธิ์มาโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริต และได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตแล้วไม่ได้
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 6 ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าบุคคลทุกคนทำการโดยสุจริต เมื่อจำเลยมิได้ยกข้อต่อสู้ว่าโจทก์รับโอนที่พิพาทจากเจ้าของเดิมโดยไม่สุจริต คดีต้องฟังว่าโจทก์รับโอนกรรมสิทธิ์ที่พิพาทจากเจ้าของเดิมโดยสุจริตและได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตแล้ว จำเลยอ้างกรรมสิทธิ์ในที่พิพาทโดยทางครอบครองตามมาตรา1382 ยันโจทก์มิได้
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 6 ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าบุคคลทุกคนทำการโดยสุจริต เมื่อจำเลยมิได้ยกข้อต่อสู้ว่าโจทก์รับโอนที่พิพาทจากเจ้าของเดิมโดยไม่สุจริต คดีต้องฟังว่าโจทก์รับโอนกรรมสิทธิ์ที่พิพาทจากเจ้าของเดิมโดยสุจริตและได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตแล้ว จำเลยอ้างกรรมสิทธิ์ในที่พิพาทโดยทางครอบครองตามมาตรา1382 ยันโจทก์มิได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 868/2512 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิผู้ครอบครองปรปักษ์เมื่อมีการโอนทางทะเบียนโดยสุจริต สิทธิผู้ครอบครองปรปักษ์ขาดตอน
ผู้ครอบครองปรปักษ์ที่ดินมีโฉนดจนได้กรรมสิทธิ์แล้วนั้นเมื่อยังมิได้จดทะเบียนจะยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกผู้รับโอนทางทะเบียนโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริตและได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตแล้วหาได้ไม่
เจ้าของโฉนดจดทะเบียนขายฝากที่ดินแก่บุคคลภายนอกจนหลุดเป็นสิทธิ ผู้ครอบครองปรปักษ์มิได้ต่อสู้ว่าผู้รับซื้อฝากไม่สุจริตย่อมต้องด้วยข้อสันนิษฐานตามกฎหมายว่าผู้รับซื้อฝากนั้นเป็นผู้สุจริต
ผู้รับโอนที่ดินมีโฉนดโดยเสียค่าตอบแทนและจดทะเบียนสิทธิโดยสุจริต ซึ่งมีสิทธิดีกว่าผู้ครอบครองปรปักษ์นั้นถ้ามีผู้รับโอนทางทะเบียนต่อจากนั้นมาอีกภายใน 10 ปีนับแต่วันโอนครั้งแรก ผู้รับโอนต่อๆ มาจะรับโอนโดยสุจริตหรือไม่ ผู้ครอบครองปรปักษ์ก็ไม่อาจยกสิทธิของตนขึ้นใช้ยันผู้รับโอนคนใหม่ได้เพราะสิทธิของผู้ครอบครองปรปักษ์ขาดตอนไปแล้วตั้งแต่มีผู้รับโอนทางทะเบียนโดยสุจริตคนแรกแม้ผู้ครอบครองปรปักษ์จะยังคงครอบครองที่ดินตลอดมาเมื่อการครอบครองในช่วงหลังยังไม่ครบ 10 ปี ก็จะถือว่ามีการครอบครองปรปักษ์กับเจ้าของใหม่จนครบเวลาได้กรรมสิทธิ์แล้วหาได้ไม่ (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 1015/2485)
หมายเหตุ คำพิพากษาฎีกาที่ 1087-1090/2501 ก็เดินตามแนวนี้
เจ้าของโฉนดจดทะเบียนขายฝากที่ดินแก่บุคคลภายนอกจนหลุดเป็นสิทธิ ผู้ครอบครองปรปักษ์มิได้ต่อสู้ว่าผู้รับซื้อฝากไม่สุจริตย่อมต้องด้วยข้อสันนิษฐานตามกฎหมายว่าผู้รับซื้อฝากนั้นเป็นผู้สุจริต
ผู้รับโอนที่ดินมีโฉนดโดยเสียค่าตอบแทนและจดทะเบียนสิทธิโดยสุจริต ซึ่งมีสิทธิดีกว่าผู้ครอบครองปรปักษ์นั้นถ้ามีผู้รับโอนทางทะเบียนต่อจากนั้นมาอีกภายใน 10 ปีนับแต่วันโอนครั้งแรก ผู้รับโอนต่อๆ มาจะรับโอนโดยสุจริตหรือไม่ ผู้ครอบครองปรปักษ์ก็ไม่อาจยกสิทธิของตนขึ้นใช้ยันผู้รับโอนคนใหม่ได้เพราะสิทธิของผู้ครอบครองปรปักษ์ขาดตอนไปแล้วตั้งแต่มีผู้รับโอนทางทะเบียนโดยสุจริตคนแรกแม้ผู้ครอบครองปรปักษ์จะยังคงครอบครองที่ดินตลอดมาเมื่อการครอบครองในช่วงหลังยังไม่ครบ 10 ปี ก็จะถือว่ามีการครอบครองปรปักษ์กับเจ้าของใหม่จนครบเวลาได้กรรมสิทธิ์แล้วหาได้ไม่ (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 1015/2485)
หมายเหตุ คำพิพากษาฎีกาที่ 1087-1090/2501 ก็เดินตามแนวนี้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 868/2512 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิผู้ครอบครองปรปักษ์เมื่อมีผู้รับโอนทางทะเบียนโดยสุจริต สิทธิครอบครองปรปักษ์ขาดตอน
ผู้ครอบครองปรปักษ์ที่ดินมีโฉนดจนได้กรรมสิทธิ์แล้วนั้น เมื่อยังมิได้จดทะเบียนจะยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกผู้รับโอนทางทะเบียนโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริตและได้จดทะเบียนสิทธิ์โดยสุจริตแล้วหาได้ไม่
เจ้าของโฉนดจดทะเบียนขายฝากที่ดินแก่บุคคลภายนอกจนหลุดเป็นสิทธิ ผู้ครอบครองปรปักษ์มิได้ต่อสู้ว่าผู้รับซื้อฝากไม่สุจริต ย่อมต้องด้วยข้อสันนิษฐานตามกฎหมายว่า ผู้รับซื้อฝากนั้นเป็นผู้สุจริต
ผู้รับโอนที่ดินมีโฉนดโดยเสียค่าตอบแทนและจดทะเบียนสิทธิโดยสุจริต ซึ่งมีสิทธิดีกว่าผู้ครอบครองปรปักษ์นั้น ถ้ามีผู้รับโอนทางทะเบียนต่อจากนั้นมาอีกภายใน 10 ปีนับแต่วันโอนครั้งแรก ผู้รับโอนต่อ ๆ มาจะรับโอนโดยสุจริตหรือไม่ ผู้ครอบครองปรปักษ์ก็ไม่อาจยกสิทธิของตนขึ้นใช้ยันผู้รับโอนคนใหม่ได้ เพราะสิทธิของผู้ครอบครองปรปักษ์ขาดตอนไปแล้วตั้งแต่มีผู้รับโอนทางทะเบียนโดยสุจริตคนแรก แม้ผู้ครอบครองปรปักษ์จะยังคงครอบครองที่ดินตลอดมา เมื่อการครอบครองในช่วงหลังยังไม่ครบ 10 ปี ก็จะถือว่ามีการครอบครองปรปักษ์กับเจ้าของใหม่จนครบเวลาได้กรรมสิทธิ์แล้วหาได้ไม่ (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 1015/2485)
หมายเหตุ คำพิพากษาฎีกาที่ 1087 - 1090/2501 ก็เดินตามแนวนี้
เจ้าของโฉนดจดทะเบียนขายฝากที่ดินแก่บุคคลภายนอกจนหลุดเป็นสิทธิ ผู้ครอบครองปรปักษ์มิได้ต่อสู้ว่าผู้รับซื้อฝากไม่สุจริต ย่อมต้องด้วยข้อสันนิษฐานตามกฎหมายว่า ผู้รับซื้อฝากนั้นเป็นผู้สุจริต
ผู้รับโอนที่ดินมีโฉนดโดยเสียค่าตอบแทนและจดทะเบียนสิทธิโดยสุจริต ซึ่งมีสิทธิดีกว่าผู้ครอบครองปรปักษ์นั้น ถ้ามีผู้รับโอนทางทะเบียนต่อจากนั้นมาอีกภายใน 10 ปีนับแต่วันโอนครั้งแรก ผู้รับโอนต่อ ๆ มาจะรับโอนโดยสุจริตหรือไม่ ผู้ครอบครองปรปักษ์ก็ไม่อาจยกสิทธิของตนขึ้นใช้ยันผู้รับโอนคนใหม่ได้ เพราะสิทธิของผู้ครอบครองปรปักษ์ขาดตอนไปแล้วตั้งแต่มีผู้รับโอนทางทะเบียนโดยสุจริตคนแรก แม้ผู้ครอบครองปรปักษ์จะยังคงครอบครองที่ดินตลอดมา เมื่อการครอบครองในช่วงหลังยังไม่ครบ 10 ปี ก็จะถือว่ามีการครอบครองปรปักษ์กับเจ้าของใหม่จนครบเวลาได้กรรมสิทธิ์แล้วหาได้ไม่ (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 1015/2485)
หมายเหตุ คำพิพากษาฎีกาที่ 1087 - 1090/2501 ก็เดินตามแนวนี้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 868/2512
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิของผู้ครอบครองปรปักษ์เมื่อมีการโอนทางทะเบียนโดยสุจริต สิทธิเดิมขาดตอน
ผู้ครอบครองปรปักษ์ที่ดินมีโฉนดจนได้กรรมสิทธิ์แล้วนั้น.เมื่อยังมิได้จดทะเบียนจะยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกผู้รับโอนทางทะเบียนโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริตและได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตแล้วหาได้ไม่.
เจ้าของโฉนดจดทะเบียนขายฝากที่ดินแก่บุคคลภายนอกจนหลุดเป็นสิทธิ. ผู้ครอบครองปรปักษ์มิได้ต่อสู้ว่าผู้รับซื้อฝากไม่สุจริต. ย่อมต้องด้วยข้อสันนิษฐานตามกฎหมายว่าผู้รับซื้อฝากนั้นเป็นผู้สุจริต.
ผู้รับโอนที่ดินมีโฉนดโดยเสียค่าตอบแทนและจดทะเบียนสิทธิโดยสุจริต ซึ่งมีสิทธิดีกว่าผู้ครอบครองปรปักษ์นั้น. ถ้ามีผู้รับโอนทางทะเบียนต่อจากนั้นมาอีกภายใน 10 ปีนับแต่วันโอนครั้งแรก. ผู้รับโอนต่อๆ มาจะรับโอนโดยสุจริตหรือไม่. ผู้ครอบครองปรปักษ์ก็ไม่อาจยกสิทธิของตนขึ้นใช้ยันผู้รับโอนคนใหม่ได้. เพราะสิทธิของผู้ครอบครองปรปักษ์ขาดตอนไปแล้วตั้งแต่มีผู้รับโอนทางทะเบียนโดยสุจริตคนแรก. แม้ผู้ครอบครองปรปักษ์จะยังคงครอบครองที่ดินตลอดมาเมื่อการครอบครองในช่วงหลังยังไม่ครบ 10 ปี ก็จะถือว่ามีการครอบครองปรปักษ์กับเจ้าของใหม่จนครบเวลาได้กรรมสิทธิ์แล้วหาได้ไม่.(อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 1015/2485).
หมายเหตุ คำพิพากษาฎีกาที่ 1087-1090/2501 ก็เดินตามแนวนี้.
เจ้าของโฉนดจดทะเบียนขายฝากที่ดินแก่บุคคลภายนอกจนหลุดเป็นสิทธิ. ผู้ครอบครองปรปักษ์มิได้ต่อสู้ว่าผู้รับซื้อฝากไม่สุจริต. ย่อมต้องด้วยข้อสันนิษฐานตามกฎหมายว่าผู้รับซื้อฝากนั้นเป็นผู้สุจริต.
ผู้รับโอนที่ดินมีโฉนดโดยเสียค่าตอบแทนและจดทะเบียนสิทธิโดยสุจริต ซึ่งมีสิทธิดีกว่าผู้ครอบครองปรปักษ์นั้น. ถ้ามีผู้รับโอนทางทะเบียนต่อจากนั้นมาอีกภายใน 10 ปีนับแต่วันโอนครั้งแรก. ผู้รับโอนต่อๆ มาจะรับโอนโดยสุจริตหรือไม่. ผู้ครอบครองปรปักษ์ก็ไม่อาจยกสิทธิของตนขึ้นใช้ยันผู้รับโอนคนใหม่ได้. เพราะสิทธิของผู้ครอบครองปรปักษ์ขาดตอนไปแล้วตั้งแต่มีผู้รับโอนทางทะเบียนโดยสุจริตคนแรก. แม้ผู้ครอบครองปรปักษ์จะยังคงครอบครองที่ดินตลอดมาเมื่อการครอบครองในช่วงหลังยังไม่ครบ 10 ปี ก็จะถือว่ามีการครอบครองปรปักษ์กับเจ้าของใหม่จนครบเวลาได้กรรมสิทธิ์แล้วหาได้ไม่.(อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 1015/2485).
หมายเหตุ คำพิพากษาฎีกาที่ 1087-1090/2501 ก็เดินตามแนวนี้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 317/2512 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องขับไล่ของผู้เช่าที่ให้ผู้อื่นอยู่อาศัย และข้อจำกัดการอุทธรณ์ปัญหาข้อเท็จจริง
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยผู้อาศัยออกจากตึกพิพาทที่โจทก์เช่าจาก น.เจ้าของตึกซึ่งในขณะยื่นคำฟ้องอาจให้เช่าได้ไม่เกินเดือนละสองพันบาทจำเลยมิได้กล่าวแก้เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์หรือยกข้อโต้เถียงในเรื่องแปลความหมายแห่งข้อความในสัญญาอาศัยที่จำเลยให้การต่อสู้ว่าจำเลยเป็นผู้เช่าตึกโดยจำเลยให้โจทก์ลงชื่อแทนนั้น แม้จะเป็นการโต้เถียงสิทธิการเช่าระหว่างโจทก์และจำเลยว่าใครเป็นผู้เช่าตึกพิพาทจากเจ้าของตึกก็ตามแต่ก็ไม่เรียกว่าเป็นการกล่าวแก้ข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์ คดีนี้จึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 ดังนั้น ที่ศาลชั้นต้นสั่งรับอุทธรณ์ของจำเลยในประเด็นที่ว่าโจทก์หรือจำเลยเป็นผู้เช่าตึกพิพาทจากเจ้าของตึกซึ่งเป็นปัญหาข้อเท็จจริงโดยผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาคดีนั้นในศาลชั้นต้นมิได้รับรองปัญหาข้อเท็จจริงนี้ว่ามีเหตุอันมิควรอุทธรณ์ จึงเป็นการฝ่าฝืนบทบัญญัติมาตรา 224
ในคดีที่ต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่าโจทก์เป็นผู้เช่าตึกพิพาทจากเจ้าของตึกเพื่อตัวโจทก์เองมิใช่ทำสัญญาเช่าแทนจำเลยและฟังต่อไปว่า โจทก์ได้ให้จำเลยอาศัยตั้งบริษัท เจ.เอ.อยู่ชั่วคราว มิใช่โจทก์ให้บริษัท เจ.เอ. อาศัย ซึ่งในประเด็นเช่นนี้ ศาลชั้นต้นมิได้วินิจฉัยข้อเท็จจริงผิดกฎหมายหรือปราศจากพยานหลักฐานในสำนวนแต่ประการใด ดังนั้นที่ศาลอุทธรณ์ยกประเด็นที่ว่า โจทก์ได้ให้จำเลยอาศัยหรือไม่ขึ้นวินิจฉัยว่า โจทก์นำสืบไม่สมฟ้องฟังไม่ได้ว่าได้ให้จำเลยอาศัยข้อเท็จจริงกลายเป็นโจทก์ให้บริษัท เจ.เอ อาศัย ศาลฎีกาจึงรับฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยนี้ไม่ได้เพราะเป็นการวินิจฉัยอุทธรณ์ที่ต้องห้ามไม่ถือว่าเป็นข้อที่ยกขึ้นกล่าวในชั้นศาลอุทธรณ์
โจทก์เช่าตึกพิพาทจากเจ้าของตึก แล้วโจทก์ให้จำเลยอาศัยสิทธิของโจทก์ความเกี่ยวพันระหว่างโจทก์และจำเลยไม่เกี่ยวกับสัญญาเช่าระหว่างโจทก์กับเจ้าของตึกพิพาทเลย กฎหมายปิดปากไม่ให้ผู้อาศัยกล่าวอ้างว่าผู้ให้อาศัยไม่ใช่เจ้าของทรัพย์หรือไม่มีสิทธิในทรัพย์ที่เขาให้ตนอาศัย
การอาศัยต้องถือเป็นสัญญาที่ก่อให้เกิดบุคคลสิทธิ มิใช่สิทธิอาศัยอันเป็นทรัพย์สิทธิตามที่บัญญัติในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 4 บุคคลสิทธินี้ก่อให้เกิดสิทธิและหน้าที่ระหว่างผู้ให้อาศัยและผู้อาศัย ถ้าผู้ให้อาศัยไม่ประสงค์จะให้ผู้อาศัยอยู่ในตึกพิพาทเมื่อใดผู้ให้อาศัยก็มีสิทธิจะขับไล่ผู้อาศัยออกไปได้ทันที และผู้อาศัยก็มีหน้าที่จะต้องออกไปด้วย
สัญญาเช่ามีว่า เมื่อสิ้นระยะเวลาเช่าแล้ว ถ้าผู้เช่ายังคงอยู่ในสถานที่เช่าต่อมาก็ให้ถือว่าเช่ากันเป็นรายเดือนจนกว่าผู้ให้เช่าหรือผู้เช่าจะบอกกล่าวล่วงหน้าหนึ่งเดือนเลิกสัญญา ดังนี้ เมื่อไม่ปรากฏว่าเจ้าของตึกผู้ให้โจทก์เช่าได้บอกเลิกสัญญาเช่ากับโจทก์ผู้เช่าจึงต้องถือว่าสัญญาเช่าระหว่างเจ้าของตึกกับโจทก์ยังไม่ระงับจำเลยอาศัยตึกพิพาทที่โจทก์เช่าอยู่ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลย
ในคดีที่ต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่าโจทก์เป็นผู้เช่าตึกพิพาทจากเจ้าของตึกเพื่อตัวโจทก์เองมิใช่ทำสัญญาเช่าแทนจำเลยและฟังต่อไปว่า โจทก์ได้ให้จำเลยอาศัยตั้งบริษัท เจ.เอ.อยู่ชั่วคราว มิใช่โจทก์ให้บริษัท เจ.เอ. อาศัย ซึ่งในประเด็นเช่นนี้ ศาลชั้นต้นมิได้วินิจฉัยข้อเท็จจริงผิดกฎหมายหรือปราศจากพยานหลักฐานในสำนวนแต่ประการใด ดังนั้นที่ศาลอุทธรณ์ยกประเด็นที่ว่า โจทก์ได้ให้จำเลยอาศัยหรือไม่ขึ้นวินิจฉัยว่า โจทก์นำสืบไม่สมฟ้องฟังไม่ได้ว่าได้ให้จำเลยอาศัยข้อเท็จจริงกลายเป็นโจทก์ให้บริษัท เจ.เอ อาศัย ศาลฎีกาจึงรับฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยนี้ไม่ได้เพราะเป็นการวินิจฉัยอุทธรณ์ที่ต้องห้ามไม่ถือว่าเป็นข้อที่ยกขึ้นกล่าวในชั้นศาลอุทธรณ์
โจทก์เช่าตึกพิพาทจากเจ้าของตึก แล้วโจทก์ให้จำเลยอาศัยสิทธิของโจทก์ความเกี่ยวพันระหว่างโจทก์และจำเลยไม่เกี่ยวกับสัญญาเช่าระหว่างโจทก์กับเจ้าของตึกพิพาทเลย กฎหมายปิดปากไม่ให้ผู้อาศัยกล่าวอ้างว่าผู้ให้อาศัยไม่ใช่เจ้าของทรัพย์หรือไม่มีสิทธิในทรัพย์ที่เขาให้ตนอาศัย
การอาศัยต้องถือเป็นสัญญาที่ก่อให้เกิดบุคคลสิทธิ มิใช่สิทธิอาศัยอันเป็นทรัพย์สิทธิตามที่บัญญัติในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 4 บุคคลสิทธินี้ก่อให้เกิดสิทธิและหน้าที่ระหว่างผู้ให้อาศัยและผู้อาศัย ถ้าผู้ให้อาศัยไม่ประสงค์จะให้ผู้อาศัยอยู่ในตึกพิพาทเมื่อใดผู้ให้อาศัยก็มีสิทธิจะขับไล่ผู้อาศัยออกไปได้ทันที และผู้อาศัยก็มีหน้าที่จะต้องออกไปด้วย
สัญญาเช่ามีว่า เมื่อสิ้นระยะเวลาเช่าแล้ว ถ้าผู้เช่ายังคงอยู่ในสถานที่เช่าต่อมาก็ให้ถือว่าเช่ากันเป็นรายเดือนจนกว่าผู้ให้เช่าหรือผู้เช่าจะบอกกล่าวล่วงหน้าหนึ่งเดือนเลิกสัญญา ดังนี้ เมื่อไม่ปรากฏว่าเจ้าของตึกผู้ให้โจทก์เช่าได้บอกเลิกสัญญาเช่ากับโจทก์ผู้เช่าจึงต้องถือว่าสัญญาเช่าระหว่างเจ้าของตึกกับโจทก์ยังไม่ระงับจำเลยอาศัยตึกพิพาทที่โจทก์เช่าอยู่ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลย