พบผลลัพธ์ทั้งหมด 274 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1275/2522 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การส่งสำเนาฟ้องและวางค่าธรรมเนียม: ศาลไม่ถือว่าทิ้งฟ้องหากมีหลักฐานแสดงเจตนาและมีการดำเนินการแก้ไข
โจทก์ขอฟ้องคดีอย่างคนอนาถา ถึงวันนัดไต่สวน โจทก์แถลงว่าไม่ติดใจฟ้องคดีอย่างคนอนาถาต่อไป ขอนำเงินค่าธรรมเนียมมาวางศาลภายใน 15 วัน ศาลงดการไต่สวนและสั่งรับฟ้องโจทก์ ทนายส่งสำนวนฟ้องให้จำเลย หากส่งไม่ได้ให้แถลงภายใน 15 วัน ถ้าไม่แถลงให้ถือว่าทิ้งฟ้อง และให้โจทก์นำเงินค่าธรรมเนียมมาวางศาลภายใน 15 วันตามขอ
ปรากฏว่าโจทก์ได้ส่งสำเนาคำฟ้องให้จำเลยในชั้นไต่สวนคำร้องขอฟ้องคดีอย่างคนอนาถาแล้ว ก็ไม่มีความจำเป็นต้องส่งสำเนาฟ้องให้จำเลยอีกเมื่อศาลสั่งรับฟ้องทั้งเมื่อสั่งรับฟ้องแล้วศาลก็ไม่ได้ออกหมายเรียกให้จำเลยแก้คดี จึงไม่มีหมายเรียกที่จะให้โจทก์นำส่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 174 (1) การที่โจทก์ไม่ทำการนำส่งสำเนาฟ้องภายในกำหนด จะถือว่าโจทก์ทิ้งฟ้องไม่ได้
ส่วนเรื่องโจทก์ไม่วางเงินค่าธรรมเนียมภายในกำหนด ก็ฟังได้ว่าโจทก์ได้มอบให้ ต. มายื่นคำร้องขอเลื่อนการวางเงินแล้ว แสดงว่าโจทก์ไม่มีเจตนาทิ้งฟ้อง และต่อมาภายหลังโจทก์ก็ได้รับการวางเงินค่าธรรมเนียมเรียบร้อยแล้วตามที่ศาลสั่ง จึงไม่มีเหตุที่จะจำหน่ายคดีเพราะไม่วางเงินค่าธรรมเนียมอีก
ปรากฏว่าโจทก์ได้ส่งสำเนาคำฟ้องให้จำเลยในชั้นไต่สวนคำร้องขอฟ้องคดีอย่างคนอนาถาแล้ว ก็ไม่มีความจำเป็นต้องส่งสำเนาฟ้องให้จำเลยอีกเมื่อศาลสั่งรับฟ้องทั้งเมื่อสั่งรับฟ้องแล้วศาลก็ไม่ได้ออกหมายเรียกให้จำเลยแก้คดี จึงไม่มีหมายเรียกที่จะให้โจทก์นำส่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 174 (1) การที่โจทก์ไม่ทำการนำส่งสำเนาฟ้องภายในกำหนด จะถือว่าโจทก์ทิ้งฟ้องไม่ได้
ส่วนเรื่องโจทก์ไม่วางเงินค่าธรรมเนียมภายในกำหนด ก็ฟังได้ว่าโจทก์ได้มอบให้ ต. มายื่นคำร้องขอเลื่อนการวางเงินแล้ว แสดงว่าโจทก์ไม่มีเจตนาทิ้งฟ้อง และต่อมาภายหลังโจทก์ก็ได้รับการวางเงินค่าธรรมเนียมเรียบร้อยแล้วตามที่ศาลสั่ง จึงไม่มีเหตุที่จะจำหน่ายคดีเพราะไม่วางเงินค่าธรรมเนียมอีก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 369/2522
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การต่อสู้เรื่องเงื่อนไขเช็คและการโอนเช็คโดยฉ้อฉล ผู้สั่งจ่ายต้องรับผิดใช้เงินตามเช็ค
ตามคำให้การของจำเลยว่า จำเลยสั่งจ่ายเช็คพิพาทให้แก่โจทก์โดยมีเงื่อนไขว่า โจทก์จะไปขึ้นเงินตามเช็คได้ต่อเมื่อ ว. โอนกิจการอู่ซ่อมรถยนต์ให้แก่จำเลย เพราะจำเลยออกเช็คเพื่อใช้หนี้แทน ป. น้องชายของจำเลย แต่จำเลยกลับนำสืบว่าจำเลยสั่งจ่ายเช็คพิพาทให้แก่พ.เจ้าหนี้คนหนึ่งของป.โดยพ. ได้ทราบข้อตกลงและเงื่อนไขดังกล่าว ต่อมา ว. ไม่ยอมโอนอู่ซ่อมรถยนต์ให้จำเลยจำเลยจึงแจ้งให้ธนาคารระงับการจ่ายเงินแล้ว พ. กลับโอนเช็คพิพาทให้แก่โจทก์โดยคบคิดกันฉ้อฉลเพื่อให้โจทก์นำเช็คมาฟ้องจำเลย ซึ่งเป็นเรื่องจำเลยต่อสู้ว่าพ. ผู้ทรงคนก่อนโอนเช็คพิพาทให้โจทก์ผู้ทรงคนปัจจุบันด้วยคบคิดกันฉ้อฉล ข้อนำสืบของจำเลยดังกล่าวจึงนอกประเด็นพิพาท รับฟังไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2429/2521 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องคดีซ้ำเมื่อคดีอยู่ระหว่างพิจารณา: ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173
โจทก์ฟ้องจำเลยกล่าวหาว่ากระทำความผิดต่อพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คต่อศาลอาญา คดียังอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์เพราะโจทก์เป็นฝ่ายอุทธรณ์ ฉะนั้น การที่โจทก์นำคดีมาฟ้องจำเลยในข้อหาเดียวกันต่อศาลจังหวัดสมุทรปราการอีก จึงเป็นการต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173 วรรคสอง ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2429/2521
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้ำคดีเช็ค: การฟ้องคดีเดิมที่ยังไม่ถึงที่สุดต่อศาลอื่น เป็นการต้องห้ามตามกฎหมาย
โจทก์ฟ้องจำเลยกล่าวหาว่ากระทำความผิดต่อพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คต่อศาลอาญา คดียังอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์เพราะโจทก์เป็นฝ่ายอุทธรณ์ฉะนั้น การที่โจทก์นำคดีมาฟ้องจำเลยในข้อหาเดียวกันต่อศาลจังหวัดสมุทรปราการอีก จึงเป็นการต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173วรรคสอง ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1371/2520
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความค่าเช่าและฟ้องซ้อน: การฟ้องคดีใหม่กับจำเลยที่ไม่เคยเป็นคู่ความเดิมไม่ถือเป็นการฟ้องซ้อน
ค้างค่าเช่าผ้าประจำเดือนพฤษภาคม 2516 ฟ้องวันที่ 31 กรกฎาคม 2517 ไม่ขาดอายุความ ซึ่งเริ่มนับเมื่อใช้สิทธิเรียกร้องได้ไม่เกิน 2 ปี
คดีอยู่ระหว่างอุทธรณ์ระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 เป็นคดีใหม่ จำเลยที่ 1 ไม่ใช่คู่ความในคดีก่อน ไม่เป็นฟ้องซ้อน
คดีอยู่ระหว่างอุทธรณ์ระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 เป็นคดีใหม่ จำเลยที่ 1 ไม่ใช่คู่ความในคดีก่อน ไม่เป็นฟ้องซ้อน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1162/2520
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาเช่าผ้าและการฟ้องคดีซ้อน อายุความ 2 ปี
เช่าผ้าไปใช้ในกิจการโรงแรม อายุความ 2 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 165(6)
คดีเดิมจำเลยที่ 2 มิได้ถูกฟ้องด้วย จึงไม่เป็นฟ้องซ้อนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173
บรรยายฟ้องว่าระหว่างวันที่ระบุในฟ้อง จำเลยจ้างโจทก์ซักรีดผ้าและเช่าผ้าของโจทก์ ค้างชำระค่าเช่าเป็นเงินตามที่ระบุ เป็นฟ้องที่สมบูรณ์
คดีเดิมจำเลยที่ 2 มิได้ถูกฟ้องด้วย จึงไม่เป็นฟ้องซ้อนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173
บรรยายฟ้องว่าระหว่างวันที่ระบุในฟ้อง จำเลยจ้างโจทก์ซักรีดผ้าและเช่าผ้าของโจทก์ ค้างชำระค่าเช่าเป็นเงินตามที่ระบุ เป็นฟ้องที่สมบูรณ์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1337/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาประนีประนอมยอมความเกี่ยวกับมรดกและสินสมรส ผลผูกพันและข้อยกเว้น
คดีก่อนโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 2 ต่อศาลขอแบ่งมรดก คดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ แต่คดีนี้โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 เป็นคนละคนกัน จำเลยที่ 2 เข้ามาเป็นจำเลยในคดีนี้ก็ด้วยการที่ศาลเรียกให้เข้ามาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57(3)ฟ้องของโจทก์จึงไม่เป็นฟ้องซ้อน
การที่ทายาทของผู้ตายรวมทั้งจำเลยทั้งสองทำบันทึกข้อตกลงของทายาทว่า ทายาททุกคนไม่ถือว่าจะต้องแบ่งทรัพย์กันตามพินัยกรรมแต่หากต่างตกลงแบ่งกันตามที่เห็นสมควรเพื่อเป็นการระงับข้อพิพาทซึ่งจะมีขึ้นให้เสร็จไปด้วยต่างยอมผ่อนผันให้แก่กัน ข้อตกลงดังกล่าวเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 850 แต่ละฝ่ายจึงได้สิทธิตามที่ได้แสดงไว้ในสัญญานั้น และแม้ทรัพย์บางส่วนตามสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวจะเป็นสินสมรสส่วนของจำเลยที่ 2 ก็ตาม ก็มิใช่เป็นการที่จำเลยที่ 2 ยกสินสมรสส่วนของตนให้ผู้อื่นจึงไม่ต้องทำตามแบบที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับการยกให้
การที่ทายาทของผู้ตายรวมทั้งจำเลยทั้งสองทำบันทึกข้อตกลงของทายาทว่า ทายาททุกคนไม่ถือว่าจะต้องแบ่งทรัพย์กันตามพินัยกรรมแต่หากต่างตกลงแบ่งกันตามที่เห็นสมควรเพื่อเป็นการระงับข้อพิพาทซึ่งจะมีขึ้นให้เสร็จไปด้วยต่างยอมผ่อนผันให้แก่กัน ข้อตกลงดังกล่าวเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 850 แต่ละฝ่ายจึงได้สิทธิตามที่ได้แสดงไว้ในสัญญานั้น และแม้ทรัพย์บางส่วนตามสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวจะเป็นสินสมรสส่วนของจำเลยที่ 2 ก็ตาม ก็มิใช่เป็นการที่จำเลยที่ 2 ยกสินสมรสส่วนของตนให้ผู้อื่นจึงไม่ต้องทำตามแบบที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับการยกให้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1332/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การดำเนินคดีแพ่งโดยชอบด้วยกฎหมาย แม้มีเหตุส่งหมายเรียกผิดพลาด ศาลต้องพิจารณาความตั้งใจของผู้ฟ้อง
แม้โจทก์มิได้แถลงเพื่อดำเนินการต่อไปภายในกำหนด 7 วันตามคำสั่ง ศาลชั้นต้น ในกรณีส่งหมายเรียกและสำเนาฟ้องให้แก่จำเลยไม่ได้ก็ตาม เมื่อได้ความว่าโจทก์ได้เอาใจใส่ในการดำเนินคดีของโจทก์มาโดยตลอด พนักงานศาลไปส่งหมายเรียกกับสำเนาคำฟ้องให้จำเลยผิดจากวันที่นัดหมายกันไว้ โดยโจทก์ไม่ทราบ ไม่ได้นำส่ง แต่โจทก์ก็ติดตามทำคำแถลงเกี่ยวกับเรื่องนี้มอบหมายให้ผู้อื่นไปยื่นต่อศาลแต่เกินกำหนด 7 วัน ซึ่งศาลได้แก้ไขเปลี่ยนแปลงใหม่ในตราประทับรับฟ้องเดิมที่กำหนดไว้ 15 วันไปเพียงวันเดียว จึงยังไม่ได้ว่าโจทก์เพิกเฉยไม่ดำเนินคดีภายในเวลาตามที่ศาลกำหนด ศาลจะมีคำสั่งว่าโจทก์ทิ้งฟ้องและให้จำหน่ายคดีจากสารบบความหาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 365/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้ำ-สัญญาประนีประนอม: แม้คำขอบังคับเหมือนกัน แต่สภาพแห่งข้อหาต่างกัน ไม่เป็นฟ้องซ้ำ
คดีแรกโจทก์ฟ้องจำเลยกล่าวอ้างว่า จำเลยใช้หนังสือมอบอำนาจฉบับปลอมไปทำการโอนที่พิพาทเป็นของจำเลยคดีหลังโจทก์อ้างว่าหลังจากฟ้องคดีแรกแล้ว โจทก์จำเลยได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันโดยจำเลยตกลงโอนที่พิพาทให้โจทก์ โจทก์ยอมยกหนี้สินให้จำเลยและยอมถอนฟ้องคดีที่โจทก์ฟ้องจำเลยอยู่ โจทก์ปฏิบัติตามสัญญาแล้วแต่จำเลยไม่ปฏิบัติตามข้อตกลง ดังนี้ สภาพแห่งข้อหาของโจทก์ทั้งสองคดีจึงต่างกัน แม้คำขอบังคับจะเป็นการให้จำเลยโอนที่พิพาทให้โจทก์เช่นเดียวกัน ก็มิใช่คำฟ้องเรื่องเดียวกัน ฟ้องของโจทก์คดีหลังไม่ต้องห้ามตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา173
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 56-57/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้อน: คดีแรกเรียกค่าเสียหาย คดีหลังเรียกคืนเงินค่ารถ ศาลยกฟ้องคดีหลัง
โจทก์และจำเลยทำสัญญาแลกเปลี่ยนรถยนต์กัน จำเลยผิดสัญญา โจทก์จึงฟ้องเรียกค่าเสียหายเป็นคดีแรก ในระหว่างพิจารณาคดีแรก โจทก์มาฟ้องคดีหลังให้จำเลยคืนเงินค่ารถยนต์อีก โดยที่โจทก์อาจขอให้จำเลยคืนหรือใช้ราคารถรวมมาในคดีแรกได้ คดีหลังจึงเป็นฟ้องซ้อน ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173 (1) แม้คู่ความมิได้ยกขึ้นฎีกา แต่เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาก็ยกขึ้นวินิจฉัยเพื่อยกฟ้องโจทก์ในคดีหลังได้