คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
สว่าง ภูวะปัจฉิม

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 469 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1283/2513

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การซื้อขายเหมา การโอนกรรมสิทธิ์ และอายุความของสิทธิเรียกร้องค่าซื้อขาย
การซื้อขายตามเอกสารหมาย ล.1 เป็นการซื้อเหมาจำนวนทรัพย์ที่จะซื้อขายมีจำนวนแน่นอนไม่จำเป็นต้องมีการตรวจนับอย่างใดอีกฉะนั้น กรรมสิทธิ์ในทรัพย์ที่ซื้อขายกันย่อมโอนไปยังผู้ซื้อตั้งแต่ขณะทำสัญญาซื้อขายกัน ส่วนเรื่องการส่งมอบทรัพย์ที่ซื้อขายกันเป็นอีกเรื่องหนึ่งไม่เกี่ยวกับการโอนกรรมสิทธิ์
การที่รถยนต์ที่ซื้อขายถูกยึดและเกิดความเสียหายขึ้นในระหว่างการยึด โดยผู้รับรักษาปล่อยให้ตากแดดฝนและไม่ดูแลรักษาให้ดีและรถกลายสภาพเป็นเศษเหล็กไปนั้นอยู่ในความรับผิดชอบของผู้รับรักษาทรัพย์ จะปรับว่าเป็นความผิดของผู้ขายไม่ได้
ตามสัญญาซื้อขาย ผู้ขายจะต้องจัดการโอนทะเบียนรถยนต์ให้จำเลยเสร็จสิ้นก่อน จึงจะมีสิทธิรับเงินงวดที่ 2 แต่ปรากฏว่าเมื่อผู้ซื้อทราบว่าผู้ขายเป็นหนี้ ก. กลัว ก. จะยึดเอารถไป ผู้ซื้อจึงได้จัดการขายไปอย่างรถไม่มีทะเบียน ส่วนรถที่เหลือก็มีสภาพเป็นเศษเหล็ก ไม่สามารถทำการโอนทะเบียนกันอย่างรถยนต์ธรรมดาได้ จึงไม่มีความจำเป็นต้องทำการโอนทะเบียนต่อไป และไม่ใช่ความผิดของผู้ขายผู้ซื้อมีหน้าที่ต้องชำระราคาที่ยังค้างอยู่ให้แก่ผู้ขาย
ตามประมวลแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 165 วรรคสองประกอบด้วยอนุมาตรา (1) เป็นเรื่องของอายุความที่จะใช้บังคับแก่บุคคลที่เป็นพ่อค้าเรียกเอาค่าขายสินค้าพ่อค้าตามความหมายของมาตรา 165 หมายถึงบุคคลที่ประกอบกิจการค้าโดยซื้อสินค้ามาและขายไปเป็นปกติธุระโจทก์เป็นผู้ประกอบการค้าโดยค้าไม้แปรรูปและน้ำตาล ทรัพย์ที่ทำการซื้อขายกันในคดีนี้ ไม่ได้เป็นสินค้าที่โจทก์ทำการค้าและไม่ใช่วัตถุประสงค์ในกิจการค้าของโจทก์ด้วย จะถือว่าโจทก์เป็นพ่อค้ารถยนต์และอุปกรณ์ไม่ได้การที่โจทก์ขายรถยนต์ให้แก่จำเลย ต้องถือว่าโจทก์ได้ขายไปในฐานะอย่างเจ้าของทรัพย์ธรรมดา ไม่ใช่ในฐานะเป็นพ่อค้าขายสินค้านั้น ๆจะนำเอาอายุความ 5 ปี ตามมาตรา 165 วรรคสอง มาใช้บังคับไม่ได้ต้องนำเอาอายุความทั่วไปตามมาตรา 164 ซึ่งมีกำหนด 10 ปีมาใช้บังคับ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1283/2513 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การซื้อขายเหมา การโอนกรรมสิทธิ์เมื่อทำสัญญา และอายุความของสิทธิเรียกร้อง
การซื้อขายตามเอกสารหมาย ล.1 เป็นการซื้อเหมาจำนวนทรัพย์ที่จะซื้อขายมีจำนวนแน่นอน ไม่จำเป็นต้องมีการตรวจนับอย่างใดอีก ฉะนั้น กรรมสิทธิ์ในทรัพย์ที่ซื้อขายกันย่อมโอนไปยังผู้ซื้อตั้งแต่ขณะทำสัญญาซื้อขายกัน ส่วนเรื่องการส่งมอบทรัพย์ที่ซื้อขายกันเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ไม่เกี่ยวกับการโอนกรรมสิทธิ์
การที่รถยนต์ที่ซื้อขายถูกยึดและเกิดความเสียหายขึ้นในระหว่างการยึด โดยผู้รับรักษาปล่อยให้ตากแดดฝนและไม่ดูแลรักษาให้ดี และรถกลายสภาพเป็นเศษเหล็กไปนั้นอยู่ในความรับผิดชอบของผู้รับรักษาทรัพย์ จะปรับว่าเป็นความผิดของผู้ขายไม่ได้
ตามสัญญาซื้อขาย ผู้ขายจะต้องจัดการโอนทะเบียนรถยนต์ให้จำเลยเสร็จสิ้นก่อน จึงจะมีสิทธิรับเงินงวดที่ 2 แต่ปรากฏว่าเมื่อผู้ซื้อทราบว่าผู้ขายเป็นหนี้ ก. กลัว ก. จะยึดเอารถไป ผู้ซื้อจึงได้จัดการขายไปอย่างรถไม่มีทะเบียน ส่วนรถที่เหลือก็มีสภาพเป็นเศษเหล็ก ไม่สามารถทำการโอนทะเบียนกันอย่างรถยนต์ธรรมดาได้ จึงไม่มีความจำเป็นต้องทำการโอนทะเบียนต่อไป และไม่ใช่ความผิดของผู้ขาย ผู้ซื้อมีหน้าที่ต้องชำระราคาที่ยังค้างอยู่ให้แก่ผู้ขาย
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 165 วรรค 2 ประกอบด้วยอนุมาตรา (1) เป็นเรื่องของอายุความที่จะใช้บังคับแก่บุคคลที่เป็นพ่อค้าเรียกเอาค่าขายสินค้าพ่อค้าตามความหมายของมาตรา 165 หมายถึง บุคคลที่ประกอบกิจการค้าโดยซื้อสินค้ามาและขายไปเป็นปกติธุระ โจทก์เป็นผู้ประกอบการค้าโดยค้าไม่แปรรูปและน้ำตาล ทรัพย์ที่ทำการซื้อขายกันในคดีนี้ไม่ได้เป็นสินค้าที่โจทก์ทำการค้าและไม่ใช่วัตถุประสงค์ในกิจการค้าของโจทก์ด้วย จะถือว่าโจทก์เป็นพ่อค้ารถยนต์และอุปกรณ์ไม่ได้ การที่โจทก์ขายรถยนต์ให้แก่จำเลย ต้องถือว่าโจทก์ได้ขายไปในฐานะอย่างเจ้าของทรัพย์ธรรมดา ไม่ใช่ในฐานะเป็นพ่อค้าขายสินค้านั้น ๆ จะนำเอาอายุความ 5 ปี ตามมาตรา 165 วรรค 2 มาใช้บังคับไม่ได้ ต้องนำเอาอายุความทั่วไปตามมาตรา 164 ซึ่งมีกำหนด 10 ปีมาใช้บังคับ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1276/2513

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การประกอบการขนส่งประจำทาง: รถยนต์ที่ได้รับอนุญาตแล้วไม่ถือเป็นรถยนต์อื่นตาม พ.ร.บ.รถยนต์
พระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ. 2473 มาตรา 24 ตามที่เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติรถยนต์ (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2479 วรรคสามที่ว่า'ห้ามมิให้ใช้รถยนต์อื่นรับจ้างหาผลประโยชน์โดยรับคนโดยสารซึ่งเสียค่าโดยสารเป็นรายตัวตามรายทางในเขตถนนที่ได้รับอนุญาตให้มีรถประจำทางขึ้น ฯลฯ' นั้น หมายความว่าห้ามรถยนต์อื่นที่มิใช่รถยนต์ประจำทางที่ได้รับอนุญาตแล้ว
ประกอบการขนส่งประจำทางด้วยรถยนต์ก่อนได้รับใบอนุญาต และต่อมาได้รับใบอนุญาตให้ประกอบการขนส่งได้ย้อนหลังไปการประกอบการขนส่งก่อนได้รับใบอนุญาตแต่อยู่ในระหว่างเวลาที่ระบุไว้ในใบอนุญาตย่อมไม่เป็นความผิด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1276/2513 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ขอบเขตการห้ามรถยนต์อื่นรับจ้าง - รถประจำทางที่ได้รับอนุญาตย้อนหลัง
พระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ. 2473 มาตรา 24 ตามที่เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติรถยนต์ (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2479 วรรค 3 ที่ว่า "ห้ามิให้ใช้รถยนต์อื่นรับจ้างหาผลประโยชน์โดยรับคนโดยสารซึ่งเสียค่าโดยสารเป็นรายตัวรายทางในเขตถนนที่ได้รับอนุญาตให้มีรถประจำทางขึ้น ฯลฯ" นั้น หมายความว่าห้ามรถยนต์อื่นที่มิใช่รถยนต์ประจำทางที่ได้รับอนุญาตแล้ว
ประกอบการขนส่งประจำทางด้วยรถยนต์ก่อนได้รับใบอนุญาต และต่อมาได้รับใบอนุญาตให้ประกอบการขนส่งได้ย้อนหลังไป การประกอบการขนส่งก่อนได้รับใบอนุญาตแต่อยู่ในระหว่างเวลาที่ระบุไว้ในใบอนุญาตย่อมไม่เป็นความผิด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1275/2513 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเพิ่มโทษจำเลยในคดีหลบหนีระหว่างต้องรับโทษคดีอื่น แม้ยังไม่เริ่มรับโทษจำคุก
จำเลยต้องคำพิพากษาของศาล คดีถึงที่สุดแล้ว 2 คดี คดีแรกฐานมีอาวุธปืนไม่รับอนุญาตต้องโทษปรับ คดีหลังฐานรับของโจรต้องโทษจำคุกนับโทษติดต่อจากคดีแรก แม้จำเลยกระทำความผิดในคดีนี้หลบหนีที่คุมขังไปในระหว่างถูกกักขังแทนค่าปรับในคดีแรก ยังไม่เริ่มรับโทษจำคุกในคดีหลังก็ดี ถือได้ว่าจำเลยได้กระทำความผิดอีกในระหว่างที่ยังจะต้องรับโทษอยู่ เข้าเกณฑ์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92 เพิ่มโทษจำเลยได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1275/2513

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเพิ่มโทษจำคุกฐานหลบหนีระหว่างถูกกักขังแทนค่าปรับ แม้ยังไม่เริ่มรับโทษจำคุกในคดีอื่น
จำเลยต้องคำพิพากษาของศาล คดีถึงที่สุดแล้ว 2 คดี คดีแรกฐานมีอาวุธปืนไม่รับอนุญาตต้องโทษปรับ คดีหลังฐานรับของโจรต้องโทษจำคุกนับโทษติดต่อจากคดีแรกแม้จำเลยกระทำความผิดในคดีนี้หลบหนีที่คุมขังไปในระหว่างถูกกักขังแทนค่าปรับในคดีแรก ยังไม่เริ่มรับโทษจำคุกในคดีหลังก็ดี ถือได้ว่าจำเลยได้กระทำความผิดอีกในระหว่างที่ยังจะต้องรับโทษอยู่ เข้าเกณฑ์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92 เพิ่มโทษจำเลยได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1274/2513 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องเท็จและให้ข้อมูลเท็จต่อศาลในคดีแพ่ง ไม่เป็นความผิดแจ้งความเท็จหรือจดข้อความเท็จ
การเอาความเท็จมาฟ้องในคดีแพ่งหรือการที่จำเลยในคดีแพ่งยื่นคำให้การเป็นเท็จ ไม่เป็นความผิดฐานแจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137 เพราะมิได้เป็นการแจ้งความต่อเจ้าพนักงาน และการที่โจทก์หรือจำเลยในคดีแพ่งแถลงให้ศาลจดข้อความอันเป็นเท็จลงในสำนวนคดีแพ่งโดยมิได้มีวัตถุประสงค์จะใช้ข้อความนั้นเป็นพยานหลักฐานก็หาเป็นความผิดฐานแจ้งให้พนักงานจดข้อความอันเป็นเท็จตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 267 ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1274/2513

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแจ้งความเท็จในคดีแพ่งไม่เป็นความผิดอาญาตาม ม.137 และการแถลงเท็จต่อศาลไม่ผิดตาม ม.267 หากไม่มีเจตนาใช้เป็นพยานหลักฐาน
การเอาความเท็จมาฟ้องในคดีแพ่งหรือการที่จำเลยในคดีแพ่งยื่นคำให้การเป็นเท็จ ไม่เป็นความผิดฐานแจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137 เพราะมิได้เป็นการแจ้งความต่อเจ้าพนักงาน และการที่โจทก์หรือจำเลยในคดีแพ่งแถลงให้ศาลจดข้อความอันเป็นเท็จลงในสำนวนคดีแพ่งโดยมิได้มีวัตถุประสงค์จะใช้ข้อความนั้นเป็นพยานหลักฐาน ก็หาเป็นความผิดฐานแจ้งให้เจ้าพนักงานจดข้อความอันเป็นเท็จตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 267 ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1271/2513 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยิงเพื่อป้องกันตัวที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย: เหตุการณ์ต่อเนื่องจากการทำร้ายร่างกาย
จำเลยกับผู้ตายและคนอื่นอีก 2 คน ร่วมดื่มสุรากันในร้านจนต่างมึนเมาเกิดทะเลาะวิวาทกัน จำเลยถูกตีศีรษะโลหิตไหล และจำเลยก็ตีผู้ตายแล้ววิ่งหนีออกจากร้านไปได้ 6 - 7 เมตร แล้วหันกลับมาใช้ปืนยิงผู้ตายซึ่งถือขวดโซดาตามออกมาที่หน้าร้าน การที่จำเลยยิงผู้ตายเช่นนี้จะอ้างว่าเป็นการกระทำเพื่อป้องกันตัวไม่ได้ เพราะเป็นเหตุการณ์ที่ต่อเนื่องจากการสมัครใจทำร้ายกันในร้าน ยังไม่ขาดตอน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1271/2513

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การป้องกันตัวต้องไม่ต่อเนื่องจากการทำร้ายซึ่งกันและกัน การยิงหลังจากการทะเลาะวิวาทไม่ถือเป็นการป้องกันตัว
จำเลยกับผู้ตายและคนอื่นอีก 2 คน ร่วมดื่มสุรากันในร้านจนต่างมึนเมาเกิดทะเลาะวิวาทกัน จำเลยถูกตีศรีษะโลหิตไหลและจำเลยก็ตีผู้ตายแล้ววิ่งหนีออกจากร้านไปได้ 6-7 เมตร แล้วหันกลับมาใช้ปืนยิงผู้ตายซึ่งขวดโซดาตามออกมาที่หน้าร้านการที่จำเลยยิงผู้ตายเช่นนี้จะอ้างว่าเป็นการกระทำเพื่อป้องกันตัวไม่ได้เพราะเป็นเหตุการณ์ที่ต่อเนื่องจากการสมัครใจทำร้ายกันในร้านยังไม่ขาดตอน
of 47