พบผลลัพธ์ทั้งหมด 469 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 191/2512 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อพิพาทเรื่องหนี้สัญญาซื้อขายที่ดิน: อายุความและข้อเท็จจริงหลังพิทักษ์ทรัพย์
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยได้ซื้อที่ดินโฉนดที่ 14664ของโจทก์ราคา 113,000 บาท จำเลยชำระค่าที่ดินให้โจทก์โดยเช็คสองฉบับ ฉบับหนึ่งเงิน 13,000 บาท อีกฉบับหนึ่งเงิน 100,000 บาท จำเลยได้รับโอนที่ดินจากโจทก์ไปเรียบร้อยในวันซื้อขาย เช็คฉบับเงิน 100,000 บาท โจทก์นำไปขึ้นเงินไม่ได้ คงขึ้นเงินได้แต่เฉพาะเช็คฉบับเงิน 13,000 บาท จำเลยยังเป็นหนี้โจทก์อยู่ 100,000บาท โจทก์ได้ทวงถามให้จำเลยชำระเงิน 100,000 บาท หลายครั้ง จำเลยก็ไม่ชำระ โจทก์จึงฟ้อง ตามคำฟ้องดังกล่าวแสดงว่า ข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาของโจทก์เป็นเรื่องโจทก์ฟ้องเรียกร้องโดยอาศัยสิทธิอันมีมูลหนี้มาจากสัญญาซื้อขายที่ดิน ซึ่งจำเลยยังเป็นหนี้โจทก์อยู่ การที่โจทก์บรรยายฟ้องถึงเรื่องเช็คมาด้วย ก็เพื่อแสดงให้เห็นถึงพฤติการณ์ที่โจทก์ยังไม่ได้รับชำระราคาที่ดินจากจำเลยเท่านั้น มิใช่ฟ้องเรียกร้องให้จำเลยชำระเงินตามเช็ค
ฎีกาที่กล่าวอ้างถึงข้อเท็จจริงซึ่งเกิดขึ้นภายหลังจากศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาดแล้ว ทั้งมิใช่ข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์นั้น ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ฎีกาที่กล่าวอ้างถึงข้อเท็จจริงซึ่งเกิดขึ้นภายหลังจากศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาดแล้ว ทั้งมิใช่ข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์นั้น ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 191/2512
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
มูลหนี้จากสัญญาซื้อขายที่ดินสำคัญกว่าเช็คค้างชำระ ศาลฎีกายืนตามคำพิพากษาเดิม
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยได้ซื้อที่ดินโฉนดที่ 14664ของโจทก์ราคา 113,000 บาท. จำเลยชำระค่าที่ดินให้โจทก์โดยเช็คสองฉบับ ฉบับหนึ่งเงิน 13,000 บาท อีกฉบับหนึ่งเงิน 100,000 บาท. จำเลยได้รับโอนที่ดินจากโจทก์ไปเรียบร้อยในวันซื้อขาย. เช็คฉบับเงิน 100,000 บาท โจทก์นำไปขึ้นเงินไม่ได้. คงขึ้นเงินได้แต่เฉพาะเช็คฉบับเงิน 13,000 บาท. จำเลยยังเป็นหนี้โจทก์อยู่ 100,000บาท. โจทก์ได้ทวงถามให้จำเลยชำระเงิน 100,000 บาท หลายครั้ง. จำเลยก็ไม่ชำระ. โจทก์จึงฟ้อง ตามคำฟ้องดังกล่าวแสดงว่า ข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาของโจทก์เป็นเรื่องโจทก์ฟ้องเรียกร้องโดยอาศัยสิทธิอันมีมูลหนี้มาจากสัญญาซื้อขายที่ดิน ซึ่งจำเลยยังเป็นหนี้โจทก์อยู่. การที่โจทก์บรรยายฟ้องถึงเรื่องเช็คมาด้วย ก็เพื่อแสดงให้เห็นถึงพฤติการณ์ที่โจทก์ยังไม่ได้รับชำระราคาที่ดินจากจำเลยเท่านั้น. มิใช่ฟ้องเรียกร้องให้จำเลยชำระเงินตามเช็ค.
ฎีกาที่กล่าวอ้างถึงข้อเท็จจริงซึ่งเกิดขึ้นภายหลังจากศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาดแล้ว. ทั้งมิใช่ข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์นั้น. ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย.
ฎีกาที่กล่าวอ้างถึงข้อเท็จจริงซึ่งเกิดขึ้นภายหลังจากศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาดแล้ว. ทั้งมิใช่ข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์นั้น. ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 155/2512 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การป้องกันตนเองโดยชอบด้วยกฎหมาย: จำเลยสำคัญผิดคิดว่าเป็นโจรปล้นบ้าน ยิงตำรวจบาดเจ็บ
เจ้าหน้าที่ตำรวจมีหมายค้นและหมายจับไปจับกุมจำเลยที่บ้านในเวลาวิกาล (ประมาณ 24 นาฬิกา) ได้ปีนบ้านและรื้อฝาบ้านจำเลยเข้าไป จำเลยสำคัญผิดคิดว่าโจรเข้าปล้นบ้านจึงใช้ปืนยิงตำรวจบาดเจ็บพฤติการณ์ของจำเลยจึงมีลักษณะเป็นการป้องกันสิทธิของตนและของผู้อื่น และป้องกันทรัพย์ของจำเลยให้พ้นจากภยันตรายอันเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายและเป็นการป้องกันพอสมควรแก่เหตุและเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา68
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 155/2512 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การป้องกันตัวโดยสำคัญผิด: การกระทำเพื่อป้องกันสิทธิและทรัพย์สินจากภัยอันตรายที่ใกล้จะถึง แม้เป็นการกระทำต่อเจ้าพนักงาน
เจ้าหน้าที่ตำรวจมีหมายค้นและหมายจับไปจับกุมจำเลยที่บ้านในเวลาวิกาล (ประมาณ 24 นาฬิกา) ได้ปีนบ้านและรื้อฝาบ้านจำเลยเข้าไป จำเลยสำคัญผิดคิดว่าโจรเข้าปล้นบ้านจึงใช้ปืนยิงตำรวจบาดเจ็บ พฤติการณ์ของจำเลยจึงมีลักษณะเป็นการป้องกันสิทธิของตนและของผู้อื่น และป้องกันทรัพย์ของจำเลยให้พ้นจากภยันตรายอันเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย และเป็นการป้องกันพอสมควรแก่เหตุและเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย ไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 68
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 155/2512
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สำคัญผิดเจตนาเจ้าพนักงาน ป้องกันสิทธิและทรัพย์สินโดยชอบด้วยกฎหมาย
เจ้าหน้าที่ตำรวจมีหมายค้นและหมายจับไปจับกุมจำเลยที่บ้านในเวลาวิกาล (ประมาณ 24 นาฬิกา). ได้ปีนบ้านและรื้อฝาบ้านจำเลยเข้าไป. จำเลยสำคัญผิดคิดว่าโจรเข้าปล้นบ้านจึงใช้ปืนยิงตำรวจบาดเจ็บ. พฤติการณ์ของจำเลยจึงมีลักษณะเป็นการป้องกันสิทธิของตนและของผู้อื่น และป้องกันทรัพย์ของจำเลยให้พ้นจากภยันตรายอันเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย.และเป็นการป้องกันพอสมควรแก่เหตุและเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย. ไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา68.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 96/2512 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การประเมินความร้ายแรงของบาดเจ็บและการประกอบกรณียกิจปกติเกิน 20 วัน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297(8)
ผู้เสียหายมีอาชีพพิมพ์ดีด เพียงการที่ผู้เสียหายถูกทำร้ายได้รับอันตรายถึงบาดเจ็บเป็นเหตุให้ความสามารถในการพิมพ์หย่อนลงกล่าวคือพิมพ์ได้ช้ากว่าอัตราที่พิมพ์ได้ตามปกติก่อนถูกทำร้ายเกินกว่า 20 วันดังนี้ ไม่เรียกว่าเป็นการประกอบกรณียกิจตามปกติไม่ได้เกินกว่า 20วันตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 297(8)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 96/2512 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การประเมินความรุนแรงของบาดเจ็บและการประกอบกรณียกิจปกติเกิน 20 วัน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297(8)
ผู้เสียหายมีอาชีพพิมพ์ดีด เพียงการที่ผู้เสียหายถูกทำร้ายได้รับอันตรายถึงบาดเจ็บเป็นเหตุให้ความสามารถในการพิมพ์หย่อนลง กล่าวคือพิมพ์ได้ช้ากว่าอัตราที่พิมพ์ได้ตามปกติก่อนถูกทำร้ายเกินกว่า 20 วัน ดังนี้ ไม่เรียกว่าเป็นการประกอบกรณียกิจตามปกติไม่ได้เกินกว่า 20วันตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 297(8)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2105/2511 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมสิทธิ์ในเรือนเป็นส่วนควบของที่ดิน การซื้อขายเรือนไม่จำเป็นต้องจดทะเบียนตาม ม.456
ผู้ร้องซื้อที่ดินซึ่งเรือนพิพาทปลูกอยู่เมื่อวันที่ 25 มกราคม 2508 โดยทำนิติกรรมซื้อขายต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ในครั้งนั้นจำเลยตั้งใจจะรื้อเรือนพิพาทไปปลูกที่อื่น จึงไม่ได้ขายเรือนพิพาทให้ผู้ร้องด้วย ครั้นต่อมาจำเลยไม่มีเงินจะรื้อถอน จึงได้ขายให้ผู้ร้องเมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2508 ดังนี้ เรือนพิพาทตกเป็นส่วนควบของที่ดินของผู้ร้อง และตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องไปในตัวในทันทีที่ได้ทำสัญญาซื้อขายเรือนพิพาทกันหาจำต้องไปทำการโอนจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 456 ไม่ (อ้างฎีกาที่ 561/2488, 1124/2502)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2105/2511
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เรือนเป็นส่วนควบของที่ดิน กรรมสิทธิ์ตกเป็นของผู้ซื้อที่ดินเมื่อซื้อเรือน แม้ไม่จดทะเบียน
ผู้ร้องซื้อที่ดินซึ่งเรือนพิพาทปลูกอยู่เมื่อวันที่ 25มกราคม 2508 โดยทำนิติกรรมซื้อขายต่อพนักงานเจ้าหน้าที่. ในครั้งนั้นจำเลยตั้งใจจะรื้อเรือนพิพาทไปปลูกที่อื่น. จึงไม่ได้ขายเรือนพิพาทให้ผู้ร้องด้วย. ครั้นต่อมาจำเลยไม่มีเงินจะรื้อถอน. จึงได้ขายให้ผู้ร้องเมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2508. ดังนี้ เรือนพิพาทตกเป็นส่วนควบของที่ดินของผู้ร้อง. และตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องไปในตัวในทันทีที่ได้ทำสัญญาซื้อขายเรือนพิพาทกันหาจำต้องไปทำการโอนจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 456 ไม่.(อ้างฎีกาที่ 561/2488,1124/2502).
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2100/2511 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลดโทษจำคุกจากทำร้ายร่างกายสาหัสโดยอ้างเหตุบันดาลโทสะ ศาลอุทธรณ์แก้ไขโทษเล็กน้อย ฎีกาโจทก์ต้องห้าม
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297 จำคุก 2 ปี ศาลอุทธรณ์แก้ให้ลดโทษตามมาตรา 72 จำคุกไว้ 6 เดือน ดังนี้เป็นการแก้ไขเล็กน้อย ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง