คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.วิ.พ. ม. 173

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 274 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2814/2529 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดจากละเมิด กรณีให้เช่าทรัพย์ของผู้อื่น ผู้ให้เช่ามีหน้าที่จัดการให้ผู้เช่าออกไปจากทรัพย์สิน
จำเลยกระทำละเมิดต่อโจทก์โดยนำห้องแถวของโจทก์ไปให้ผู้อื่นเช่า ย่อมทำให้โจทก์ขาดประโยชน์ที่จะใช้สอยหรือให้เช่า จำเลยมีหน้าที่จัดการให้ผู้เช่าออกไปจากห้องแถว เมื่อจำเลยยังไม่ได้จัดการให้ผู้เช่าออกไป ความเสียหายก็ยังคงมีอยู่ตลอดไปจนกว่าผู้เช่าจะออกไปจากห้องแถวนั้น
แม้โจทก์จะฟ้องขับไล่ผู้เช่าแล้ว เมื่อผู้เช่ายังไม่ออกไปจากห้องแถวนั้น จำเลยจึงยังไม่หลุดพ้นความรับผิด โจทก์มีสิทธิเรียกค่าเสียหายจากจำเลยนับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยจะได้ให้ผู้เช่าออกไปจากห้องแถวได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2814/2529

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ จำเลยมีหน้าที่จัดการให้ผู้เช่าออกจากห้องแถวที่ให้เช่าโดยละเมิดสิทธิโจทก์ โจทก์มีสิทธิเรียกค่าเสียหายจนกว่าผู้เช่าจะออกไป
จำเลยกระทำละเมิดต่อโจทก์โดยนำห้องแถวของโจทก์ไปให้ผู้อื่นเช่าย่อมทำให้โจทก์ขาดประโยชน์ที่จะใช้สอยหรือให้เช่าจำเลยมีหน้าที่จัดการให้ผู้เช่าออกไปจากห้องแถวเมื่อจำเลยยังไม่ได้จัดการให้ผู้เช่าออกไปความเสียหายก็ยังคงมีอยู่ตลอดไปจนกว่าผู้เช่าจะออกไปจากห้องแถวนั้น แม้โจทก์จะฟ้องขับไล่ผู้เช่าแล้วเมื่อผู้เช่ายังไม่ออกไปจากห้องแถวนั้นจำเลยจึงยังไม่หลุดพ้นความรับผิดโจทก์มีสิทธิเรียกค่าเสียหายจากจำเลยนับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยจะได้ให้ผู้เช่าออกไปจากห้องแถวได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2814/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดในละเมิดจากการให้เช่าทรัพย์ของผู้อื่น ทำให้เจ้าของทรัพย์ขาดประโยชน์ในการใช้สอยและมีหน้าที่จัดการให้ผู้เช่าออกไป
จำเลยกระทำละเมิดต่อโจทก์โดยนำห้องแถวของโจทก์ไปให้ผู้อื่นเช่า ย่อมทำให้โจทก์ขาดประโยชน์ที่จะใช้สอยหรือให้เช่า จำเลยมีหน้าที่จัดการให้ผู้เช่าออกไปจากห้องแถว เมื่อจำเลยยังไม่ได้จัดการให้ผู้เช่าออกไป ความเสียหายก็ยังคงมีอยู่ตลอดไปจนกว่าผู้เช่าจะออกไปจากห้องแถวนั้น
แม้โจทก์จะฟ้องขับไล่ผู้เช่าแล้ว เมื่อผู้เช่ายังไม่ออกไปจากห้องแถวนั้น จำเลยจึงยังไม่หลุดพ้นความรับผิด โจทก์มีสิทธิเรียกค่าเสียหายจากจำเลยนับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยจะได้ให้ผู้เช่าออกไปจากห้องแถวได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2606-2616/2529

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดของตัวแทนตามสัญญาจ้างแรงงานต่างประเทศ: ศาลแรงงานมีอำนาจพิจารณา แม้มีการถอนฟ้อง
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทำสัญญาจ้างแรงงานกับโจทก์แทนบริษัทท.ซึ่งมีภูมิลำเนาอยู่ที่ต่างประเทศบริษัทท.ผิดสัญญาจ้างแรงงานต่อโจทก์ขอให้จำเลยคืนเงินค่าใช้จ่ายที่จำเลยรับไปจากโจทก์ดังนี้เป็นคดีพิพาทด้วยนสิทธิหรือหน้าที่ตามสัญญาจ้างแรงงานหรือข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ.2522มาตรา8(1)อยู่ในอำนาจการพิจารณาพิพากษาของศาลแรงงานส่วนจำเลยจะต้องรับผิดต่อโจทก์ในกรณีที่ทำสัญญาจ้างแรงงานกับโจทก์หรือไม่หรือรับผิดเท่าใดเป็นอีกกรณีหนึ่งมิได้หมายความว่าเมื่อจำเลยปฏิเสธความรับผิดแล้วคดีไม่อยู่ในอำนาจการพิจารณาพิพากษาของศาลแรงงาน ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา73วรรคสองห้ามโจทก์ยื่นคำฟ้องเรื่องเดียวกันต่อศาลอีกเฉพาะกรณีที่คดีนั้นอยู่ในระหว่างการพิจารณาปรากฏว่าขณะที่โจทก์ยื่นฟ้งอคดีนี้ศาลแรงงานกลางอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องคดีก่อนไปแล้วคดีนั้นจึงไม่อยู่ในระหว่างการพิจารณาแม้จำเลยจะมีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งศาลแรงงานกลางที่อนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องโดยมิได้สอบถามจำเลยก่อนก็ตามเมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยได้อุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวจะถือว่าคดีนั้นอยู่ในระหว่างการพิจารณาหาได้ไม่ฟ้องของโจทก์ไม่เป็นฟ้องซ้อน จำเลยได้รับมอบอำนาจจากบริษัทตัวการซึ่งมีภูมิลำเนาอยู่ที่ต่างประเทศทำสัญญาจ้างแรงงานกับโจทก์แทนบริษัทตัวการไม่ว่าจำเลยจะได้รับมอบหมายอำนาจแต่เฉพาะการหรือรับมอบอำนาจทั่วไปก็ตามจำเลยย่อมเป็นตัวแทนของบริษัทตัวการตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา797การที่จำเลยได้รับอนุญาตให้เป็นผู้จัดหาคนงานตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางานพ.ศ.2528ไม่ทำให้ฐานะของจำเลยเปลี่ยนเแปลงไปโดยไม่เป็นตัวแทนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ไปได้ บริษัทตัวการไม่สามารถให้โจทก์ทำงานในต่างประเทศได้ตามปกติจนครบกำหนดตามสัญญาจ้างแรงงานโดยจัดให้โจทก์เข้าทำงานในเดือนแรกส่วนเดือนต่อๆมาโจทก์มิได้เข้าทำงานและมิได้รับค่าจ้างซึ่งมิใช่ความผิดของโจทก์จะถือว่าบริษัทตัวการได้ปฏิบัติถูกต้องครบถ้วนตามสัญญาจ้างแรงงานแล้วหาได้ไม่เมื่อบริษัทตัวการผิดสัญญาต่อโจทก์จำเลยซึ่งเป็นตัวแทนในประเทศไทยต้องรับผิดต่อโจทก์ตามสัญญาจ้างแรงงานแต่ลำพังตนเองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา824.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2606-2616/2529 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาลแรงงาน, ฟ้องซ้อน, ตัวแทนสัญญาจ้าง, ความรับผิดจำเลย
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทำสัญญาจ้างแรงงานกับโจทก์แทนบริษัท ท. ซึ่งมีภูมิลำเนาอยู่ที่ต่างประเทศ บริษัท ท. ผิดสัญญาจ้างแรงงานต่อโจทก์ ขอให้จำเลยคืนเงินค่าใช้จ่ายที่จำเลยรับไปจากโจทก์ ดังนี้เป็นคดีพิพาทด้วยนสิทธิหรือหน้าที่ตามสัญญาจ้างแรงงานหรือข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 8 (1) อยู่ในอำนาจการพิจารณาพิพากษาของศาลแรงงานส่วนจำเลยจะต้องรับผิดต่อโจทก์ในกรณีที่ทำสัญญาจ้างแรงงานกับโจทก์หรือไม่หรือรับผิดเท่าใดเป็นอีกกรณีหนึ่ง มิได้หมายความว่า เมื่อจำเลยปฏิเสธความรับผิดแล้ว คดีไม่อยู่ในอำนาจการพิจารณาพิพากษาของศาลแรงงาน
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 73 วรรคสอง ห้ามโจทก์ยื่นคำฟ้องเรื่องเดียวกันต่อศาลอีกเฉพาะกรณีที่คดีนั้นอยู่ในระหว่างการพิจารณา ปรากฏว่าขณะที่โจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้ ศาลแรงงานกลางอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องคดีก่อนไปแล้ว คดีนั้นจึงไม่อยู่ในระหว่างการพิจารณา แม้จำเลยจะมีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งศาลแรงงานกลางที่อนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องโดยมิได้สอบถามจำเลยก่อนก็ตาม เมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยได้อุทธรณ์คำสั่งดังกล่าว จะถือว่าคดีนั้นอยู่ในระหว่างการพิจารณาหาได้ไม่ ฟ้องของโจทก์ไม่เป็นฟ้องซ้อน
จำเลยได้รับมอบอำนาจจากบริษัทตัวการซึ่งมีภูมิลำเนาอยู่ที่ต่างประเทศทำสัญญาจ้างแรงงานกับโจทก์แทนบริษัทตัวการ ไม่ว่าจำเลยจะได้รับมอบหมายอำนาจแต่เฉพาะการหรือรับมอบอำนาจทั่วไปก็ตาม จำเลยย่อมเป็นตัวแทนของบริษัทตัวการตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 797 การที่จำเลยได้รับอนุญาตให้เป็นผู้จัดหาคนงานตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2528 ไม่ทำให้ฐานะของจำเลยเปลี่ยนเแปลงไปโดยไม่เป็นตัวแทนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ไปได้
บริษัทตัวการไม่สามารถให้โจทก์ทำงานในต่างประเทศได้ตามปกติจนครบกำหนดตามสัญญาจ้างแรงงานโดยจัดให้โจทก์เข้าทำงานในเดือนแรก ส่วนเดือนต่อ ๆ มาโจทก์มิได้เข้าทำงานและมิได้รับค่าจ้างซึ่งมิใช่ความผิดของโจทก์ จะถือว่าบริษัทตัวการได้ปฏิบัติถูกต้องครบถ้วนตามสัญญาจ้างแรงงานแล้วหาได้ไม่ เมื่อบริษัทตัวการผิดสัญญาต่อโจทก์ จำเลยซึ่งเป็นตัวแทนในประเทศไทยต้องรับผิดต่อโจทก์ตามสัญญาจ้างแรงงานแต่ลำพังตนเองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 824

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2351/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองปรปักษ์และสิทธิของผู้เช่า: ศาลยืนตามคำพิพากษาเดิม
โจทก์บรรยายฟ้องว่า เดิมที่พิพาทเป็นของ ป. บิดาโจทก์ ซึ่งให้จำเลยเข้าอยู่อาศัย ต่อมา ป. ถึงแก่กรรม ที่พิพาทตกเป็นของโจทก์ โจทก์ได้อนุญาตให้จำเลยอาศัยอยู่ต่อมา ต่อมาโจทก์จะขายที่พิพาทจึงไม่อนุญาตให้จำเลยอาศัยอยู่ต่อไปจำเลยไม่ยอมออก ฟ้องโจทก์จึงแสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหา ไม่เคลือบคลุม
คดีเดิมโจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยให้ออกจากที่พิพาทและที่ดินอีกแปลงหนึ่งศาลสั่งให้โจทก์แยกฟ้องสำหรับที่พิพาทเป็นคดีใหม่ โจทก์จึงได้ฟ้องเป็นคดีใหม่ตามคำสั่งศาล จึงไม่เป็นฟ้องซ้อน
จำเลยเช่าที่พิพาทจากโจทก์ จึงเป็นเพียงผู้ยึดถือครอบครองที่พิพาทแทนโจทก์ หามีสิทธิครอบครองในที่พิพาทไม่ ที่จำเลยไปยื่นคำร้องขอรังวัดออกโฉนดที่พิพาท โจทก์ได้โต้แย้งคัดค้าน จำเลยก็ถอนคำร้อง โดยไม่ได้ความว่าเพื่อให้โจทก์ไปฟ้องร้องต่อไป ทั้งได้ความอีกว่าจำเลยได้ไปขอโทษโจทก์เกี่ยวกับเรื่องที่จำเลยไปขอรังวัดออกโฉนด จึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยได้แสดงเจตนาต่อโจทก์ที่จะครอบครองที่พิพาทเพื่อตนเองต่อไป โจทก์จึงไม่ต้องฟ้องเอาคืนซึ่งสิทธิการครอบครองภายในกำหนด 1 ปี

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2351/2529

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองปรปักษ์ การฟ้องขับไล่ และการแสดงเจตนาครอบครองที่ดิน
โจทก์บรรยายฟ้องว่าเดิมที่พิพาทเป็นของป.บิดาโจทก์ซึ่งให้จำเลยเข้าอยู่อาศัยต่อมาป.ถึงแก่กรรมที่พิพาทตกเป็นของโจทก์โจทก์ได้อนุญาตให้จำเลยอาศัยอยู่ต่อมาต่อมาโจทก์จะขายที่พิพาทจึงไม่อนุญาตให้จำเลยอาศัยอยู่ต่อไปจำเลยไม่ยอมออกฟ้องโจทก์จึงแสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาไม่เคลือบคลุม. คดีเดิมโจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยให้ออกจากที่พิพาทและที่ดินอีกแปลงหนึ่งศาลสั่งให้โจทก์แยกฟ้องสำหรับที่พิพาทเป็นคดีใหม่โจทก์จึงได้ฟ้องเป็นคดีใหม่ตามคำสั่งศาลจึงไม่เป็นฟ้องซ้อน. จำเลยเช่าที่พิพาทจากโจทก์จึงเป็นเพียงผู้ยึดถือครอบครองที่พิพาทแทนโจทก์หามีสิทธิครอบครองในที่พิพาทไม่ที่จำเลยไปยื่นคำร้องขอรังวัดออกโฉนดที่พิพาทโจทก์ได้โต้แย้งคัดค้านจำเลยก็ถอนคำร้องโดยไม่ได้ความว่าเพื่อให้โจทก์ไปฟ้องร้องต่อไปทั้งได้ความอีกว่าจำเลยได้ไปขอโทษโจทก์เกี่ยวกับเรื่องที่จำเลยไปขอรังวัดออกโฉนดจึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยได้แสดงเจตนาต่อโจทก์ที่จะครอบครองที่พิพาทเพื่อตนเองต่อไปโจทก์จึงไม่ต้องฟ้องเอาคืนซึ่งสิทธิการครอบครองภายในกำหนด1ปี.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1968-1969/2529 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องซ้อนและอายุความมรดก: ศาลพิพากษายืน ฟ้องขับไล่ไม่ขาดอายุความ
โจทก์ที่ 1 และโจทก์ที่ 2 เป็นเจ้าของที่ดินแปลงเดียวกันโดยยังมิได้แบ่งแยกเป็นหลายโฉนดเพราะอยู่ในระหว่างการรังวัดแบ่งแยกของเจ้าพนักงานที่ดินเท่านั้น โจทก์ที่ 1 จึงฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินพิพาทส่วนที่เป็นของโจทก์ที่ 1 ต่อมาเจ้าพนักงานที่ดินได้แบ่งแยกออกโฉนดที่ดินส่วนของโจทก์ที่ 2 ให้แก่โจทก์ที่ 2 ปรากฏว่าที่พิพาทและบ้านของจำเลยส่วนใหญ่อยู่ในที่ดินของโจทก์ที่ 2 โจทก์ที่ 2 จึงฟ้องจำเลยหลังจากได้รับโฉนดที่ดินมาแล้วและปรากฏว่าที่พิพาทบางส่วนอยู่ในโฉนดของโจทก์ที่ 1 บางส่วนอยู่ในโฉนดของโจทก์ที่ 2 โจทก์ทั้งสองต่างมีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลยได้ฟ้องของโจทก์ที่ 2 จึงไม่เป็นฟ้องซ้อนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173
โจทก์ที่ 2 ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่พิพาท ซึ่งเป็นมรดกตกทอดมายังโจทก์ที่ 2 ตามพินัยกรรมและเรียกค่าเสียหายที่จำเลยอยู่ในที่พิพาทของโจทก์ที่ 2 โดยละเมิด กรณีมิใช่ฟ้องเรียกที่พิพาทตามข้อกำหนดในพินัยกรรม ทั้งจำเลยก็มิใช่บุคคลที่จะยกอายุความ 1 ปีขึ้นต่อสู้ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา1755 แม้โจทก์ที่ 2 จะฟ้องคดีเกิน 1 ปี หลังจากเจ้ามรดกถึงแก่กรรมคดีของโจทก์ที่ 2 ก็ไม่ขาดอายุความ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1968-1969/2529

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องซ้อนและอายุความมรดก: การฟ้องขับไล่ที่ดินที่ยังไม่ได้แบ่งแยกและการสืบสิทธิมรดก
โจทก์ที่1และโจทก์ที่2เป็นเจ้าของที่ดินแปลงเดียวกันโดยยังมิได้แบ่งแยกเป็นหลายโฉนดเพราะอยู่ในระหว่างการรังวัดแบ่งแยกของเจ้าพนักงานที่ดินเท่านั้นโจทก์ที่1จึงฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินพิพาทส่วนที่เป็นของโจทก์ที่1ต่อมาเจ้าพนักงานที่ดินได้แบ่งแยกออกโฉนดที่ดินส่วนของโจทก์ที่2ให้แก่โจทก์ที่2ปรากฏว่าที่พิพาทและบ้านของจำเลยส่วนใหญ่อยู่ในที่ดินของโจทก์ที่2โจทก์ที่2จึงฟ้องจำเลยหลังจากได้รับโฉนดที่ดินมาแล้วและปรากฏว่าที่พิพาทบางส่วนอยู่ในโฉนดของโจทก์ที่1บางส่วนอยู่ในโฉนดของโจทก์ที่2โจทก์ทั้งสองต่างมีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลยได้ฟ้องของโจทก์ที่2จึงไม่เป็นฟ้องซ้อนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา173. โจทก์ที่2ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่พิพาทซึ่งเป็นมรดกตกทอดมายังโจทก์ที่2ตามพินัยกรรมและเรียกค่าเสียหายที่จำเลยอยู่ในที่พิพาทของโจทก์ที่2โดยละเมิดกรณีมิใช่ฟ้องเรียกที่พิพาทตามข้อกำหนดในพินัยกรรมทั้งจำเลยก็มิใช่บุคคลที่จะยกอายุความ1ปีขึ้นต่อสู้ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1755แม้โจทก์ที่2จะฟ้องคดีเกิน1ปีหลังจากเจ้ามรดกถึงแก่กรรมคดีของโจทก์ที่2ก็ไม่ขาดอายุความ.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2509/2528 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องเรียกทรัพย์คืนฐานประพฤติเนรคุณขัดแย้งกับฐานเจ้าของทรัพย์ ศาลไม่รับฟ้อง
โจทก์บรรยายฟ้องอ้างว่าจำเลยประพฤติเนรคุณต่อโจทก์ และเอาทรัพย์ที่โจทก์มอบให้จำเลยครอบครองทำกินเพื่อเลี้ยงดู โจทก์ไปทำหลักฐานเป็นชื่อของจำเลยขอให้จำเลยคืนทรัพย์สินดังกล่าวให้โจทก์ฟ้องโจทก์ดังกล่าว เป็นการฟ้องเรียกทรัพย์คืนจากจำเลยในฐานะที่โจทก์เป็นเจ้าของทรัพย์แต่โจทก์กลับไปอ้างว่าจำเลยประพฤติเนรคุณต่อโจทก์ เมื่อศาลอุทธรณ์เห็นว่าตามคำบรรยายฟ้องและตามทางนำสืบของโจทก์มิได้ปรากฏว่าโจทก์ได้ยกทรัพย์พิพาทให้จำเลยจะบังคับ ตามคำฟ้องของโจทก์ให้จำเลยคืนทรัพย์ให้โจทก์ฐานประพฤติเนรคุณ มิได้เพราะสภาพแห่งข้อหาและข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาขัดกัน คำวินิจฉัยดังกล่าวจึงมิใช่เป็นการ ฟังข้อเท็จจริงผิดพลาด
of 28